ตอนที่ 484 คาราวะ
ทั้งสองเห็นรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตูจวนไป๋ ชายวัยกลางคนๆ หนึ่งยืนอยู่ด้านหน้ารถม้า เอาแต่ชะเง้อมองออกไปไกล
เมื่อเห็นไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นจื้อขี่ม้ากลับมาพร้อมกับองครักษ์ของตระกูลไป๋ ชายกลางคนๆ นั้นรีบวิ่งถลาเข้ามา ทว่า ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ก็ถูกองครักษ์ซึ่งวิ่งออกมาต้อนรับไป๋ชิงเหยียนจากจวนไป๋ขวางไว้เสียก่อน ตวาดไม่ให้เขาเข้าใกล้
“องค์หญิงเจิ้นกั๋ว องค์หญิงเจิ้นกั๋ว! กระหม่อมคือพี่เขยของประมุขไป๋ วันนี้กระหม่อมมาส่งน้องสาวกลับจวน จึงตั้งใจมาคาราวะองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”
ข่าวที่ฟางซื่อเก็บสัมภาระกลับไปตระกูลฝั่งมารดาแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองซั่วหยางตั้งแต่เมื่อวาน
พี่ชายของฟางซื่อโค้งกายคำนับไป๋ชิงเหยียนยิ้มๆ เมื่อเห็นไป๋ชิงเหยียนลงมาจากม้าจึงอยากเข้าไปใกล้ ทว่า องครักษ์ตระกูลไป๋ไม่ยอมปล่อยให้เขาได้เข้าใกล้
ไป๋ฉีเหอเป็นคนหัวรั้น เขาคงเดือดดาลกับการกระทำของฟางซื่อจริงๆ ถึงได้ต้องการหย่าขาดกับนางเช่นนี้
วันนี้พี่ชายของฟางซื่อมาส่งน้องสาวที่จวนไป๋ ตอนแรกไป๋ฉีเหอยังคงไว้หน้าอยู่บ้าง คิดว่าฟางซื่อสำนึกผิดแล้วจึงยอมให้ฟางซื่อกลับมาที่จวนอีกครั้ง
ทว่า เมื่อฟางซื่อกลับเข้าไปในจวน นางกลับแสดงท่าทีต้องการแลกเปลี่ยนเงื่อนไขกับไป๋ฉีเหอ กล่าวว่าหากต้องการให้นางกลับมาที่จวนไป๋ ไป๋ฉีเหอต้องหาวิธีให้พี่ชายของนางได้พบกับองค์หญิงเจิ้นกั๋วสักครั้ง
ไป๋ฉีเหอเดือดดาลถึงขีดสุด คว่ำโต๊ะจนระเนระนาด จากนั้นให้นำหนังสือหย่าที่เตรียมไว้แล้วโยนใส่ฟางซื่อ ไล่ฟางซื่อกลับตระกูลฟางของนาง
ฟางซื่อนึกไม่ถึงว่าไป๋ฉีเหอจะกล้าหย่ากับนางจริงๆ นางจึงยกเรื่องสินเดิมขึ้นมาอ้างอย่างโมโห คิดไม่ถึงเลยว่าไป๋ฉีเหอจะสั่งให้คนเตรียมสินเดิมของนางไว้เรียบร้อยตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ฟางซื่อร้องไห้ตัวสั่นเทาด้วยความโมโห กล่าวว่าไป๋ฉีเหอใจดำ นางคลอดบุตรชายบุตรสาวให้เขา บัดนี้พอเขาได้เป็นประมุขตระกูลไป๋กลับทำกับภรรยาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาอย่างนางเช่นนี้
ฟางซื่อถูกคนตระกูลฟางตามใจจนเสียนิสัยตั้งแต่เด็ก นางร้องไห้จนตัวโยน ยังดีที่พี่ชายของฟางซื่อยังมีสติอยู่ เมื่อเห็นเหตุการณ์กลายเป็นเช่นนี้จึงรีบออกมาแก้สถานการณ์ กล่าวว่าตอนที่ไป๋ชิงเหยียนยังเป็นจวิ้นจู่พวกเขาก็อาจเอื้อมไปถึงแล้ว บัดนี้หญิงสาวเป็นถึงองค์หญิง ตระกูลฟางของเขายิ่งไม่กล้าอาจเอื้อมเข้าไปใหญ่ ฟางซื่อกล่าวเช่นนี้เพราะกำลังโมโหอยู่เท่านั้น นางถูกพี่ชายอย่างเขาส่งกลับมาที่จวน ไม่ใช่ไป๋ฉีเหอผู้เป็นสามีไปรับ นางรู้สึกเสียหน้าจึงกล่าวออกมาโดยไม่คิดเช่นนี้ หวังว่าไป๋ฉีเหอจะเห็นแก่ไป๋ชิงผิง ปล่อยฟางซื่อไปสักครั้ง
