ตอนที่ 635 สุราหนึ่งจอกรวบอำนาจทหาร
กลัวว่าอาเป่าจะมีอันตรายหรือได้รับบาดเจ็บ
หลิวซื่อเป็นเพียงสตรีในเรือนหลัง สิ่งที่นางกังวลเป็นอันดับแรกคือหลังจากที่กบฏบุกเข้ามาในเรือน พวกเขาอาจข่มเหงย่ำยีสตรีอ่อนแออย่างพวกนาง นางคือสะใภ้ของตระกูลไป๋ นางยอมตายดีกว่าถูกย่ำยี อย่างมากก็แค่ใช้ปิ่นปักผมแทงไปที่หัวใจเพื่อปลิดชีพ
ทว่า…เสี่ยวชีเล่า!
หลิวซื่อกวาดสายตามองไปทางไป๋จิ่นเซ่อที่กำลังมองเหตุการณ์นอกหน้าต่าง นางควรเอาเสี่ยวชีไปซ่อนไว้ที่ใดดี หรือควรส่งนางไปหลบอยู่ที่จวนอื่นก่อนดีนะ
ทว่า เพื่อนบ้านละแวกเดียวกับจวนองค์หญิงเจิ้นกั๋วคงได้ยินเสียงต่อสู้กันหมดแล้ว บัดนี้ทุกคนต่างตกอยู่ในอันตราย ไม่รู้จะเอาตัวรอดได้หรือไม่ ผู้ใดจะมาสนใจความปลอดภัยของจวนองค์หญิงเจิ้นกั๋วกัน
หลิวซื่อกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณ หวังจะหาห้องลับในเรือนฉางโซ่วขององค์หญิงใหญ่ อย่างน้อยพอซ่อนตัวไป๋จิ่นเซ่อได้สักคนก็ยังดี
ลมหนาวพัดโชยเข้ามา ไป๋จิ่นเซ่อเงยหน้ามองดูเมฆครึ้มบนท้องฟ้า ไม่นานฝนก็เริ่มตกลงมา ตอนแรกเม็ดฝนตกเพียงปรอยๆ เท่านั้น ต่อมาเม็ดเริ่มหนาและตกหนักขึ้นเรื่อยๆ
หญิงชราและบ่าวรับใช้ที่มีพละกำลังและพอต่อสู้เป็นคุ้มกันอยู่กลางลานหญ้าด้วยสีหน้าเคร่งเคียด
ไม่นาน เสียงสู้รบที่เรือนหน้าดูเหมือนจะแผ่วลงแล้ว
เมื่อเสียงสู้รบจากเรือนหน้าเงียบสนิทลง องครักษ์ไป๋คนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาหยุดยืนอยู่หน้าเรือนฉางโซ่ว ตะโกนเสียงดังลั่น “กบฏถูกสังหารหมดสิ้นแล้ว! เซียวเซียนเซิงให้ข้ามาเรียนให้ฮูหยินสองและคุณหนูเจ็ดทราบขอรับ ฮูหยินสองและคุณหนูเจ็ดสบายใจได้แล้วขอรับ!”
คำกล่าวนี้เปรียบเสมือนน้ำร้อนที่ราดลงบนกระทะ คนในเรือนฉางโซ่วทั้งคลายกังวลทั้งรู้สึกตื่นเต้น ต่างพากันถอนหายใจพลางกล่าวว่าดี
“เซียวเซียนเซิงอย่างนั้นหรือ” ฮูหยินสองผุดลุกขึ้นยืนอย่างตกใจ หลัวหมัวมัวประคองมือฮูหยินสองไปหยุดอยู่ริมหน้าต่าง “ให้คนเข้ามา!”
ประตูเรือนฉางโซ่วถูกเปิดออก ฮูหยินสองก้าวออกมาจากห้องด้านใน ไป๋จิ่นเซ่อ หมอหงและหลูหนิงฮว่าก็แหวกม่านเดินออกมาเช่นเดียวกัน
องครักษ์ไป๋รีบคุกเข่าลงบนพื้นทันทีที่ก้าวเข้ามาในเรือน กล่าวขึ้น “ฮูหยินสอง คุณหนูเจ็ด พวกกบฏถูกสังหารจนสิ้นไม่เหลือแม้แต่ผู้เดียวขอรับ!”
