ตอนที่ 498 ทำงานตรากตรำ
ไป๋ชิงเสวียนอ้าปากส่งเสียงร้องอู้อี้ น้ำเสียงแหบราวกับเป็ด เสียงไม่น่าฟังจนคนฟังไม่ออกว่าเขากำลังกล่าวสิ่งใด
หวังเซียงเซินรังเกียจของเล่นเหล่านี้ของบุตรชายเป็นที่สุด เขากระชากแขนของบุตรชายให้เดินออกมาจากในห้อง จากนั้นหันไปสั่งพ่อบ้าน “จัดการให้เรียบร้อย อย่าทิ้งร่องรอยไว้เด็ดขาด”
ไป๋ชิงเสวียนส่งเสียงอู้อี้ดังกว่าเดิม เสียงแหลมบาดหูราวกับกรงเล็บแมวซึ่งข่วนลงบนอ่างเอี้ยงปลากระเบื้องทำให้คนฟังรู้สึกรำคาญหูมาก
ตระกูลหวังกำลังเตรียมสังหารเด็กเหล่านั้นแล้วโยนลงไปในบ่อน้ำแห้ง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงระฆังดังสนั่นขึ้นในซอยจิ่วชวีเสียก่อน
ไม่รอให้ด้านนอกตะโกนบอกว่าเกิดสิ่งใดขึ้น บ่าวรับใช้และหญิงชราในจวนก็กรีดร้องขึ้นเสียก่อน
“แย่แล้ว ไฟไหม้! ไฟไหม้!”
กลุ่มควันดำลอยจากเรือนหลังของจวนหวังลอยขึ้นสู่อากาศไม่หยุดหย่อน ภายในซอยจิ่วชวีเต็มไปด้วยเสียงตะโกนร้องว่าไฟไหม้ของผู้คน เสมือนเป็นการเติมไฟให้ยิ่งลุกโชน เปลวเพลิงลุกโหมอย่างรุนแรง เรือนหลังของจวนหวังถูกล้อมไปด้วยเปลวเพลิงและควันดำ
สาวใช้และหญิงชราของจวนหวังใช้ผ้าชุบน้ำอุดปากและจมูกเอาไว้ ต่างช่วยกันประคองฮูหยินผู้เฒ่าและบรรดาเจ้านายของตระกูลหวังวิ่งหนีออกมาจากประตูชุ่ยฮวา
บ่าวรับใช้ซึ่งถือถังน้ำไปช่วยดับไฟรู้สึกว่ายิ่งเดินเข้าไปด้านใน เปลวเพลิงเหล่านั้นยิ่งลุกโชนจนน่าหวาดกลัว เปลวไฟที่พัดโชยออกมามีกลิ่นน้ำมันปะปนอยู่ด้วย มีคนจงใจวางเพลิงชัดๆ
เปลวไฟถูกลมพัดมาทางประตูชุ่ยฮวา ค่อยๆ กลืนกินเรือนพักอาศัยทีละเรือน ไม่นานระเบียงทางเดินและเสาไม้แกะสลักของตระกูลหวังถูกเผาไหม้จนเกรียม ต้นไม้ใบหญ้าในสวนถูกไอร้อนของเปลวเพลิงหลอมละลายจนสูญสลายกลายเป็นเถ้า ต้นไม้สูงถูกเผาไหม้จนเกรียม
บ่าวรับใช้ถาดน้ำในถังน้ำออกไป เปลวเพลิงลดลงชั่วขณะ จากนั้นลุกโชนยิ่งกว่าเดิม เปลวเพลิงโหมกระหน่ำขึ้นสูง เปลวไฟสีเงินค่อยๆ ลุกลามเสาไม้ขึ้นไปจนถึงใต้หลังคา
“นายท่าน! มีคนจงใจวางเพลิงขอรับ เปลวไฟมีแต่กลิ่นน้ำมันทั้งนั้นขอรับ!”
เมื่อเห็นว่าไฟในจวนหวังเริ่มลุกโชนมากขึ้นเรื่อยๆ ชาวบ้านที่อยู่ละแวกนั้นต่างส่งบ่าวรับใช้ของตัวเองมาช่วยดับไฟ เพราะหากจวนหวังดับไฟไม่สำเร็จ…ไฟต้องลุกลามไปยังจวนของพวกเขาแน่นอน!
“ช่วยคนออกมาก่อน ด้านหลังมีเด็กอยู่กลุ่มหนึ่ง รีบช่วยเด็กออกมาก่อน!” มีคนตะโกนขึ้น
สีหน้าของหวังเซียงเซินแย่ลงทันที เขาไม่กล้าแม้แต่จะกล่าวปฏิเสธ
บัดนี้ภายนอกของจวนหวังเต็มไปด้วยผู้คน คนที่มาช่วยดับไฟและช่วยคนออกมายิ่งมากเข้าไปใหญ่ เขาไม่อาจห้ามพวกเขาไม่ให้เข้าไปช่วยเหลือคนได้!
ทว่า หากเด็กถูกช่วยเหลือออกมาได้ เรื่องนี้คงปิดไว้ไม่มิดอีกแล้ว
“เด็กหรือ!” ชาวบ้านคนหนึ่งได้สติขึ้นมา “คนที่ไปตีกลองเติงเหวินร้องทุกข์ไม่ใช่กำลังตามหาเด็กอยู่หรอกหรือ สองสามีภรรยาคู่นั้นฟ้องร้องว่าตระกูลหวังแห่งซอยจิ่วชวีและจวนเหลียงอ๋องใช้เด็กปรุงยาวิเศษ ลักพาตัวเด็กไปหลายครอบครัว ใช่เด็กเหล่านั้นหรือไม่”
“หากเป็นเด็กเหล่านั้นก็ดีสิ! อย่างน้อยพวกเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ พ่อแม่ของพวกเขาจะได้มีความหวัง!”
“รีบช่วยออกมาเร็ว!”
ชาวบ้านตะโกนบอกคนที่เข้าไปช่วยเหลือเด็กออกมา
“ทำเช่นไรดีขอรับท่านพ่อ!” หวังคุนเอ่ยถามบิดาเสียงเบาหวิว
มีคนใช้ผ้าเช็ดหน้าอุดปากและจมูกวิ่งหนีออกมาจากประตูข้างของจวนหวังไม่หยุดหย่อน บรรดาอนุของหวังเซียงเซินถูกควันไฟจนใบหน้าเต็มไปด้วยเขม่าดำ บางคนถูกไฟไหม้ที่เส้นผม ตะโกนร้องไห้วิ่งหนีออกมาทั้งๆ ที่ผมถูกเผาไหม้เช่นนั้น
“ท่านพี่ ทำเช่นไรดีเจ้าคะ ของมีค่าของข้าอยู่ในห้องทั้งหมด โฉนดที่ดินที่ท่านพี่มอบให้ข้าล้วนอยู่ในห้อง ทำเช่นไรดีเจ้าคะ”
“มีชีวิตรอดก็บุญแล้ว ยังมีเวลาเป็นห่วงของเหล่านั้นอีก!” ภรรยาเอกของหวังเซียงเซินกล่าวด้วยเสียงเย็นชา นางไม่ชอบมารยาของบรรดาอนุเหล่านี้ จึงกล่าวขึ้นอย่างวางมาดภรรยาเอก
“ท่านพี่ กลิ่นน้ำมันชัดเช่นนี้ มีคนจงใจวางเพลิงจวนของเราแน่ๆ เจ้าค่ะ พวกเรารีบไปแจ้งความกับทางการเถิดเจ้าค่ะ ตอนนี้ไฟยังไหม้ไม่หมด พวกเขายังพอสืบหาความจริงได้เจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นหวังเซียงเซินเอาแต่มองไปที่ประตูด้านในนิ่ง ไม่รู้กำลังคิดสิ่งใดอยู่ ภรรยาเอกของหวังเซียวเซินจึงหันไปสั่งให้หมัวมัวข้างกายของตนไปแจ้งความกับทางการ
“แจ้งความอันใด รีบดับไฟ ช่วยคนออกมาก่อน!” หวังเซียงเซินกล่าวเสียงแหบออกมาเพียงประโยคเดียว
หวังเซียงเซินกำหมัดแน่น เม้มปากจนเป็นเส้นตรง มองบรรดาบ่าวรับใช้เดินถือถังน้ำเข้าออกจวนเขม็ง
บัดนี้หวังเซียนเซิงไม่มีเวลาสนใจเรื่องอื่น ท่ามกลางสายตาผู้คนมากมายเช่นนี้ เขาได้แต่ภาวนาให้ไฟเผาไหม้ทุกอย่างในจวนหวังจนเกรียม เผาร่างของเด็กและของเล่นของบุตรชายเหล่านั้นจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกถึงจะดี
ไม่นานบรรดาเด็กและของเล่นของหวังคุนซึ่งพ่อบ้านยังไม่ได้กำจัดก็ถูกช่วยเหลือออกมาจากจวน เด็กบางคนถูกไฟลวกจนเอาแต่ร้องไห้หาพ่อแม่ของตน บางคนตกใจจนเสียสติไปแล้ว บางคนมีสติเมื่อถูกช่วยออกมาได้ก็เอาแต่กอดเข่าทหารขอร้องให้เขาช่วยชีวิต
ในสมองของหวังเซียงเซินมีแต่คำว่าจบเห่ เขาอยากหนี ทว่า สายเกินไปแล้ว
บัดนี้ เหลียงอ๋องคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้
เมื่อครู่ฮ่องเต้สะบัดชายชุดเดินจากไป ปล่อยให้รัชทายาท ผู้พิพากษาศาลต้าหลี่และผู้ตรวจการรออยู่ที่ท้องพระโรงเพราะฮ่องเต้ต้องการพบหน้าเหลียงอ๋องตามลำพัง
“ว่ามาสิ เรื่องใช้เด็กปรุงยานี่มันอย่างไรกัน!” ฮ่องเต้พยายามข่มน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะเอาไว้ มองไปทางเหลียงอ๋องซึ่งคุกเขาอยู่บนพื้นกระเบื้องใสด้วยแววตาวาวโรจน์
น้ำเสียงของฮ่องเต้ไม่ดังมาก ทว่า ทำให้เหลียงอ๋องตกใจจนตัวสั่นเทาอยู่ดี เขากล่าวด้วยเสียงเบาหวิว
“ครั้งแรกที่ลูกปรุงยาให้เสด็จพ่อ เสด็จพ่อยังมีอาการเวียนศีรษะอยู่ครั้งหนึ่ง ลูกเป็นกังวลจึงไปถามท่านอาจารย์วิเศษ ท่านกล่าวว่าหากชาวบ้านธรรมดาอยากมีชีวิตยืนยาวนับร้อยปี แค่ใช้เลือดของเด็กซึ่งเป็นทายาทของตัวเองก็พอแล้ว ทว่า เสด็จพ่อคือโอรสแห่งสวรรค์ ส่วนลูกก็อายุมากแล้ว เลือดของลูกไม่สะอาดบริสุทธิ์เท่ากับเด็กอายุสิบปี ท่านอาจารย์กล่าวว่าต้องใช้เลือดของเด็กหญิงและเด็กชายซึ่งอายุต่ำกว่าสิบปีมาผสมกัน ประสิทธิภาพของยาจึงจะดีกว่าเดิมพ่ะย่ะค่ะ ลูกก็เลย…”
เหลียงอ๋องถลกแขนเสื้อของตัวเองขึ้น รอยแผลจากมีดบริเวณลำแขนของเหลียงอ๋องยังคงเด่นชัด แผลสมานจนกลายแผลเป็นสีชมพูแล้ว ทว่า รอยแผลค่อนข้างลึก ล้วนเป็นบาดแผลใหม่ที่เกิดขึ้นไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
ฮ่องเต้ลุกขึ้นยืน เดินอ้อมโต๊ะเข้าไปสำรวจบาดแผลที่แขนของเหลียงอ๋อง จากนั้นกำหมัดซึ่งแนบอยู่ข้างลำตัวแน่น
เหตุใดเด็กคนนี้ถึงได้…
เหลียงอ๋องมองสบตาฮ่องเต้ทั้งน้ำตา จากนั้นก้มศีรษะแนบพื้นอีกครั้ง
“ตอนแรกลูกใช้เลือดของตัวเอง ทว่า เป็นดั่งที่ท่านอาจารย์กล่าว มันไม่ค่อยได้ผลกับเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
เหลียงกล่าวแล้วร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
“ลูกรู้ดีว่าการใช้เด็กมาปรุงยาวิเศษมันโหดร้ายเกินไป ทว่า เมื่อลูกคิดได้ว่าเสด็จพ่อต้องทำงานตรากตรำเพื่อชาวเมืองทั่วทั้งแคว้นจนร่างกายทรุดโทรมเช่นนี้ ลูกก็นอนไม่หลับแม้แต่คืนเดียว เมื่อลูกเห็นว่าเสด็จทรงมีพลานามัยที่แข็งแรงขึ้นหลังจากใช้ยาที่ปรุงยาเด็ก ลูกจึงคิดว่าต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ ลูกก็พร้อมทำให้เสด็จพ่อทรงมีอายุยืนยาวต่อไปพ่ะย่ะค่ะ ลูกกลัวว่าหากเสด็จพ่อทรงรู้เรื่องนี้จะคิดว่ามันโหดร้ายเกินไปและไม่ยอมใช้ยาวิเศษต่อ ลูกจึงปิดบังเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อโปรดลงโทษลูกด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
เหลียงอ๋องโขกศีรษะลงบนพื้นจนเกิดเสียง