ตอนที่ 689 หาเวลามาพบ
ต่งซื่อเห็นบุตรสาวของตัวเองที่เดิมทีผอมอยู่แล้วผอมซูบลงกว่าเดิม คางแหลมขึ้นกว่าเดิม ใบหน้าตอบลงกว่าเดิม ใบหน้าที่ขาวอยู่แล้วของบุตรสาวขาวซีดไร้สีเลือดราวกับผ้าไหมสีขาว
น้ำตาของต่งซื่อไหลพรากในทันที
“เจ้าอย่าเพิ่งขยับ เกี้ยวยังมาไม่ถึง เจ้านอนลงตามเดิมก่อน ได้รับบาดเจ็บตรงที่ใด ร้ายแรงมากหรือไม่” ต่งซื่อกุมมือบุตรสาวแน่น เมื่อสัมผัสถึงความเย็นที่มือของบุตรสาว ต่งซื่อรู้สึกปวดใจราวกับโดนมีดกรีด นางรวบมือทั้งสองข้างของบุตรสาวมากุมไว้ จากนั้นเอามาวางไว้แนบอก กล่าวเสียงสะอื้น “เกิดอันใดขึ้น เหตุใดจึงบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้”
“ท่านแม่…” ไป๋ชิงเหยียนเปลี่ยนเป็นกุมมือของต่งซื่อไว้ กล่าวเสียงเบา “ข้าแสดงละครให้ผู้อื่นเห็นเท่านั้น ท่านแม่อย่าได้เป็นกังวลไปเลยเจ้าค่ะ ท่านแม่คงทราบดีว่าข้าเปิดเผยความสามารถของตัวเองออกมาในเหตุการณ์ความวุ่นวายที่ประตูอู่เต๋อ หากไม่ทำเช่นนี้ ข้าคงไม่ได้กลับมาซั่วหยางอย่างราบรื่นเช่นนี้หรอกเจ้าค่ะ”
ต่งซื่อเข้าใจเหตุผลนี้ดี ทว่า ต่งซื่อก็รู้ดีว่าบุตรสาวของนางได้รับบาดเจ็บจริงๆ การแกล้งเจ็บตัวไม่สามารถทำให้ฮ่องเต้และองค์รัชทายาทเชื่อได้แน่นอน
ต่งซื่อสงบลงกว่าเมื่อครู่มาก นางมองสำรวจบุตรสาวทั้งร่าง “ได้รับบาดเจ็บที่ใด”
ไป๋ชิงเหยียนยิ้มให้ต่งซื่อน้อยๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “ท่านแม่ ข้ามีข่าวดีเรื่องหนึ่งจะบอกให้ท่านแม่ทราบเจ้าค่ะ ท่านแม่อย่าเพิ่งร้อนใจไปเจ้าค่ะ รอกลับไปเรือนปัวอวิ๋นก่อน ท่านแม่ทราบแล้วต้องดีใจแน่นอนเจ้าค่ะ!”
