นางคิดจะใช้มือเปล่าถอนออกมา!
พอเห็นภาพตรงหน้า ผู้คนก็พากันสูดลมหายใจเข้าไปด้วยความเหน็บหนาว
พวกเขาต่างก็รู้ว่า หากว่าโดนปลายหนามเกี่ยวเข้า ต่อให้เป็นเพียงการสะกิดเล็กๆ น้อยๆ ก็จะโดนพิษของมัน บาดแผลจะเกิดต้นหนามงอกออกมา
สตรีผู้นั้นไยจึงโง่เง่า จนถึงขนาดทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา
หรือนางคิดว่า แค่บ่งเอายอดหนามออกมาจากบาดแผลบนมือของหยวนเฟยก็จบแล้วหรือ?
คิดเช่นนั้นมันไร้เดียงสาไปแล้ว!
ฝ่าบาทมิได้ขัดขวาง แต่สายพระเนตรของพระองค์ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบก็ไม่ได้คลาดไปจากตัวนาง
แม้ว่าพี่ชายทั้งสองคนจะเชื่อมั่นในความสามารถของผู้เป็นน้องสาว แต่ตอนนี้ก็มีเหงื่อเย็นๆ ออกมาเหมือนกัน
นับตั้งแต่ที่น้องเล็กฟื้นขึ้นมาจากการฆ่าตัวตาย ก็มักจะทำอะไรเกินความคาดหมาย พวกเขาล้วนไม่เข้าใจ
อู๋เจินนับว่าเป็นคนที่สงบนิ่งที่สุดแล้ว เขาละอยากจะไปหาเก้าอี้มานั่งดูงิ้วฉากนี้ด้วยซ้ำไป
อย่างไทเฮาน้อยนะรึ? ……นั่นน่ะเป็นท่านเซียนใหญ่เลยนะ
ขนาดท่านเจ้าอารามอู๋เทียนของพวกเขา ก็อาจจะเทียบไม่ได้ด้วยซ้ำไป จะไปกังวลทำไมกัน?
ส่วนพวกนักพรตที่มาจากภูเขาฮว่าชิ่งซานเหล่านั้น……เฮอะ ไม่อยู่ในสายตาเลยเสียด้วยซ้ำ
อีกด้านหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันจับยอดหนามเอาไว้โยกไปโยกมา ก็โคลงศีรษะ “เจ้าสิ่งนี้ดูเหมือนว่าจะหยั่งรากลึก ถอนยากพอควร”
หยวนเฟย “……” ไทเฮาเพคะ เวลาแบบนี้อย่าพึ่งล้อเล่นกับนางจะได้ไหม?
“หยวนเฟยเพคะ ทรงอดทนสักหน่อยนะเพคะ” ตู๋กูซิงหลันทำสีหน้าจริงจัง จับปลายหนามเอาไว้แน่นแล้วก็ออกแรงกระชาก
เหยียนเฉียวหลัวหัวเราะออกมาเสียงดัง “เจ้ามันบ้าไปแล้วหรือเปล่า? ไม้หนามนั่นงอกออกมาจากเลือดและกระดูก เจ้ายังคิดว่าจะถอนมันออกมาได้หรือ?”
“ข้าถึงบอกแล้วไง ว่าเจ้าน่ะอยากให้หยวนเฟยตายเร็วๆ ใช่หรือไม่?”
เหยียนเฉียวหลัวไม่เข้าใจจริงๆ ว่าสตรีที่โง่เง่าขนาดนี้ ไปเข้าตาจีเฉวียนได้อย่างไร?
หรือว่าเขาชอบคนโง่ๆ เช่นนี้หรือ?
หัวใจของเหยียนเฉียวหลัวยิ่งไม่สงบกว่าเดิม
ผู้อื่นต่างก็พากันมองมาที่ตู๋กูซิงหลันด้วยสายตาที่โง่งมไปหมดแล้ว เดิมทียังคิดว่านางคงจะมีดีอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นพวกที่ดีแต่ชิงดีชิงเด่นเท่านั้น
คนที่น่าสงสารที่สุดตั้งแต่ต้นจนจบก็คือหยวนเฟย
นางเป็นถึงองค์หญิงแห่งหนานเจียง พระสนมแห่งต้าโจว แต่ภายใต้การอนุญาตของฮ่องเต้ นางถึงกับถูกนางกำนัลผู้หนึ่งรังแก ไม่รู้ว่าหนานเจียงอ๋องที่ยอมเสียสละตนเองจนตายไปอยู่ในปรโลกพอรู้เข้า เขาจะรู้สึกเช่นไร
“เจ้าปล่อยหยวนเฟยไปเถอะ ต่อให้ไม่มีนาง ก็ยังมีพระสนมคนอื่นๆ อีก เจ้าไม่มีทางฆ่าได้หมดทุกคนหรอก”
มีเสียงคนผู้หนึ่งกล่าวออกมาจากกลางฝูงชน
โดยเฉพาะเหล่าคนที่ได้รับความทรมานจากไม้หนามไปก่อนหน้านี้ พอเห็นการกระทำของตู๋กูซิงหลันต่างก็พากันรู้สึกเหน็บหนาวไปทั้งร่าง
“จริงด้วย ตอนนี้นางยังเป็นเพียงแค่นางกำนัล ก็ยังร้ายกาจถึงขนาดนี้ หรือจะต้องให้ฮ่องเต้มีแต่นางเพียงผู้เดียวไปทั้งชีวิตหรืออย่างไร?”
