ตอนที่ 604 ไม่อาจคาดเดาได้
หลูหนิงฮว่าตื่นเช้าเป็นประจำทุกวัน หญิงสาวรับประทานอาหารเช้าก่อนมาที่นี่เรียบร้อยแล้ว ไป๋จิ่นเซ่ออยากให้หลูหนิงฮว่าช่วยสอนวิชาแพทย์ที่นางอ่านจากตำราด้วยตัวเองแล้วไม่เข้าใจจึงจากไปพร้อมกับหลูหนิงฮว่า
องค์หญิงใหญ่ไม่ใช่แม่สามีที่ชอบทรมานลูกสะใภ้ของตน หลายปีมานี้นางไม่เคยเรียกลูกสะใภ้คนใดมาปรนนิบัติตอนรับประทานอาหารเช้า นางจึงสั่งให้หลิวซื่อนั่งลงรับประทานอาหารเช้าพร้อมกัน
ขณะรับประทานอาหาร จู่ๆ หลิวซื่อก็กล่าวถึงต้าหลี่ซื่อชิงต่งชิงผิงซึ่งเป็นลุงของไป๋ชิงเหยียนขึ้นมา
“เมื่อต้นเดือนเก้าบุตรสาวอนุของตระกูลต่งเพิ่งหมั้นหมายกับบุตรชายคนโตซึ่งเป็นทายาทสายหลักของตระกูลฝู พวกเขาแลกเปลี่ยนดวงตกฟากกันเรียบร้อยแล้ว ข้าได้ยินฮูหยินหวงกล่าวว่าดวงชะตาของคนทั้งคู่เหมาะสมกันยิ่งนัก บัดนี้ตระกูลฝูเกิดเรื่องขึ้นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าตระกูลต่งจะถอนหมั้นให้บุตรสาวของตัวเองหรือไม่”
ไป๋ชิงเหยียนไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน หากทั้งสองตระกูลแลกเปลี่ยนดวงตกฟากกันช่วงต้นเดือนเก้า ตอนนั้นไป๋ชิงเหยียนอยู่กับรัชทายาท ไม่ได้รับข่าวจากไป๋จิ่นซิ่วอีกแล้ว เหตุใดเมื่อวานไป๋จิ่นซิ่วถึงไม่เล่าเรื่องนี้ให้นางฟันกันนะ
เมื่อคิดได้ว่าเมื่อวานนางเพิ่งกลับมาถึงจวน ยังไม่มีเวลาพักผ่อน ไป๋จิ่นซิ่วคงสงสารนางจึงยังไม่เล่าเรื่องเหล่านี้ให้นางฟัง
ทว่า พี่ชายของฝูรั่วซีมีบุตรชายที่เกิดจากภรรยาอกเพียงคนเดียว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คือหลานชายคนโตของตระกูลฝู ตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงเคยให้บุตรชายคนรองของตระกูลแต่งงานกับบุตรสาวที่เกิดจากอนุ ทว่า ไม่เคยมีเหตุการณ์ที่ให้บุตรชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอกแต่งงานกับบุตรสาวที่เกิดจากอนุมาก่อน แม้แต่งเป็นภรรยาใหม่ก็ยังไม่เคยมี
เมื่อเห็นไป๋ชิงเหยียนเงยหน้าขึ้นอย่างงุนงง หลิวซื่อรีบอธิบาย “อาเป่ายังไม่รู้เรื่องนี้ใช่หรือไม่ จะว่าไปก็ไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าใด เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของสตรีตระกูลต่ง เมื่อวานจิ่นซิ่วก็คงยังไม่ได้เล่าให้เจ้าฟัง”
องค์หญิงใหญ่พยักหน้า ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปาก กล่าวกับไป๋ชิงเหยียน “ต่งถิงฟาง บุตรอนุของท่านลุงเจ้าตกน้ำ บุตรชายคนโตของตระกูลฝูช่วยนางขึ้นมาจากน้ำ ต่อมาคงคำนึงถึงเรื่องชื่อเสียงของฝ่ายหญิง ทั้งสองตระกูลจึงตกลงหมั้นหมายกัน ตอนนี้แลกดวงเกิดกับเรียบร้อยแล้ว”
องค์หญิงใหญ่กล่าวเพียงเท่านี้ ทว่า ไป๋ชิงเหยียนพอจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว
เมื่อเห็นองค์หญิงใหญ่เป็นคนเปิดบทสนทนา หลิวซื่อที่ได้ยินข่าวลือลับๆ มาจากฮูหยินจวนอื่นก็เริ่มเก็บอาการไม่อยู่ ขยับเข้าไปใกล้ไป๋ชิงเหยียน กล่าวเสียงเบาหวิว “แม้จะกล่าวเช่นนี้ ทว่า ข้าได้ยินฮูหยินตระกูลอื่นกล่าวว่าหลังจากบุตรอนุของตระกูลต่งกลับไปที่จวน นางเอาเชือกออกมาเตรียมผูกคอตาย กล่าวว่าถูกคุณชายตระกูลฝูล่วงเกินไปแล้ว นางยินดีชดใช้ด้วยชีวิตของตัวเองเพื่อรักษาชื่อเสียงของสตรีตระกูลต่งเอาไว้ ฮูหยินซ่งจนปัญญาจึงต้องเชิญฮูหยินของเสนาบดีกรมทหารไปคุยเรื่องแต่งงานที่ตระกูลฝู”
องค์หญิงใหญ่กระแอมออกมาเล็กน้อย ทว่า หลิวซื่อกำลังกล่าวอย่างเมามัน
“มีบางคนเล่าว่าบุตรชายคนโตของตระกูลฝูหมั้นหมายกับญาติผู้น้องของตระกูลน้าชายของตัวเองแล้ว ทว่า เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเขาจึงต้องยกเลิกการหมั้นหมายกับตระกูลญาติของตนเอง บางคนกล่าวว่าบุตรสาวตระกูลต่งเจ้าแผนการ บุตรสาวอนุของตระกูลต่งผู้นี้สนิทสนมกับญาติผู้น้องที่หมั้นหมายอยู่กับบุตรชายตระกูลฝูเป็นอย่างดี นางคงมีใจให้คุณชายฝูจึงได้วางแผนตกน้ำและใช้ความตายบีบให้ฮูหยินต่งแบกหน้าไปตกลงเรื่องการแต่งงานกับตระกูลฝูเช่นนี้ บางคนก็กล่าวว่าบุตรอนุของตระกูลต่งเป็นสาวบริสุทธิ์ที่ร้อนแรง!”
“ฮูหยินสอง…” เจี่ยงหมัวมัววางชามโจ๊กลงตรงหน้าฮูหยินสอง จากนั้นกล่าวยิ้มๆ “หากฮูหยินรองไม่รีบรับประทาน โจ๊กจะเย็นหมดนะเจ้าคะ”
ฮูหยินสองจึงได้สติ นางเหลือบมองไปทางองค์หญิงใหญ่ที่กำลังขมวดคิ้วอย่างระมัดระวัง จากนั้นใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปาก กล่าวออกมาอย่างกระอักกระอวน “สรุปก็คือเรื่องดีมีน้อย คำนินทามีมากกว่า อาเป่ายังไม่ได้แต่งงานออกเรือน เจ้าควรระวังไว้สักหน่อย หากวันนี้พบหน้าบุตรอนุผู้นั้น กล่าวทักทายเป็นพิธีก็พอ มิเช่นนั้นเจ้าอาจพลอยเสียชื่อเสียงไปด้วย”
“อาเป่าจะจำไว้เจ้าค่ะ ขอบพระคุณท่านอาสะใภ้สองที่เตือนเจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้าให้หลิวซื่อ
หลิวซื่อไม่กล้ารับคำ ได้แต่ก้มหน้าทานโจ๊ก ลอบด่าตัวเองอยู่ในใจที่ควบคุมปากของตัวเองไว้ไม่ได้
เมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จ หลิวซื่อเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดขาวเรียบ นั่งพักอยู่ในเรือนของตัวเองสักครู่ เมื่อถึงยามซื่อ[1]จึงออกเดินทางไปยังจวนฝูพร้อมกับไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นเซ่อ
โคมไฟหน้าประตูจวนฝูถูกเปลี่ยนเป็นโคมไฟสีขาวและแขวนประดับด้วยผ้าไหมที่มีอักษรคำว่าเตี้ยนแปะอยู่ ประตูสีแดงเปิดอ้าออก ผ้าไหมสีขาวที่แขวนถูกประดับตามชายหลังคา ระเบียงทางเดินและประตูแกว่งไปมาตามแรงลม
ทุกคนในจวนฝูเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดสีขาวเรียบ
บ่าวรับใช้ที่ยืนต้อนรับแขกอยู่หน้าจวนเหมือนจะรู้ว่าวันนี้คงไม่ค่อยมีคนมาร่วมพิธีศพ สีหน้าของพวกเขาจึงส่อแววขี้เกียจออกมาให้เห็น
บัดนี้เจ้านายของจวนฝูนั่งคุกเข่าขนาบทั้งสองด้านของโลงศพของฝูเหล่าไท่จวิน บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้สะอื้น บางคนร้องไห้ให้กับการตายของฝูเหล่าไท่จวิน บางคนร้องไห้ให้กับอนาคตที่ไม่อาจคาดเดาได้ของตัวเอง
พี่สะใภ้ของฝูรั่วซีกำเสื้อบริเวณหน้าอกของตัวเองแน่น ร้องไห้พลางก่นด่าหลัวซื่อผู้เป็นภรรยาของฝูรั่วซี
