ตอนที่ 687 ล่วงเกิน
“ตอนที่ข้าไม่อยู่ ซั่วหยางสงบเรียบร้อยดีหรือไม่” ไป๋ชิงเหยียนถาม
ไป๋ชิงผิงพยักหน้า “ทุกอย่างเรียบร้อยดีขอรับ พี่หญิงได้รับบาดเจ็บหรือขอรับ”
“มิเป็นอันใดมาก” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว “ค่ายทหารเป็นเช่นไรบ้าง”
“ช่วงนี้มีชาวบ้านมาขอสมัครเข้าร่วมจำนวนมากเพราะได้ยินว่าค่ายทหารสอนให้รู้หนังสือ ชาวบ้านบางครอบครัวถึงกับส่งลูกๆ ของตนมาในค่ายทหารด้วยขอรับ อำเภอใกล้เคียงก็เช่นเดียวกัน ปกติชาวบ้านธรรมดาไม่มีเงินมากเพียงพอที่จะส่งลูกหลานไปเรียนหนังสือ สำนักศึกษาก็มีอยู่น้อยมาก บางหมู่บ้านมีคนรู้หนังสือเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น บัดนี้ค่ายทหารมีการสอนหนังสือ ชาวบ้านย่อมอยากมาเข้าร่วมอยู่แล้วขอรับ”
คนรู้หนังสือมีฐานะสูงส่งกว่าคนทั่วไป ผู้ใดไม่อยากให้ลูกหลานของตัวเองรู้หนังสือบ้าง ต่อให้สอบเป็นซิ่วไฉ[1] ไม่ได้ อยากน้อยก็มีวิชาติดตัวไว้เขียนจดหมายส่งถึงผู้อื่นก็ยังดี
“จากที่ข้าสังเกตเสิ่นเยี่ยนฉงมีความสามารถในการควบคุมดูแลกองทัพ ข้าไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก เขาจัดการได้อย่างเหมาะสมและเรียบร้อยมากขอรับ”
“ท่านเจ้าเมืองและนายอำเภอโจวนั่งจิบชารอต้อนรับพี่หญิงอยู่ที่กระโจมทางด้านหน้าขอรับ หากร่างกายพี่หญิงรับไม่ไหว ข้าจะไปเรียนให้สองคนนั้นทราบว่าพี่หญิงจะไม่หยุดรถม้า จะตรงไปจวนไป๋ทีเดียวขอรับ”
“ไม่รีบร้อน ทักทายพวกเขาก่อนค่อยไปก็ได้” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวจบก็หันไปมองไป๋ชิงผิง “ไช่จื่อหยวนที่มาจากเมืองหลวงสอนหนังสือชาวบ้านในค่ายทหารเป็นเช่นไรบ้าง”
“ข้ากำลังจะกล่าวเรื่องนี้กับพี่หญิงอยู่พอดีขอรับ” ไป๋ชิงผิงกล่าวชื่นชมไช่จื่อหยวนอย่างไม่ปิดบัง “ไช่จื่อหยวนเซียนเซิงผู้นี้มีความรู้มาก ท่านพ่อของข้ามีโอกาสสนทนากับไช่จื่อหยวนเซียนเซิงอยู่หลายครั้ง ท่านกล่าวว่าไช่จื่อหยวนเซียนเซิงเป็นคนไม่ธรรมดา ท่านอยากเชิญไช่จื่อหยวนเซียนเซิงมาสอนหนังสือให้แก่ทายาทตระกูลไป๋ ทว่า ท่านพ่อไม่รู้ที่มาที่ไปของคนผู้นี้ ข้าก็ไม่กล้ากล่าวมากความ ท่านพ่อจึงตั้งใจจะรอถามความเห็นจากพี่หญิงก่อนขอรับ”
“ไช่จื่อหยวนผู้นี้อยู่ในค่ายทหารอย่างสงบเสงี่ยมดีหรือไม่ เขาส่งจดหมายให้ภายนอกหรือคิดหนีบ้างหรือไม่” ไป๋ชิงเหยียนเอ่ยถาม
ไป๋ชิงผิงส่ายหน้า “ไม่มีขอรับ ไช่จื่อหยวนเซียนเซิงผู้นี้ดูจะชอบการสอนหนังสือมาก เขาใจเย็นกับชาวบ้านที่ใฝ่เรียนมากเป็นพิเศษ เหล่าทหารล้วนชอบไช่จื่อหยวนเซียนเซิงขอรับ”