ฮูหยินสองคลายกังวลทันที นางรีบเอ่ยถาม “เจ้าบอกว่าเซียวเซียนเซิงอย่างนั้นหรือ เซียวเซียนเซิงคนใดกัน”
“เรียนฮูหยินสอง เซียวเซียนเซิงที่ก่อนหน้านี้เคยช่วยชีวิตฮูหยินสี่ตอนตระกูลไป๋จัดพิธีศพขอรับ เซียวเซียนเซิงพาองครักษ์ประจำตัวและองครักษ์ลับมาที่จวนตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่างขอรับ เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของคุณหนูใหญ่จึงให้องครักษ์ลับของเขาตามไปคุ้มครองคุณหนูใหญ่ รับปากว่าจะช่วยคุ้มครองจวนไป๋แทนคุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ ก่อนคุณหนูใหญ่จะจากไปนางกำชับให้พวกข้าทำตามคำสั่งของเซียวเซียนเซิงทุกอย่าง เซียวเซียนเซิงผู้นี้เก่งกาจมากขอรับ เขานำพวกข้าสังหารกบฏเหล่านั้นจนเกลี้ยง ไม่เหลือรอดสักราย ตอนนี้เซียวเซียนเซิงกำลังสั่งให้คนซ่อมแซมประตูจวนอยู่ ป้องกันคนพวกนั้นบุกมาอีกขอรับ”
องครักษ์ไป๋เล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้อย่างละเอียดและชัดเจน
หลิวซื่อตาแดงก่ำ นางเข้าใจสัจธรรมที่ว่าการส่งเสริมให้ดีขึ้นอีกคือเรื่องง่าย การยื่นมือช่วยเหลือในยามยากคือเรื่องดี
เซียวหรงเหยี่ยนยื่นมือเข้าช่วยเหลือตระกูลไป๋ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เมื่อตระกูลไป๋ตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้เขายังมาช่วยเหลือพวกนางอีก คนผู้นี้จริงใจต่อตระกูลไป๋อย่างแท้จริง
“ดีแล้ว! ดีแล้ว!” หลิวซื่อใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา “หลังจบเรื่องนี้ ข้าจะไปขอบคุณเซียวเซียนเซิงด้วยตัวเอง”
องครักษ์พยักหน้า “ฮูหยิน ข้าต้องกลับไปคุ้มกันด้านหน้าต่อเผื่อพวกกบฏบุกมาอีกขอรับ”
“ได้ ไปเถิด ระวังตัวด้วย ลำบากพวกเจ้าแล้ว!” ฮูหยินสองกล่าว
องครักษ์ไป๋ลุกขึ้นจากพื้น ทำความเคารพอีกครั้ง จากนั้นวิ่งฝ่าสายฝนไปยังเรือนหน้า
ประตูเรือนฉางโซ่วถูกปิดลงอีกครั้ง หลิวซื่อถอนหายใจยาวออกมาอย่างโล่งอก ทว่า เมื่อนึกถึงไป๋จิ่นซิ่ว วั่งเกอและไป๋ชิงเหยียนที่ตอนนี้ไม่รู้เป็นเช่นไรบ้าง หลิวซื่อก็เป็นกังวลขึ้นมาอีกครั้ง
ไป๋จิ่นเซ่อเงยหน้ามองหลิวซื่อ เอื้อมมือไปกระตุกแขนเสื้อลายผีเสื้อสีม่วงของหลิวซื่อเบาๆ “ท่านอาสะใภ้สองไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ พี่หญิงรองไม่มีอันตรายแน่เจ้าค่ะ พวกเขาพุ่งเป้ามาที่จวนองค์หญิงเจิ้นกั๋วที่เดียว มิเช่นนั้นพวกเราคงได้ยินเสียงสู้รบดังมาจากทางอื่นบ้างแล้วเจ้าค่ะ เสียนอ๋องและเหลียงอ๋องคงอยากจับตัวท่านอาสะใภ้สองและข้าไปเป็นตัวประกันเพื่อข่มขู่พี่หญิงใหญ่ ทว่า กองทัพหนานตูมีอยู่อย่างจำกัด พวกเขาไม่มีกำลังมากพอที่จะแบ่งไปที่จวนฉินหรอกเจ้าค่ะ!”
หลิวซื่อก้มหน้ามองไป๋จิ่นเซ่อ นางเห็นว่าสีหน้าของสาวน้อยหนักแน่นมั่นคงเสียยิ่งกว่าผู้ใหญ่อย่างนางเสียอีก “ที่สำคัญเมื่อครู่เซียวเซียนเซิงให้คนมาบอกแล้วว่ากบฏเหล่านั้นถูกสังหารจนเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่ผู้เดียว เช่นนี้ก็แสดงว่าไม่มีผู้ใดหนีรอดไปส่งข่าวให้เสียนอ๋องและเหลียงอ๋องรับรู้ได้เจ้าค่ะ หากไม่ได้รับข่าวจากจวนองค์หญิงเจิ้นกั๋ว เสียนอ๋องและเหลียงอ๋องไม่มีทางแบ่งกำลังคนไปยังจวนฉินแน่เจ้าค่ะ พวกเขามีเรื่องสำคัญกว่านั้นต้องทำ พวกเขาอยู่ในวังหลวง ไม่มีเวลามาสนใจตระกูลไป๋ของพวกเราหรอกเจ้าค่ะ”
หลิวซื่อมองดูเด็กสาวตัวน้อยที่ยืนอยู่เบื้องหน้าที่ปกติมักกล่าวเล่นสนุกสนาน นางรู้สึกเหมือนเห็นร่างของไป๋ชิงเหยียนอยู่ในตัวของไป๋จิ่นเซ่อ บัดนี้ท่าทีและการกระทำของเด็กสาวช่างเหมือนกับไป๋ชิงเหยียนพี่สาวของนางไม่มีผิดเพี้ยน
ในฐานะผู้ใหญ่ หลิวซื่อรู้สึกละอายใจยิ่งนักที่ต้องให้เด็กสาวคนหนึ่งมาคอยกล่าวปลอบ ทว่า ต้องยอมรับว่านางรู้สึกเบาใจลงไม่น้อยหลังจากได้รับคำปลอบจากไป๋จิ่นเซ่อ
มองดูฝนที่ตกหนักมาจากฟากฟ้า หลิวซื่อเอื้อมมือไปกุมเสื้อบริเวณหน้าอกของตัวเองอย่างไม่รู้ตัว “เจ้ากล่าวเช่นนี้ข้าก็เบาใจลงไม่น้อย หวังว่าอาเป่าที่อยู่ทางวังหลวงจะไม่เป็นอันตรายนะ!”
