ตอนที่ 502 สนับสนุนซิ่นอ๋อง
มีคนอยู่ที่หน้าจวนเหลียงอ๋องมากมาย เรื่องนี้ไม่มีทางแก้ไขได้อีกแล้ว
ได้ยินว่าเมื่อรัชทายาทพบว่าเหลียงอ๋องใช้เด็กปรุงยาจริงๆ เขาเป็นลมหมดสติไปทันทีด้วยความตกใจ รัชทายามถูกองครักษ์จวนรัชทายาทหามออกมาจากจวนเหลียงอ๋อง
สตรีกลางคนนางนั้นร้องไห้จนเป็นลมหมดสติเพราะไม่รู้จะไปตามหาบุตรชายทั้งสองของตัวเองจากที่ใดแล้ว
คืนนั้น เรื่องที่เหลียงอ๋องใช้เด็กปรุงยาวิเศษแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวง นึกไม่ถึงเลยว่าหมดจากซิ่นอ๋องแล้ว ยังมีองค์ชายที่เลวทรามยิ่งกว่าสัตว์เช่นนี้โผล่มากอีกคน
เมื่อไป๋จิ่นซิ่วได้รับรายงานว่าเด็กเหล่านั้นได้รับการช่วยเหลือออกมาแล้วจึงโล่งใจ
ไป๋จิ่นจื้อนำจดหมายที่หลูหนิงฮว่าเขียนถึงไป๋ชิงเหยียนขี่ม้าเร็วกลับไปยังซั่วหยางทั้งวันทั้งคืนโดยไม่ได้หยุดพัก ในที่สุดคืนวันที่ยี่สิบสาม สาวน้อยก็กลับไปถึงจวนไป๋ที่ซั่วหยาง
เมื่อไป๋จิ่นจื้อก้าวเข้าไปในจวนไป๋ สาวน้อยมุ่งหน้าไปยังเรือนของไป๋ชิงเหยียนด้วยความรีบร้อน จากนั้นมอบจดหมายให้พี่หญิงใหญ่ของตน
เมื่อเห็นไป๋จิ่นจื้อดื่มน้ำรวดเดียวจดชนหมดอย่างกระหาย ท้องส่งเสียงร้องด้วยความหิวโหย ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้เปิดจดหมายอ่าน ทว่า หันไปสั่งชุนเถา “ให้คนนำน้ำมาให้คุณหนูสี่ล้างหน้าล้างตาให้สะอาด นำนมแพะและของว่างมาให้นางก่อน จากนั้นให้โรงครัวทำบะหมี่โรยผักดองและไข่สองฟอง อีกทั้งทั้งขาหมูนิ่งโรยน้ำผึ้งมาให้คุณหนูสี่ด้วย!”
“พี่หญิงใหญ่เอ็นดูข้าที่สุดแล้วเจ้าค่ะ!” ไป๋จิ่นจื้อยิ้มกว้าง
ไป๋ชิงเหยียนนั่งลงใกล้ๆ ตะเกียง เปิดจดหมายอ่านอย่างคราวๆ แล้วก็รู้สึกคาดไม่ถึง
ไป๋ชิงเหยียนคิดไม่ถึงเลยว่าฮองเฮาจะมีใจทะเยอทะยานถึงกับกล้าให้แม่ทัพฝูรั่วซีบุกโจมตีวังหลวง สนับสนุนซิ่นอ๋องขึ้นครองบัลลังก์เช่นนี้
ไป๋ชิงเหยียนเคยร่วมรบกับแม่ทัพฝูรั่วซี หญิงสาวมองออกว่าฝูรั่วซีไม่ใช่คนที่ไม่แยกแยะผิดถูก ที่สำคัญหลูหนิงฮว่าก็เขียนบอกในจดหมายแล้วว่าฝูรั่วซียังไม่ได้ตอบรับคำขอของฮองเฮา
ฝูรั่วซีไม่ใช่คนโง่ บุกโจมตีวังหลวง หากทำสำเร็จจะกลายเป็นขุนนางผู้มีความดีความชอบ ทว่า หากล้มเหลว…ต้องชดใช้ด้วยชีวิตคนทั้งตระกูล!
แม้บัดนี้ฝูรั่วซีจะอยู่ที่ค่ายทหารอันผิงซึ่งอยู่ไกลจากเมืองหลวง ทว่า ตอนนี้ในเมืองหลวงไม่มีแม่ทัพที่เก่งกาจมากนัก ครั้งนี้ฝูรั่วซีสร้างผลงานได้อีกครั้งในสงครามเป่ยเจียง หากภายภาคหน้าเกิดสงครามขึ้นอีก ฝูรั่วซีจะกลายเป็นแม่ทัพคนสำคัญ เขาไม่ใช่คนไร้อนาคต เหตุใดต้องเอาคนทั้งตระกูลของตัวเองไปเสี่ยงอันตรายด้วย
ทว่า ไป๋ชิงเหยียนสงสัยว่าเหตุใดฮองเฮาจึงไปขอร้องฝูรั่วซี ฮองเฮาและฝูรั่วซีมีข้อ แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน หรือมีความสัมพันธ์อันใดกันมาก่อนกันแน่ ฮองเฮาจึงกล้ากล่าวว่าจะก่อกบฏต่อหน้าฝูรั่วซีเช่นนี้
ไป๋ชิงเหยียนเผาจดหมายในมือทิ้ง เมื่อเห็นว่าไฟลามจนเกือบสุดแผ่นจดหมาย หญิงสาวจึงวางมันลงในถาดล้างพู่กัน เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นไป๋จิ่นจื้อฟุบหลับอยู่บนโต๊ะเล็ก
ชุนเถาถือถาดอาหารสีดำเข้ามาด้านใน เตรียมกล่าวสิ่งใดออกมา ทว่า เห็นไป๋ชิงเหยียนส่งสัญญาณให้เงียบเสียงเสียก่อน ไป๋ชิงเหยียนลุกขึ้นเดินไปหาไป๋จิ่นจื้อ ถัดเส้นผมที่ตกลงมาของน้องสาวไปไว้ที่หลังใบหู จากนั้นกล่าวเสียงเบาหวิว
“ให้ถงหมัวมัวไปเรียนให้ท่านอาสะใภ้สามทราบว่าเสี่ยวซื่อเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางจนผล็อยหลับไปแล้ว วันนี้นางจะนอนกับข้าที่นี่! ให้โรงครัวต้มโจ๊กรังนกแล้วอุ่นร้อนไว้ตลอดเวลา พอเสี่ยวซื่อตื่นขึ้นมาจะได้ทาน”
“เจ้าค่ะ!” ชุนเถารับคำ ช่วยไป๋ชิงเหยียนย้ายโต๊ะที่วางอยู่บนเก้าอี้ยาวออก วางไป๋จิ่นจื้อให้นอนราบลง จากนั้นนำหมอนและผ้าห่มผืนบางมาคลุมให้ไป๋จิ่นจื้อ
ไป๋ชิงเหยียนถอดรองเท้าของไป๋จิ่นจื้อออก เมื่อจัดท่านอนของน้องสาวเรียบร้อยจึงนั่งลงด้านข้าง มองใบหน้าของน้องสาวนิ่ง ขยับห่มผ้าให้นาง
คำนวณดูจากเวลาแล้ว ไป๋จิ่นจื้อคงเร่งเดินทางโดยไม่ได้หยุดพักแม้แต่น้อย เมื่อกลับมาก็ไม่ได้พักผ่อน นางคงลำบากมากจริงๆ ถึงได้เหนื่อยขนาดนี้
สองสามวันมานี้ ไป๋จิ่นจื้อขี่ม้าแทบตลอดเวลา ขาอ่อนของหญิงสาวถลอก มีเลือดซึมออกมา ไป๋ชิงเหยียนนั่งทำแผลให้น้องสาวภายใต้แสงของตะเกียง
เสียงไฟปะทุขึ้นเล็กน้อยจากในตะเกียงแก้ว เปลวไฟสะบัดพลิ้วไปมา ไป๋ชิงเหยียนล้างมือจนสะอาดแล้วลุกขึ้นยืนดับไฟในตะเกียงแก้วซึ่งวางอยู่บนแท่นสูง ไป๋จิ่นจื้อจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
ชุยซื่อได้ยินว่าไป๋จิ่นจื้อมายังจวนของไป๋ชิงเหยียนทันทีที่กลับมาถึงจวน หญิงสาวคำนวณเวลาคิดว่าทั้งคู่น่าจะสนทนาเรื่องสำคัญเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงพาสาวใช้นำของขวัญพบหน้ามาให้ไป๋จิ่นจื้อที่เรือนปัวอวิ๋น
ทว่า ถูกไป๋ชิงเหยียนเชิญไปที่ห้องเล็กด้านข้างเสียก่อน เมื่อสอบถามจึงรู้ว่าไป๋จื้อหลับไปแล้ว ไป๋ชิงเหยียนกลัวว่าหากเข้าไปในสนทนาด้านในจะรบกวนการพักผ่อนของไป๋จิ่นจื้อ
เมื่อชุยซื่อได้ยินจึงเงียบไปครู่หนึ่ง นางรู้สึกอิจฉาความสัมพันธ์ของพี่น้องตระกูลไป๋จริงๆ
เมื่อชุนเถารินน้ำชาให้ชุยซื่อเสร็จแล้วจากไป ชุยซื่อจึงกล่าวกับไป๋ชิงเหยียนยิ้มๆ