จีเฉวียนลองคิดๆ ดู ก็ถูกแล้วนี่สตรีที่เขาจะอยู่ร่วมด้วยในชาตินี้ก็มีแต่ตู๋กูซิงหลันเพียงผู้เดียว
ขณะที่เสียงจากฝูงชนยังไม่ทันจะดังขึ้นมาอีกครั้ง ตู๋กูซิงหลันก็ร้องออกมาคำหนึ่ง “อ้ายย่าห์ ในที่สุดก็เอาออกมาได้แล้ว”
เหยียนเฉียวหลัว “?”
แค่เพียงประโยคเดียว ก็ทำให้คนทั้งหมดหันกลับไปมอง
ต่างก็เห็นว่าบนใจกลางฝ่ามือของนางมีรากหนามสองสามนิ้ววางอยู่ พอรากหนามนั้นอยู่อย่างว่างเปล่าในอากาศก็บิดตัวด้วยความเจ็บปวด
ส่วนหลังพระหัตถ์ของหยวนเฟยนั้น กลับไม่มีเลือดแม้แต่หยดเดียว ปากแผลที่ถูกดึงเอาหนามออกมา ก็สมานตัวเข้าหากันด้วยความรวดเร็วในทันที
เป็นไปได้อย่างไร? สตรีผู้นี้ถึงกับสามารถถอนรากไม้หนามออกมาได้จริงๆ หรือนี่?
นางทำได้อย่างไรกัน?
หยวนเฟยรู้สึกว่าเมื่อครู่ตอนที่ใจลอยไปเล็กน้อย อยู่ๆ ไม้หนามนั่นก็ถูกตู๋กูซิงหลันถอนออกไปในทันที นางรู้สึกแค่ว่ามีบางสิ่งในร่างกายถูกดึงออกไป หลังจากนั่น ร่างกายที่หนักอึ้งก็เบาสบายขึ้นมา
พอมองดูหลังมือของตนเอง ก็กลับเป็นเรียบลื่นเหมือนดังเดิม
ว่ากันตามจริง เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น แม้แต่ตัวนางก็ไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่นัก
คล้ายกับว่าในพระหัตถ์ของไทเฮาน้อยจะมียันต์อยู่ใบหนึ่ง ยันต์ใบนั้นถูกนางซุกเอาไว้ในมือ จึงไม่มีใครมองเห็น
หลังจากนั้น….ไม้หนามที่งอกออกมาจากเลือดเนื้อและกระดูกก็ถูกนางถอนออกมา
พอถอนหนามให้ทางนี้เสร็จแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็เอารากไม้หนามแท่งนั้นวิ่งไปหาจีเฉวียน กล่าวกับเขาว่า “ฝ่าบาทเพคะ พระองค์ก็ทรงทราบว่า บรรพบุรุษของข้านั้นชอบปลูกต้นไม้ เรื่องการปลูกๆ ถอนๆ อะไรเนี่ย บ่าวชำนาญที่สุดแล้ว ต้นไม้หนามนี้ก็งามดีไม่เลว ไยเราจึงไม่เอามันกลับไปปลูกไว้ในวังละเพคะ?”
จีเฉวียนมองดูนาง อยู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่า บรรพบุรุษของนางยังชำนาญการตบหน้ารักษาพิษอีกด้วย
พระองค์ทรงรู้สึกว่า เมื่อครู่นางสมควรจะถอดรองเท้ามาตบๆ หน้าหยวนเฟยสักชุดหนึ่ง ไม่แน่ว่ายอดหนามนั่นก็อาจจะหลุดออกมาเองก็เป็นได้
ตู๋กูซิงหลันไม่รู้จริงๆ ว่าฝ่าบาทกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ดังนั้นนางจึงมองดูเขาอย่างเงียบเชียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยกล่าววาจาร้ายกาจออกมา
“ท่าจะให้ดีที่สุดก็ปลูกเอาไว้ในพระตำหนักตี้หัวกงของพระองค์ หากว่ามีศัตรูที่เซ่อซ่าบุกเข้ามา เฮอะ ฝ่าบาทก็ทรงใช้สิ่งนี้ทิ่มตำเขา! ทิ่มๆๆ เอาให้ตายไปเลย!