เมื่อพี่เขยเอ่ยถึงบุตรชายของตนเอง ไป๋ฉีเหอหลับตาลง คิดได้ว่าหากตนหย่าร้าง บุตรของตนก็ต้องเสียหน้าไปด้วย เพราะฟางซื่อคือมารดาผู้ให้กำเนิดไป๋ชิงผิง
ทว่า ฟางซื่อกลับกล่าวทั้งน้ำตาว่าพร้อมจะตายไปพร้อมกับไป๋ฉีเหอ ไป๋ฉีเหอจึงประกาศกร้าวอย่างโมโหว่าครั้งนี้ต้องหย่ากับนางให้ได จากนั้นสะบัดชายเสื้อจากไปทันที
ฟางซื่อร้องไห้อ้อนวอนให้พี่ชายพาตนกลับบ้านด้วย ทว่า พี่ชายของฟางซื่อกลับมีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในสมอง ขอเพียงองค์หญิงเจิ้นกั๋วออกหน้า ไป๋ฉีเหออาจเปลี่ยนความคิดที่จะหย่าได้ พี่ชายของฟางซื่อจึงรีบพาฟางซื่อไปพบองค์หญิงเจิ้นกั๋ว
ไป๋ชิงเหยียนลงจากหลังม้า ไม่ได้สั่งให้องครักษ์ถอยออกไป เพียงแค่ยื่นแส้ม้าสีดำให้หลูผิง จากนั้นมองไปทางพี่ชายของฟางซื่อ
พี่ชายของฟางซื่อคิดไม่ถึงเลยว่าองค์หญิงเจิ้นกั๋วจะไม่ไว้หน้าเขาถึงเพียงนี้ อย่างน้อยสองตระกูลก็ถือเป็นดองกัน
ทว่า หญิงสาวเป็นถึงองค์หญิง เขาเป็นเพียงชาวบ้านนอกคนหนึ่งเท่านั้น หากไม่มีความสัมพันธ์ชั้นนี้ องค์หญิงเจิ้นกั๋วคงไม่แม้แต่จะหยุดมองเขาด้วยซ้ำ เมื่อพี่ชายของฟางซื่อคิดได้จึงมีท่าทีนอบน้อมกว่าเดิมมาก เขาคุกเข่าคำนับแนบพื้นพลางเอ่ยขึ้น
“องค์หญิง เมื่อวานประมุขไป๋และฟางซื่อน้องสาวของกระหม่อมมีปากเสียงกันเล็กน้อยเพราะเรื่องที่ฟางซื่อลอบสืบการเดินทางขององค์หญิง ทว่า นางทำไปเพราะอยากออกไปรอต้อนรับองค์หญิง ผู้ใดจะคิดว่าประมุขไป๋จะโมโหถึงขั้นขอหย่ากับน้องสาวของกระหม่อมเช่นนี้! กระหม่อมจึงแบกหน้ามาขอร้ององค์หญิงแทนน้องสาวของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ!”
“ท่านกล่าวว่าจาพิลึกคนนัก! สามีภรรยาทะเลาะกัน ท่านกลับมาขอร้องพี่หญิงใหญ่ซึ่งเป็นเพียงสตรีที่ยังไม่ได้ออกเรือนของข้า ท่านกล้ากล่าววาจาออกมาเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!”
ไป๋จิ่นจื้อโยนแส้ม้าให้องครักษ์ตระกูลไป๋ ยืนเอามือไขว้หลังมองไปยังพี่ชายของฟางซื่อซึ่งยังคงคุกเข่าอยู่ที่พื้นด้วยแววตาเรียบเฉย จากนั้นเหลือบมองไปยังรถม้าแวบหนึ่ง กล่าวขึ้น “เป็นแค่ภรรยาของประมุขไป๋กล้าแอบสืบการเดินทางขององค์หญิงได้อย่างไรกัน! ยังดีที่พี่หญิงใหญ่ของข้าไม่เอาเรื่อง หากนางเอาเรื่องขึ้นมา ฟางซื่อลอบสืบการเดินทางขององค์หญิงโดยไม่ทราบสาเหตุ นางคงถูกจับตัวไปสืบสวนในคุกแน่นอน!”