ไป๋ชิงเหยียนยังไม่ทันจะบอกกับมารดาออกไปว่าอาอวี๋ยังมีชีวิตอยู่ ดวงตาของหญิงสาวก็ร้อนผ่าวขึ้นแล้ว
ต่งซื่อก้มมองมือเย็นเฉียบของบุตรสาวที่กำลังกุมมือของนางอยู่ จากนั้นเงยมองหน้าบุตรสาวอีกครั้งอย่างเป็นห่วง นางรู้ดีว่าบุตรสาวของนางไม่ใช่คนที่จะกล่าวสิ่งใดออกมาลอยๆ จึงได้แต่ข่มความรู้สึกไม่สงบและรู้สึกแปลกๆ เอาไว้ในใจแล้วพยักหน้าให้บุตรสาว
องครักษ์ไป๋แบกเกี้ยวมารอแล้ว ไป๋จิ่นจื้อและเสิ่นชิงจู๋ที่เปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่แล้วรีบขึ้นไปบนรถม้า ทั้งสองช่วยกันประคองไป๋ชิงเหยียนลงมาจากรถม้า จากนั้นประคองหญิงสาวนั่งลงบนเกี้ยวอย่างระมัดระวัง
วันนี้คือวันที่องค์หญิงเจิ้นกั๋วเดินทางกลับมาถึงซั่วหยาง ชาวบ้านเมืองซั่วหยางต่างรับรู้ว่าองค์หญิงเจิ้นกั๋วรบชนะกองทัพดุดันของหนานหรงที่เติงโจว จากนั้นคุ้มกันองค์รัชทายาทกลับไปส่งยังเมืองหลวง อีกทั้งสร้างความดีความชอบยิ่งใหญ่ในเหตุการณ์ปราบกบฏที่ประตูอู่เต๋อ ดังนั้นจึงมีชาวบ้านมากมายเดินตามขบวนรถม้าขององค์หญิงเจิ้นกั๋วมาถึงจวนไป๋
พวกเขาเห็นร่างผอมซูบของไป๋ชิงเหยียนถูกประคองลงมาจากรถม้า ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะได้รับบาดเจ็บหนัก นางดูอ่อนแอประหนึ่งหากโดนลมพัดก็อาจล้มลงบนพื้นแล้ว
ชาวบ้านซั่วหยางยังจำภาพเหตุการณ์ตอนที่ไป๋ชิงเหยียนกลับมาหลังจากปราบโจรป่าสำเร็จได้ดี หญิงสาวนั่งอยู่บนหลังม้าด้วยท่าทีองอาจ สง่างาม ราวกับขุนเขาและท้องทะเลที่มีพลังมหาศาล ไม่มีทางล้มลงได้ง่ายๆ ทว่า บัดนี้หญิงสาวกลับผอมลงอย่างถนัดตา จะไม่ให้พวกเขาเป็นกังวลได้อย่างไรกัน
ไม่รู้ว่าผู้ใดในกลุ่มชาวบ้านกล่าวเสียงเบาขึ้นว่าองค์หญิงเจิ้นกั๋วถูกธนูยิงเข้าที่กลางอก คงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
ชาวบ้านเมืองซั่วหยางมองดูองค์หญิงเจิ้นกั๋วที่ก่อนหน้านี้ดูทรงพลังและเต็มเปี่ยมไปด้วยบารมี พวกเขาอดรู้สึกใจหายไม่ได้ รู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่มีสิ่งใดแน่นอนจริงๆ
ตั้งแต่ที่องค์หญิงเจิ้นกั๋วย้ายกลับมาอยู่ซั่วหยาง หญิงสาวจัดการบรรพบุรุษตระกูลไป๋ที่ข่มเหงรังแกชาวบ้าน ต่อมายังช่วยชาวบ้านปราบปรามโจรป่าอีกด้วย ชาวบ้านต่างซาบซึ้งในบุญคุณของหญิงสาว ต่างหวังให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วยืดหยัดขึ้นมาได้อีกครั้ง รอดพ้นเคราะห์กรรมในครั้งนี้ไปให้ได้
ที่สำคัญคนตระกูลไป๋มีแต่ความจงรักภักดี บุรุษตระกูลไป๋สละชีพเพื่อชาวบ้านแถบชายแดนหนานเจียง ตระกูลไป๋จะเกิดเรื่องขึ้นไม่ได้อีกเด็ดขาด
หลูผิงประคองหมอหงซึ่งอายุมากแล้วแบกกล่องยาลงมาจากรถม้า หมอหงทำความเคารพทุกคนในตระกูลไป๋ จากนั้นเดินตามหลังเกี้ยวเข้าไปด้านในพลางตะโกนเสียงดัง “ช้าหน่อย ช้าหน่อย ร่างกายคุณหนูใหญ่รับความกระทบกระเทือนไม่ไหวแล้ว”