“อีกสองวันเจ้าพาไช่จื่อหยวนมาพบข้าที่จวนไป๋ที ข้าอยากพบเขาสักหน่อย”
“ขอรับ!” ไป๋ชิงผิงรับคำ
เมื่อกล่าวเรื่องของไช่จื่อหยวนจบ ไป๋ชิงเหยียนถามไป๋ชิงผิงต่อ “ข้าให้เจ้าลอบสืบประวัติของจวนเจ้าเมือง เจ้าสืบได้เรื่องแล้วหรือไม่”
“ข้าต้องขออภัยพี่หญิงขอรับ” ไป๋ชิงผิงขมวดคิ้วแน่น “ข้าลอบสืบจากเสิ่นเยี่ยนฉง ทว่า ไม่รู้ว่าพลาดที่ตรงใด ท่านเจ้าเมืองเสิ่นจึงมาพบข้าด้วยตัวเอง เขากล่าวว่าตระกูลเสิ่นสะอาดบริสุทธิ์ เสิ่นเยี่ยนฉงไม่รู้ความเป็นมาของตระกูล หากตระกูลไป๋สนใจเรื่องของตระกูลเสิ่น เมื่อพี่หญิงกลับมา ท่านเจ้าเมืองจะมาพบพี่หญิงและอธิบายเรื่องทุกอย่างให้ฟังด้วยตัวเองขอรับ”
ไป๋ชิงเหยียนมองออกว่าเจ้าเมืองเสิ่นผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา
ก่อนหน้านี้เมืองซั่วหยางมีคำกล่าวว่าตำแหน่งนายอำเภอของซั่วหยางเป็นดั่งสายน้ำ ตำแหน่งเจ้าเมืองเป็นดั่งเหล็กหนา
หมายความว่าตำแหน่งนายอำเภอมีการผลัดเปลี่ยนคนใหม่อยู่ตลอดเวลา ทว่า ใต้เท้าเสิ่นผู้นี้ครองตำแหน่งเจ้าเมืองซั่วหยางได้อย่างมั่นคงไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ไม่รู้ว่าเขาล่วงเกินขุนนางชั้นสูงในราชสำนักคนใดเข้าจึงไม่ได้เลื่อนขั้นเสียที เขาอยู่ในตำแหน่งนี้อย่างสงบเสงี่ยม ไม่สร้างผลงานเพื่อเลื่อนขั้นแต่อย่างใด
“เจ้าไม่ต้องโทษตัวเอง ท่านเจ้าเมืองเป็นเสือซ่อนเล็บ เจ้าอายุยังน้อย ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา รอให้ใต้เท้าเสิ่นมาอธิบายกับข้าเองที่จวนไป๋ดีกว่า พวกเราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเปล่า” ไป๋ชิงเหยียนปลอบไป๋ชิงผิง
ไป๋ชิงผิงอายุยังน้อย เขาสามารถช่วยไป๋จิ่นจื้อดูแลเมืองซั่วหยาง รู้จักใช้คนและรู้จักขอบเขตจนซั่วหยางสงบเรียบร้อยจนถึงวันที่ไป๋ชิงเหยียนกลับมาได้ก็ถือว่าทำได้ดีมากแล้ว
ไป๋ชิงผิงพยักหน้า จากนั้นกล่าวกับไป๋ชิงเหยียนต่อ “เมื่อวานท่านปรมาจารย์หมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงแห่งแคว้นเว่ยเดินทางมาขอพบฮูหยินที่จวนไป๋ เขาแสดงเจตจำนงว่าต้องการเขียนชีวประวัติให้ตระกูลไป๋ เมื่อรู้ว่าพี่หญิงจะเดินทางกลับมาถึงซั่วหยางวันนี้ เขาจึงพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมของซั่วหยางเพื่อรอพบพี่หญิง พี่หญิงจะไปพบเขาหรือไม่ขอรับ”
“ท่านปรมาจารย์ผู้เฒ่าหมิ่นอย่างนั้นหรือ” ไป๋ชิงเหยียนกำมือแน่น ปรมาจารย์หมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงจะเขียนชีวประวัติให้ตระกูลไป๋อย่างนั้นหรือ!