พี่ชายของฟางซื่อรีบยอมรับ
“นางสำนึกผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ ต่อไปนางคงไม่กล้าอีกแล้ว องค์หญิงได้โปรดช่วยแก้ต่างแทนนางต่อหน้าประมุขไป๋ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
“ที่ข้ายืนฟังเจ้ากล่าวจนจบอยู่ตรงนี้ก็เพราะเจ้าคือพี่เขยของประมุขตระกูลไป๋” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ประการแรกประมุขไป๋คือญาติผู้ใหญ่ของข้า ข้าไม่ควรเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของเขา อีกประการ…ข้าไม่ชอบให้ผู้อื่นลอบสืบการเดินทางของข้า หากนางไม่ใช่ภรรยาของประมุขไป๋ ไม่ใช่มารดาของไป๋ชิงผิง บัดนี้คงถูกทรมานอยู่ในคุกแล้ว เจ้าเข้าใจที่ข้ากล่าวหรือไม่”
พี่ชายของฟางซื่อเสียวสันหลังวาบ รีบก้มศีรษะตอบรับ
เมื่อกลุ่มของไป๋ชิงเหยียนเดินหายเข้าไปในจวนไป๋ พี่ชายของฟางซื่อจึงกล้าเงยหน้าขึ้น เขารีบวิ่งกลับไปยังรถม้าของตนทันที กล่าวกับฟางซื่อที่ยังคงร้องไห้อยู่ในรถม้า
“น้องหญิง! พี่ว่าเรากลับไปขอร้องไป๋ฉีเหออีกรอบดีกว่า องค์หญิงเจิ้นกั๋วไม่เหมือนกับเจิ้นกั๋วอ๋อง นางไม่ได้ให้เกียรติประมุขและภรรยาประมุขไป๋มากเท่ากับท่านปู่ของนาง”
พี่ชายของฟางซื่อรู้สึกว่าตนเองถูกผีเข้าสิงเหมือนกัน ตอนที่ไป๋ชิงเหยียนยังเป็นเพียงจวิ้นจู่ พี่ชายของฟางซื่อคิดว่าเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ไม่อาจมีทายาทได้ บุตรชายของตนอาจมีโอกาสแต่งเข้าเป็นเขยของตระกูลไป๋ได้
บัดนี้เมื่อนึกย้อนดูแล้วไม่รู้ว่าตอนนั้นผีห่าตนใดเข้าสิง เขาถึงได้มีความฝันลมๆ แล้งเช่นนั้น อย่าว่าแต่บัดนี้ไป๋ชิงเหยียนคือองค์หญิงเจิ้นกั๋วเลย บารมีของสตรีนางนี้แข็งแกร่งเกินไป นางไม่มีทางสนใจบุตรชายที่ไม่เอาไหนของตนแน่นอน
ฟางซื่อซึ่งนั่งอยู่ในรถม้าได้ยินคำกล่าวของไป๋ชิงเหยียนเช่นเดียวกัน นางกำผ้าเช็ดหน้าแน่น น้ำตาไหลพรากไม่ขาดสาย
“ข้าจะขอร้องเขาเช่นไร เมื่อครู่ข้าแค่กล่าวว่าให้เขาช่วยหาวิธีให้ท่านพี่ได้พบหน้าองค์หญิงเจิ้นกั๋วสักครู่ ไมได้ขอให้หมั้นหมายนางให้สักหน่อย! เขาถึงกลับคว่ำโต๊ะเช่นนั้น…ข้าไม่กลับไป ข้าจะกลับจวนฟาง ข้าจะทนถูกรังแกอยู่ที่จวนไป๋ต่อไปอีกแล้ว!”
“เจ้าเลอะเลือนไปแล้วหรืออย่างไร! ตอนที่ไป๋ฉีเหอไม่ได้รับความสนใจจากตระกูลไป๋ เจ้ายังทนมาได้เลย บัดนี้ทุกอย่างดีขึ้นแล้ว เขาได้เป็นถึงประมุขของตระกูลไป๋ เจ้ากลับจะยกตำแหน่งนี้ให้ผู้อื่นอย่างนั้นหรือ เจ้าโง่หรืออย่างไรกัน ไป๋ฉีเหอเป็นประมุขของตระกูล เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าหากเจ้าไปจากตระกูลไป๋ จะมีตระกูลสูงศักดิ์อีกกี่ตระกูลอยากยกบุตรสาวของตนให้แต่งงานกับไป๋ฉีเหอ!”
พี่ชายฟางซื่อโน้มน้ามเสียงต่ำ
ฟางซื่อกัดฟันกรอด ทว่า นางไม่เต็มใจ เมื่อก่อนไป๋ฉีเหอมีท่าทีอ่อนโยนเมื่ออยู่ต่อหน้านาง ทว่า เมื่อเขาดำรงตำแหน่งประมุข เขากลับปีกกล้าขาแข็งถึงขั้นขอหย่ากับนาง!
ฟางซื่อนึกถึงเรื่องนี้ก็เริ่มร้องไห้อีกครั้ง
“คนใจดำไป๋ฉีเหอ! ข้าอยู่กับเขามาเป็นสิบปี ทนลำบากเพราะฐานะบุตรคนรองของเขามาไม่รู้ตั้งเท่าใด บัดนี้พอได้เป็นประมุขไป๋ เขากลับข่มเหงข้าเช่นนี้!”