เสียงวิจารณ์ของชาวบ้านเบาลงกว่าเดิม
“ท่านหมอผู้นั้นกล่าวว่าองค์หญิงเจิ้นกั๋วรับความกระทบกระเทือนไม่ไหว แสดงว่าครั้งนี้นางคงได้รับบาดเจ็บหนักมากจริงๆ”
“องค์หญิงเจิ้นกั๋วจะเป็นอันใดไปไม่ได้นะ แม่ทัพจางตวนรุ่ยเสียชีวิตลงที่สงครามเป่ยเจียงแล้ว หากองค์หญิงเจิ้นกั๋วเป็นอันใดไปขึ้นมาอีกคน ไม่รู้ว่าชายแดนของต้าจิ้นจะมีสภาพเช่นไร”
จวี่เหริน[1] ชาวซั่วหยางคนหนึ่งพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “นั่นนะสิ บรรดาตระกูลสูงศักดิ์ล้วนไม่ยอมให้ลูกหลานของพวกเขาไปเข้าร่วมกองทัพ กลัวว่าลูกหลานของพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บหรือเป็นอันตรายถึงชีวิต ก่อนหน้านี้ข้าไปสอบชุนเหวย[2] ที่เมืองหลวง ได้ยินคนเล่าว่าที่เจิ้นกั๋วอ๋องไป๋เวยถิงให้ทายาทตระกูลไป๋ไปออกรบตั้งแต่อายุครบสิบขวบก็เพราะตระกูลสูงศักดิ์ตระกูลอื่นไม่อนุญาตให้ทายาทของพวกเขาไปออกรบ เจิ้นกั๋วอ๋องกลัวว่าต้าจิ้นจะไม่มีนักรบที่เก่งกาจไว้สู้รบกับซีเหลียง หรงตี๋และต้าเหลียง เขาจึงพาบุรุษตระกูลไป๋ทุกคนไปออกรบทั้งหมด ผู้ใดจะคิดว่าพวกเขาจะไม่มีโอกาสกลับมาอีกเช่นนี้!”
สหายของจวี่เหรินถอนหายใจออกมา “ข้าได้ยินคำกล่าวสะท้อนใจขององค์หญิงเจิ้นกั๋วที่กล่าวหน้าป้ายของจวนเจิ้นกั๋วกงเช่นเดียวกัน ข้าคิดว่าที่เจิ้นกั๋วอ๋องพาบุรุษตระกูลไป๋ไปออกรบที่สงครามทั้งหมดเป็นเพราะต้องการให้พวกเขายืดหยัดได้ด้วยตัวเอง ไม่พึ่งพาบารมีของบรรพบุรุษ ไม่เอาแต่เสพสุขอยู่แต่ในเมืองหลวงอย่างคนไม่มีค่า ต้องการให้พวกเขารับรู้ความลำบากของชาวบ้าน เรียนรู้ที่จะเสียสละและปกป้องชาวบ้าน!”
“น่าเสียดายที่ตอนนี้บุรุษตระกูลไป๋ล้วนไม่อยู่แล้ว หากพวกเขายังอยู่ ต้าจิ้นของพวกเราจะแข็งแกร่งสักเพียงใดกันนะ!”
“จริงสิ พวกเจ้าได้ยินหรือไม่ว่าท่านปรมาจารย์ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงเดินทางมาจากแคว้นเว่ยเพื่อเขียนชีวประวัติให้ตระกูลไป๋ นั่นคือหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงเชียวนะ ข้าได้ยินว่าจักรพรรดิแห่งต้าเว่ยเคยขอให้ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงเขียนชีวประวัติให้ ทว่า ท่านผู้เฒ่ากลับทูลจักรพรรดิแห่งต้าเว่ยว่า ‘ฝ่าบาททรงสร้างคุณงามความดีไว้มากมายเมื่อครั้นเป็นหนุ่ม ทว่า เมื่อชราลงแล้วกลับไม่มีผลงานใด จะให้กระหม่อมเขียนชีวประวัติเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ’ ความตรงไปตรงมาของเขาช่างน่าเอาเป็นแบบอย่างเสียจริง”
คนที่ตรงไปตรงมาอย่างปรมาจารย์ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงยังต้องการสร้างชีวประวัติให้ตระกูลไป๋ เห็นได้ชัดว่าตระกูลไป๋มีแต่ความจงรักภักดีจนแม้แต่ปรมาจารย์ชื่อดังแห่งแคว้นต้าเว่ยยังนับถือ