ผู้ที่ได้รับสมญานามว่าเป็นปรมาจารย์ในยุคนี้มีเพียงผู้เฒ่ากวนยงฉยงเซียนเซิงผู้เป็นอาจารย์ของไป๋ชิงเหยียน ผู้เฒ่าชุยสือเหยียนเซียนเซิงและผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงผู้นี้เท่านั้น
ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงรักประวัติศาสตร์ ชอบเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทุกแคว้น เขาเขียนตำรามีชื่อเสียงมากมาย ตำราที่มีชื่อเสียงที่สุดได้คือ ‘รณรัฐ[2]’ อีกเล่มที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทุกแคว้นได้แก่ ‘กงซุนซื่อ’
ผู้คนมากมายรวมถึงราชวงศ์ล้วนอยากให้ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงเขียนชีวประวัติให้ตระกูลของพวกเขา ทว่า ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงมีความหยิ่งทะนงในความเป็นบัณฑิตของตน เขาเป็นคนหัวรั้น จะเขียนชีวประวัติให้แก่ผู้ที่ตนอยากเขียนให้เท่านั้น เขาไม่ศิโรราบให้แก่อำนาจใดๆ ไม่หวั่นไหวกับลาภยศเงินทองแม้แต่น้อย
ไป๋ชิงเหยียนนั่งหลังตรง กล่าวกับไป๋ชิงผิงเสียงจริงจัง “ตามเสี่ยวซื่อมาให้ข้าที”
ไป๋ชิงผิงรับคำแล้วขี่ม้าไปเรียกไป๋จิ่นจื้อที่อยู่ด้านหน้าสุดของขบวน
ไป๋จิ่นจื้อขี่ม้ากลับมาหารถม้าของไป๋ชิงเหยียน ขี่ม้าขนาบข้างรถม้าของพี่สาว จากนั้นโน้มกายเข้าไปใกล้ตัวรถพลางเอ่ยเรียก “พี่หญิงใหญ่ ข้ามาแล้วเจ้าค่ะ…”
ไป๋ชิงเหยียนแหวกม่านรถม้าออก กล่าวเสียงเบา “บัดนี้ท่านผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมในซั่วหยาง เดี๋ยวเจ้าจงไปพบท่านผู้เฒ่ากับไป๋ชิงผิง เรียนให้ท่านผู้เฒ่าทราบว่าข้ากลับมาถึงซั่วหยางแล้ว ทว่า ได้รับบาดเจ็บหนักจึงไม่อาจไปพบท่านด้วยตัวเองได้ หากท่านผู้เฒ่าไม่รังเกียจให้เชิญท่านมาพักที่จวนไป๋ ข้าจะรอท่านผู้เฒ่าอยู่ที่จวน”
“พี่หญิงใหญ่ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ เมื่อเข้าเมืองแล้วข้าจะไปพบท่านผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงเองเจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นจื้อรับคำ
“กลับไปเปลี่ยนเครื่องแต่งกายที่จวนก่อนค่อยไปพบท่านผู้เฒ่า มิเช่นนั้นท่านอาจคิดว่าเราเสียมารยาทได้” ไป๋ชิงเหยียนกำชับ
เมื่อเห็นไป๋จิ่นจื้อพยักหน้า ไป๋ชิงผิงที่ขี่ม้าอยู่ข้างกายไป๋จิ่นจื้อจึงกล่าวขึ้น “ปรมาจารย์ผู้เฒ่าคนนี้มีชื่อเสียงมาก นิสัยค่อนข้างเย็นชา ท่านเจ้าเมืองและนายอำเภอโจวไปพบเขาที่โรงเตี๊ยม ทว่า กลับถูกลูกศิษย์ข้างกายของเขาห้ามไว้เสียก่อน เขาไม่รับของขวัญใดๆ ทั้งสิ้นด้วยขอรับ”
“ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป” ไป๋ชิงเหยียนกำหมัดแน่น จากนั้นกำชับคนทั้งคู่อีกครั้ง “ตอนที่พวกเจ้าไปเชิญท่านผู้เฒ่ามาพักที่จวนไป๋จงรักษามารยาทให้ดี”
“พี่หญิงใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นจื้อกำหมัดคารวะ “ท่านผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงมีชื่อเสียงโด่งดังเทียบเท่ากับท่านผู้เฒ่ากวนยงฉยงเซียนเซิงและท่านผู้เฒ่าชุยสือเหยียนเซียนเซิง เสี่ยวซื่อย่อมปฏิบัติต่อท่านผู้เฒ่าอย่างนอบน้อม ไม่กล้าบังอาจต่อหน้าท่านผู้เฒ่าแน่เจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า จากนั้นมองไปทางเจ้าเมืองเสิ่นและนายอำเภอโจวที่เดินออกมาจากกระโจมแล้ว
ไป๋จิ่นจื้อรับรู้ในทันที หญิงสาวควบม้าไปบอกให้ขบวนหยุดลงชั่วคราว
เจ้าเมืองเสิ่นและนายอำเภอโจวก้าวเข้ามาทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน “คารวะองค์หญิงเจิ้นกั๋วพ่ะย่ะค่ะ”
ชุนเถาก้มหน้าพลางช่วยแหวกม่านให้ไป๋ชิงเหยียน
เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น ไป๋ชิงเหยียนใช้มือกุมหน้าอกพลางไอออกมาสองสามทีอย่างอ่อนแอ
แสงแดดในยามบ่ายส่องกระทบใบหน้าไร้สีเลือดของไป๋ชิงเหยียนยิ่งทำให้ใบหน้าของหญิงสาวดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น แม้สตรีตรงหน้าจะงดงามมากเพียงใด ทว่า ดวงตาล้ำลึกและสงบนิ่งของสาวงามตรงหน้ากลับทำให้ผู้คนรู้สึกยำเกรง ไม่กล้าล่วงเกินนางแม้แต่น้อย
[1] ซิ่วไฉ คือระดับคุณวุฒิที่ได้จากการสอบเข้ารับราชการ การสอบเข้ารับราชการของจีนโบราณหรือที่เรียกกันว่าสอบจอหงวนจะมีการสอบทั้งหมดสามรอบ รอบแรกเป็นการคัดเลือกระดับท้องถิ่น(หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด) ผู้ที่สอบผ่านรอบนี้จะเรียกว่า ซิ่วไฉ
[2] รณรัฐ คือ เป็นยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่รัฐต่างๆ มีการทำสงครามกันอยู่ตลอดเวลา