ฝูงชน “!!!” สวรรค์ทรงโปรด ทำไมในโลกนี้ถึงได้มีสตรีที่ร้ายกาจเช่นนี้ได้!
แค่ได้ฟังที่นางพูดออกมา หัวใจของพวกเขาก็เกิดอาการชาแล้ว
จีเฉวียนทรงพระสรวลเบาๆ “ดี”
ผู้คนทั้งหมดต่างก็กล่าวอะไรไม่ออกแล้ว ….ดีกับพ่อเจ้าน่ะสิ! ความคิดที่โหดร้ายเช่นนี้ เขาคิดว่ามันดีที่ตรงไหนกัน?
“ฮ่องเต้ที่สามารถรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นเช่นฝ่าบาทนี้ ต่อให้จุดโคมตามหาก็ยังไม่เจอเลยเพคะ” ตู๋กูซิงหลันหัวเราะอย่างเบิกบาน
รากหนามในมือของนางยังคงดิ้นรน พอมันดิ้นอีกครั้ง ข้างกายก็เกิดไฟสีน้ำเงินบางๆ ขึ้นมาชั้นหนึ่ง
ทำเอามันตกใจจนไม่กล้าขยับตัวอีกแล้ว
ต้นไม้หนามเหล่านี้เกิดมาจากเลือดเนื้อ มันย่อมหวาดกลัวความเจ็บปวด
โดนยันต์ของตู๋กูซิงหลันเข้าไปแผ่นหนึ่ง ก็ได้แต่ต้องยินยอมอย่างศิโรราบ ไหนเลยยังจะกล้ากำแหงอีก?
ถึงแม้ว่าจะไม่มีหยกสรรพชีวิตอีกแล้ว แต่ว่านางก็มิได้อ่อนแอ
พวกปีศาจที่เคยได้พบมาในโลกก่อน ยังคงร้ายกาจยิ่งกว่าสิ่งเหล่านี้มากนัก
“เป็นความคิดที่ดี เราย่อมต้องรับฟัง” สายตาที่มองไปยังตู๋กูซิงหลันมีแต่ความโปรดปราน
พระองค์ยื่นพระหัตถ์ออกไปรับรากหนามนั้นมาถือเอาไว้ โดนมิได้หวาดกลัวว่ามันจะตำพระหัตถ์
ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่จดจ้องมาพระองค์ก็ส่งต่อให้กับหลงเซียว ให้เขาเก็บรักษาเอาไว้ “เอากลับวัง ไปปลูกให้ดีๆ”
หลงเซียวอยู่ๆ ก็ได้รับหน้าที่เช่นนี้มา ในใจพลันเกิดความหวั่นวิตก
ต่อไปเขาคงจะต้องคอยเตือนเหล่าองครักษ์ลับ เวลาไปที่พระตำหนักตี้หัวต้องระมัดระวังตัวให้มากๆ เสียแล้ว มิเช่นนั้นหากไม่ระมัดระวังคงต้องบาดเจ็บกันเป็นแน่
กับไทเฮาน้อย……ฝ่าบาททรงถึงขั้นเชื่อฟังทุกคำพูดไปแล้ว
ที่ผ่านมาสีหน้าของหลงเซียวล้วนไม่เคยบ่งบอกอารมณ์ใดๆ แต่ตอนนี้เมื่อเขามองไปยังตู๋กูซิงหลันกลับมีความเร่าร้อนขุมหนึ่งผุดขึ้นมา
เมื่อจีเฉวียนกวาดตามองมา หลงเซียวก็เก็บสายตากลับไป ส่งเสียงขานรับคำหนึ่ง “กระหม่อมรับพระบัญชา”
รับคำเสร็จแล้ว ก็ถอยห่างจากตู๋กูซิงหลันอย่าไร้ซุ่มเสียง
เขาติดตามฝ่าบาทมานานหลายปี ทุกสายพระเนตรของพระองค์ เขาย่อมเข้าใจความหมายอย่างชัดเจน
หากยังไม่ถอยไป เกรงว่าเขาคงจะต้องกลายเป็นต้นไม้หนามต้นแรกของพระตำหนักตี้หัวกงอย่างแน่นอน
ตอนนี้ เหยียนเฉียวหลัวถึงกับมึนงงไปหมดแล้ว นางเบิกตาโต แทบไม่อยากจะเชื่อ
นังคนนั้น….นางทำได้อย่างไร?
นี่มัน…….เป็นไปไม่ได้!
นอกเสียจากว่า……นางก็เป็นนักพรตเหมือนกัน?
แถมยังเป็นนักพรตที่สูงส่งอย่างยิ่งอีกด้วย!
——
ตอนต่อไป “อยู่ดีๆ ก็สุมไฟใส่ตัว”