ไป๋จิ่นจื้ออาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเสร็จเรียบร้อย สาวน้อยพาไป๋ชิงผิงไปขอเข้าพบปรมาจารย์ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงที่โรงเตี๊ยมอย่างมีมารยาทตามคำสั่งของไป๋ชิงเหยียน
ทว่า ไป๋จิ่นจื้อและไป๋ชิงผิงกลับไปเสียเที่ยว ตอนที่พวกนางไปถึงโรงเตี๊ยม บ่าวรับใช้ของผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงกล่าวว่าท่านผู้เฒ่าออกไปชมบรรยากาศช่วงฤดูใบไม้ร่วงบนภูเขาตั้งแต่เช้าแล้ว น่าจะกลับมาช่วงค่ำๆ
ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงเดาได้ว่าเมื่อไป๋ชิงเหยียนมาถึงซั่วหยาง หญิงสาวต้องส่งคนมาเชิญเขาแน่นอน เขาจึงสั่งให้บ่าวรับใช้บอกกับไป๋จิ่นจื้อว่าให้ไป๋ชิงเหยียนพักผ่อนให้เต็มที่อีกสักสองวัน เขาจะไปรบกวนหญิงสาวที่จวนในอีกห้าวัน ถึงเวลานั้นหวังว่าไป๋ชิงเหยียนจะหาเวลามาพบเขาได้
ไป๋จิ่นจื้อรีบตอบรับ สาวน้อยมอบของขวัญที่นำมาให้ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงไว้ที่โรงเตี๊ยม จากนั้นจากไปพร้อมกับไป๋ชิงผิง
เมื่อออกมาจากโรงเตี๊ยม ไป๋จิ่นจื้อเดินเอามือไขว้หลังพลางสะบัดแส้ม้าในมือไปมาอย่างไม่มีสิ่งใดทำ สาวน้อยไม่กล้ากลับจวน เมื่อครู่นางได้รับคำสั่งจากพี่หญิงใหญ่ ท่านแม่ของนางจึงไม่กล้ากักตัวนางไว้สั่งสอน หากนางกลับไปตอนนี้ ท่านแม่ต้องจัดการนางอย่างแน่นอน!
ไป๋ชิงผิงเห็นคนเดินเข้าออกโรงเตี๊ยมอย่างพลุกพล่าน เขาหันมองไปไป๋จิ่นจื้อที่กำลังขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด จากนั้นเอ่ยถามไป๋จิ่นจื้ออย่างอดไม่ได้ “จวิ้นจู่ พวกเราควรกันคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจากโรงเตี๊ยม ทำให้ที่นี่สงบกว่านี้ดีหรือไม่ขอรับ”
ตอนที่ไป๋ชิงเหยียนไม่อยู่ซั่วหยาง ไป๋ชิงผิงถามความเห็นไป๋จิ่นจื้อทุกเรื่องจนกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว
“ท่านผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงไม่ได้เอ่ยปาก พวกเราไม่ต้องทำเกินหน้าที่หรอก มิเช่นนั้นท่านอาจไม่พอใจได้” ไป๋จิ่นจื้อกล่าว
ผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงผู้นี้มีนิสัยค่อนข้างประหลาด แม้ไป๋จิ่นจื้อจะไม่เข้าใจ ทว่า พี่หญิงใหญ่สั่งให้นางเคารพนอบน้อม ไป๋จิ่นจื้อก็จะทำตามนั้น
ที่สำคัญไป๋จิ่นจื้อได้ยินมาว่าผู้เฒ่าหมิ่นเชียนชิวเซียนเซิงเป็นคนเข้มงวดกับการเขียนชีวประวัติมาก เขาต้องพิสูจน์ให้ได้เสียก่อนว่าเรื่องนั้นคือเรื่องจริงเขาถึงจะเขียนลงไปในชีวประวัติ
[1] จวี่เหริน คือผู้ที่สอบผ่านการสอบระดับภูมิภาคซึ่งจะจัดสอบขึ้นตามเมืองหลวงของมณฑลต่างๆ
[2] ชุนเหวย คือการสอบระดับประเทศ เนื่องจากการสอบมักจัดในช่วงฤดูใบไม้ผลิจึงเรียกการสอบนี้ว่า ชุนเหวย