“ไม่กลัวพี่หญิงดูแคลน ข้ารู้สึกอิจฉาความสามัคคีของตระกูลไป๋จริงๆ เจ้าค่ะ ตระกูลชุยของข้าถือว่ามีความสามัคคีกันมากแล้ว อย่างน้อยท่านแม่ของข้าก็รู้ว่าพี่น้องทุกคนในตระกูลไม่ว่าเกิดจากภรรยาเอกหรืออนุล้วนสามัคคีปรองดองกัน เพราะพวกเราอยู่บนเรือลำเดียวกัน! ทว่า บรรดาอนุและบุตรอนุของท่านพ่อข้าเอาแต่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันอยู่ในเรือนหลังเพื่อให้เป็นที่โปรดปรานและเป็นใหญ่ อย่าว่าแต่ให้พี่สาวน้องสาวของข้านอนหลับอยู่ในเรือนข้าเลยเจ้าค่ะ แค่พวกนางมาหาข้าที่เรือนแม้เพียงครู่เดียว ข้าก็กลัวพวกนางคิดไม่ดีกับข้าแล้วเจ้าค่ะ”
ชุยชื่อกล่าวถึงตรงนี้ก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย เมื่อกล่าวจบจึงได้สติ หญิงสาวรีบหันไปมองไป๋ชิงเหยียนแวบหนึ่ง จากนั้นซ่อนดวงตาที่เริ่มแดงก่ำของตัวเองเอาไว้ หัวเราะออกมาเบาๆ “ดูข้าสิ ข้าแค่รู้สึกอิจฉาความสามัคคีของตระกูลไป๋ เหตุใดถึงกล่าวถึงเรื่องนี้กัน”
ชุยซื่อสวมชุดสีชมพูอ่อนนั่งอยู่ใต้ตะเกียงแก้ว บนศีรษะมีเพียงผ้าประดับมุกคาดอยู่เท่านั้น มองดูแล้วอบอุ่นและเรียบร้อย
ไป๋ชิงเหยียนรู้ว่าชุยซื่อเดินทางมาซั่วหยางครั้งนี้ไม่เพียงแต่เดินทางมาอวยพรวันเกิดและมอบของขวัญให้มารดาของนางแทนท่านยายเท่านั้น ชุนซื่ออยากให้ท่านหมอหงช่วยตรวจอาการของนางด้วยว่านางแต่งงานมานานแล้วเหตุใดถึงยังไม่มีบุตรเสียที
ชุยซื่อคือหลานสาวแท้ๆ ของท่านน้าสะใภ้รองของไป๋ชิงเหยียน เติบโตมาพร้อมกับต่งชิงหลาน ท่านน้าสะใภ้รักชุยซื่อประหนึ่งบุตรสาวของตัวเอง ไม่เคยยัดสตรีให้จวนของบุตรชายและไม่เคยรับอนุแทนบุตรชาย ทว่า ชุยซื่อก็ยังไม่ตั้งครรภ์เสียที
เพราะเหตุนี้ชุยซื่อจึงร้อนรนใจมาก ครึ่งปีก่อนหญิงสาวเริ่มแอบคนในตระกูลตามหาหมอและยามารักษา ต่อมาหญิงสาวได้ยินว่าตระกูลไป๋มีท่านหมอหงซึ่งเป็นศิษย์พี่ของหมอหลวงหวงแห่งราชสำนัก หญิงสาวจึงอยากลองให้เขาตรวจดู
นึกไม่ถึงเลยว่าท่านหมอหงจะอยู่ที่เมืองหลวงต่อเพื่อดูแลไป๋จิ่นซิ่วที่กำลังตั้งครรภ์
ไป๋ชิงเหยียนวางถ้วยชาในมือลง วางแขนลงบนโต๊ะ จากนั้นกล่าวอย่างเปิดเผย
“ตระกูลไป๋มีแม่นางจี้อยู่ แม้นางจะยังเด็ก ทว่า มีฝีมือในการรักษามาก หากเจ้ายินดี ให้นางช่วยตรวจชีพจรให้ดีหรือไม่”
ชุยซื่อตะลึง เมื่อนางรู้ว่าท่านหมอหงอยู่ที่เมืองหลวงนางจึงไม่กล่าวถึงเรื่องนี้อีก ไม่เคยกล่าวแม้แต่กับต่งซื่อ ไป๋ชิงเหยียนรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน
เมื่อมีคนล่วงรู้ความในใจ ใบหน้าของชุยซื่อร้อนผ่าว ใบหูแดงก่ำ หญิงสาวกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น ใบหน้าส่อแววเขินอายดั่งเช่นสตรีทั่วไป กัดฟันแน่น “ข้าแสดงออกชัดเจนถึงเพียงนี้เลยหรือเจ้าคะ”
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวยิ้มๆ “ไม่หรอก มิเช่นนั้นท่านแม่คงถามไปนานแล้ว ทว่า พี่คิดว่าเจ้าใจร้อนเกินไป เจ้าเพิ่งแต่งงานกับฉางหลานแค่ปีกว่า ท่านยายและท่านน้าสะใภ้ก็คงไม่เร่งรัดเจ้าหรอก”