ว่ากันว่าสามีภรรยาคือคนๆ เดียวกัน สิ่งที่ฝูรั่วซีทำทำให้ตระกูลฝูเดือดร้อนทั้งตระกูล หลัวซื่อฟังคำด่าของพี่สะใภ้แทนฝูรั่วซีโดยไม่กล่าวสิ่งใดทั้งสิ้น นางทำเพียงใช้มือปิดหูทั้งสองข้างของบุตรชายคนเล็กที่ร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของตนเพราะเสียใจกับการจากไปของย่าตัวเอง นางก้มหน้า ยิ้มให้บุตรชายด้วยดวงตาที่แดงก่ำราวกับอยากปลอบประโลมบุตรชาย ทว่า น้ำตากลับไหลรินออกมาไม่หยุด
บ่าวรับใช้ของตระกูลฝูเห็นรถม้าซึ่งมีผ้าม่านสีเขียวอ่อนแล่นมาแต่ไกล เมื่อเห็นชัดว่าคือรถม้าของตระกูลไป๋ บ่าวรับใช้จึงรีบวิ่งเข้าไปรายงานเจ้านายว่าคนจากตระกูลไป๋มา
เสียงด่าทอและร้องไห้ในบริเวณหอทำพิธีสงบลงทันที หลัวซื่อหยัดหลังตรงมองไปทางประตู บ่าวรับใช้กล่าวเพียงว่าคนของตระกูลไป๋มา ไม่รู้ว่าองค์หญิงเจิ้นกั๋วเสด็จมาด้วยตัวเองหรือไม่
เมื่อวานก่อนที่ศพของฝูเหล่าไท่จวินจะถูกนำกลับมาที่จวน สาวใช้ข้างกายของฝูเหล่าไท่จวินนำจดหมายฉบับหนึ่งมามอบให้หลัวซื่อ กล่าวว่าให้เชื่อใจองค์หญิงเจิ้นกั๋ว
ไม่ได้กล่าวสิ่งใดนอกเหนือจากนี้อีก
ต่อมาศพของฝูเหล่าไท่จวินถูกส่งกลับมาที่จวน สาวใช้ข้างกายของฝูเหล่าไท่จวินที่รับใช้ข้างกายท่านมานานตกใจมาก ก้มศีรษะแนบพื้น กล่าวว่านางไม่มีพ่อแม่ ฝูเหล่าไท่จวินเลี้ยงดูนางเติบใหญ่ บัดนี้ฝูเหล่าไท่จวินไม่อยู่แล้ว นางอยากตามไปอยู่กับฝูเหล่าไท่จวิน
หากไม่ใช่เพราะสาวใช้ข้างกายของหลัวซื่อไหวตัวทัน บัดนี้สาวใช้ข้างกายของฝูเหล่าไท่จวินคงกลายเป็นศพไปแล้วเช่นเดียวกัน
ไม่นาน หลัวซื่อเห็นหลิวซื่อในชุดสีขาวเรียบเดินเข้ามาด้านในโดยมีองค์หญิงเจิ้นกั๋วไป๋ชิงเหยียนและคุณหนูเจ็ดไป๋จิ่นเซ่อเดินตามหลังมาด้วย
น้ำตาของหลัวซื่อไหลพรากออกมาทันที ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามาในใจ
ตอนที่ตระกูลไป๋เกิดเรื่องขึ้น เดิมทีฝูเหล่าไท่จวินอยากไปเคารพศพที่จวนไป๋ ทว่า นางและพี่สะใภ้หาวิธีขัดขวางไม่ให้ฝูเหล่าไท่จวินไป คนสูงศักดิ์ในเมืองหลวงไม่มีผู้ใดไปเคารพศพ หากพวกนางไปแล้วฝ่าบาททรงทราบขึ้นมา อาจสร้างความเดือดร้อนให้ฝูรั่วซีที่อยู่ที่ค่ายทหารผิงอันได้
ทว่า บัดนี้ฝูรั่วซีชักดาบใส่รัชทายาท เขาต้องโทษโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ตระกูลฝูตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับตระกูลไป๋ในตอนนั้นที่ไม่มีผู้ใดมาเคารพศพ แม้แต่หลานแท้ๆ จากตระกูลฝั่งมารดาของฝูเหล่าไท่จวินยังไม่กล้ามา ทว่า คนของตระกูลไป๋กลับมา
หลัวซื่อเสียใจและรู้สึกผิดมาก
“นั่นองค์หญิงเจิ้นกั๋ว!” พี่ชายของฝูรั่วซีหยัดแผ่นหลังตรง คุกเข่าก้มหน้าอยู่บนพื้นพลางกล่าวเสียงเบาหวิว “คุกเข่าให้ดีๆ!”
คำว่าองค์หญิงเจิ้นกั๋วทำเอาคนทั้งจวนฝูรู้สึกเหมือนศัตรูกำลังบุกมาเยือน
พี่สะใภ้ของฝูรั่วซีที่เมื่อครู่ก่นด่าหลัวซื่ออย่างโมโห บัดนี้ลำคอร้อนผ่าว คุกเข่าอยู่ด้านข้าง ไม่กล้าแม้แต่จะเปล่งเสียงร้องไห้ออกมา
[1] ยามซื่อ เวลาระหว่าง 09.00-11.00 นาฬิกา