“พี่หญิงใหญ่ผ่านสนามรบมามาก หากเปรียบเรื่องการรบ ไม่มีผู้ใดสู้พี่หญิงใหญ่ได้ พี่หญิงใหญ่ไม่มีทางเป็นอันตรายหรอกเจ้าค่ะ!” ไป๋จิ่นเซ่อไม่รู้ว่านางกล่าวประโยคนี้ให้หลิวซื่อฟังหรือให้ตัวนางเองฟังกันแน่ น้ำเสียงมั่นคงและหนักแน่นกว่าประโยคเมื่อครู่มากนัก
…
ภายในวังหลวง ฟ่านอวี๋ไหวพาองค์รัชทายาทไปยังตำหนักของฮ่องเต้ทันทีที่เข้าไปในวังหลวงตามคำสั่งของไป๋ชิงเหยียน
ฉากกั้นแกะสลักลายดอกไม้ในตำหนักของฮ่องเต้ถูกเปิดออก แสงไฟในตำหนักสว่างจ้า ผ้าม่านผืนบางปลิวสยายไปมาตามแรงลม
ภายนอกตำหนักอันกว้างใหญ่ น้ำฝนตกชะล้างสิ่งสกปรกบนกระเบื้อง ตกกระทบลงบนม่านกันฝนตามชายคา ละอองฝนกระจายไปทั่วทั้งสี่ทิศ
ฮ่องเต้บรรทมสนิทอยู่บนเตียงมังกรภายในมุ้งสีแดงเข้ม หมอหลวงเฝ้าดูอาการอยู่ด้านข้างด้วยความหวาดกลัว เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดหลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงในวังหลวงหรือไม่ มีเพียงหมอหลวงหวงเท่านั้นที่คงยืนชิมยาของฮ่องเต้อยู่ใต้แสงไฟอย่างสงบนิ่ง
องค์หญิงใหญ่ซึ่งผมขาวโพลนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้หนานมู่กลางตำหนักด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย ทว่า ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจ นางกำไม้เท้าหัวพยัคฆ์แน่น คุ้มกันไม่ให้ผู้ใดเยื้องกรายเข้าใกล้ตำหนักเด็ดขาด เว่ยจงและเจี่ยงหมัวมัวยืนประกบองค์หญิงใหญ่คนละข้าง
โชคดีที่องค์หญิงใหญ่ยังพอมีคนอยู่ในวังหลวงอยู่บ้าง ประกอบกับชื่อเสียงของตระกูลไป๋ เหล่าแม่ทัพบางกลุ่มจึงยินดีติดตามองค์หญิงใหญ่มาคุ้มกันฮ่องเต้ด้วยชีวิต
ความจริงองค์หญิงใหญ่ไม่อยากช่วยชีวิตหลานชายซึ่งเป็นฮ่องเต้ของนางคนนี้แล้ว
ทว่า บัดนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ฮ่องเต้ควรตาย อย่างน้อยเขาต้องยืดหยัดอยู่จนกว่าความวุ่นวายนี้จะจบลง องค์รัชทายาทได้รับชัยชนะและได้ครองบัลลังก์อย่างราบรื่นเสียก่อน
บัดนี้องค์รัชทายาทให้ความสำคัญกับไป๋ชิงเหยียนหลานสาวของนาง ไป๋ชิงเหยียนเป็นเพียงสตรี ไม่มีอำนาจทางทหารอยู่ในมือ เมื่อองค์รัชทายาทได้ขึ้นครองราชย์ พระองค์คงใช้วิธีที่นุ่มนวล ประนีประนอม ใช้สุราจอกหนึ่งรวบคืนอำนาจทางทหาร ปล่อยให้ตระกูลไป๋มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างแน่นอน
ทว่า ลึกๆ แล้วองค์หญิงใหญ่ก็รู้สึกปวดใจ ราชสำนักที่เหลวแหลกในตอนนี้ไม่เหมือนราชสำนักในตอนที่เสด็จพ่อและเสด็จพี่ของนางยังมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว