ตอนที่ 701 หนักแน่น
ม้าของไป๋จิ่นจื้อพ่นไอร้อนออกทางจมูก ย่ำเท้าไปมา อยากทะยานไปเบื้องหน้าจนแทบทนไม่ไหว
แสงอรุณแรกของวันส่องผ่านก้อนเมฆออกมา
ท้องฟ้ากลายเป็นแสงสีทองอร่าม จากนั้นค่อยๆ ส่องกระจายไปเกือบครึ่งของเมืองหลวง
ไป๋จิ่นจื้อหันกลับไปมองบรรดาน้องสาวที่กำลังใช้หลังมือปาดน้ำตา สายตาหยุดอยู่ที่ร่างของหลี่ซื่อ สาวน้อยกล่าวเสียงสะอื้น “ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ ข้าจะเขียนจดหมายกลับมาบ่อยๆ จะระวังตัวให้ดีเมื่ออยู่ในสนามรบเจ้าค่ะ”
หลี่ซื่อกำผ้าเช็ดหน้าแน่น พยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองแล้วพยักหน้าให้ไป๋จิ่นจื้อ น้ำตาของนางไหลพรากออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ โบกมือไล่ให้ไป๋จิ่นจื้อรีบจากไป
ไป๋จิ่นจื้อกำหมัดคารวะป้าสะใภ้และอาสะใภ้ จากนั้นควบทะยานม้าจากไปทางประตูเมืองพร้อมกับองครักษ์ไป๋
ไป๋จิ่นจื้อมองไปเบื้องหน้าด้วยแววตาที่หนักแน่นเกินอายุ
พี่หญิงรองไป๋จิ่นซิ่วอยู่คอยส่งข่าวสำคัญให้พี่หญิงใหญ่ที่เมืองหลวง ตระกูลไป๋จะรับรู้สถานการณ์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงตลอดเวลา
พี่หญิงสามไป๋จิ่นถงออกเดินทางไปทำการค้าภายนอกตามลำพังเพื่อปูทางให้ตระกูลไป๋
พี่ชายเจ็ดไป๋ชิงเจวี๋ยฝึกซ้อมทหารให้ตระกูลไป๋ไว้ใช้ในภายภาคหน้าอยู่ที่หนานเจียง
พี่ชายเก้าสูญเสียขาทั้งสองข้างไป ทว่า เขายังไม่ได้ทิ้งศักดิ์ศรีและปณิธานของตระกูลไป๋ไป เขากำลังพยายามเพื่อที่วันหนึ่งจะได้กลับมายังตระกูลไป๋อีกครั้งอย่างสมศักดิ์ศรี
บัดนี้นางกำลังมุ่งหน้าไปยังค่ายทหารผิงอัน กำลังจะไปยึดครองต้าเหลียงเพื่อปูทางให้ต้าจิ้นได้ครอบครองใต้หล้าในวันข้างหน้า!
พี่หญิงใหญ่เชื่อใจนาง นางจะไม่ทำให้พี่หญิงใหญ่ผิดหวังเด็ดขาด!
ต่อให้คนภายนอกจะกล่าวว่าเมื่อบุรุษตระกูลไป๋เสียชีวิตลงที่หนานเจียง ความรุ่งเรืองของตระกูลไป๋คงจบลงเพียงเท่านี้นางก็ไม่สนใจ
คนตระกูลไป๋สละชีพของตัวเองเพื่อเป้าหมายเดียวกัน ทุกคนมีปณิธานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้พวกนางจะเป็นเพียงสตรี ทว่า พวกนางก็สามารถสานต่อปณิธานของตระกูลไป๋ได้เช่นเดียวกัน!
นางจะทำให้ทุกคนได้เห็นว่าสตรีของตระกูลไป๋จะรักษาเกียรติยศและความรุ่งเรืองของตระกูลไป๋ไว้ได้อย่างไร จะทำให้ใต้หล้ารวมเป็นหนึ่งได้อย่างไร
ไป๋จิ่นจื้อกัดฟันกรอด เงยหน้ามองไปยังท้องฟ้าที่กว้างสุดลูกหูลูกตาตรงหน้า
ทุกคนต่างคิดว่าตระกูลไป๋คือดวงตะวันที่ใกล้จะลับขอบฟ้า ไป๋จิ่นจื้อจะทำให้ทุกคนรู้ว่าตระกูลไป๋คือดวงตะวันแรกของวันที่กำลังโผล่ขึ้นจากท้องฟ้าต่างหาก ต่อให้แสงจะยังไม่สว่างเต็มที่ ทว่า วันหนึ่งมันจะส่องแสงสว่างเรืองรองแน่นอน
ไป๋ชิงเหยียนยืนมองแสงอรุณแรกของวันอยู่กลางเรือนปัวอวิ๋น หญิงสาวเอ่ยถามถงหมัวมัวที่ยืนอยู่ข้างกายเสียงเบา “เสี่ยวซื่อและถิงเจินออกเดินทางแล้วใช่หรือไม่”
“เมื่อคุณหนูสี่และคุณหนูเปี่ยวร่ำลาคุณหนูใหญ่เสร็จ พวกนางก็ไปอำลาบรรดาฮูหยินที่โถงด้านหน้าต่อ จากนั้นออกเดินทางแล้วเจ้าค่ะ” ถงหมัวมัวกล่าว
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า หวังว่าไป๋จิ่นจื้อจะเดินทางไปถึงค่ายทหารผิงอันอย่างปลอดภัย
“คุณหนูใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ คุณหนูสี่ต้องปลอดภัยและทำทุกอย่างราบรื่นแน่นอนเจ้าค่ะ” ชุนเถาหยิบผ้าคลุมออกมาคลุมไหล่ให้ไป๋ชิงเหยียน จากนั้นกล่าวยิ้มๆ
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า
ไป๋ชิงเหยียนนึกถึงกล่องล้ำค่าที่ไป๋จิ่นจื้อมอบให้นางเป็นของขวัญวันเกิด น้องสาวกล่าวว่าในนั้นคือตำราสองสามเล่ม กำชับให้นางหาเวลาว่างเปิดอ่าน
“ชุนเถา เจ้าไปเปิดกล่องที่เสี่ยวซื่อมอบให้ข้าที ข้าจะดูสิว่าเสี่ยวซื่อมอบตำราอันใดให้ข้ากันแน่ นางถึงกับต้องใช้กล่องใส่สินเดิมของท่านอาสะใภ้ใส่มาเช่นนี้” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวพลางประคองมือถงหมัวมัวเข้าไปในห้อง
ชุนเถารีบรับคำ “บ่าวจะไปนำมาเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
ไม่นาน ชุนเถาก็หอบตำราที่ไป๋จิ่นจื้อมอบให้ไป๋ชิงเหยียนมาให้หญิงสาว
ตำราเหล่านั้นดูราคาแพงมาก มีกระดาษมัดตำราเหล่านั้นไว้ด้วยกัน ปกของตำราทำมาจากหนังแกะ ทว่า หน้าปกไม่ได้เขียนว่าคือตำราใด ยิ่งทำให้คนอยากรู้เนื้อหาด้านในตำรามากยิ่งขึ้น
ไป๋ชิงเหยียนหยิบตำราขึ้นมาหนึ่งเล่ม เปิดออก…
บทนำเขียนด้วยกลอนที่ไม่เป็นทางการนัก เมื่อเห็นคำว่า ‘สนทนา’ ไป๋ชิงเหยียนแทบหลุดหัวเราะออกมาด้วยความโมโห นางก็นึกว่าคือตำราโบราณอันใด ที่แท้ก็เป็นบทละครนี่เอง
ทว่า ด้วยนิสัยทโมนของไป๋จิ่นจื้อ บทละครเหล่านี้คงมีค่ามากกว่าตำราโบราณหลายเท่านัก ไป๋ชิงเหยียนพลิกอ่านอีกสองสามหน้า
เมื่อชุนเถาถือน้ำชากลับเข้ามา ไป๋ชิงเหยียนก็วางตำราลงบนโต๊ะด้านข้างแล้ว ชุนเถาถามอย่างแปลกใจ “คุณหนูใหญ่ไม่อ่านแล้วหรือเจ้าคะ”
ปกติหากคุณหนูใหญ่อ่านตำรา หากไม่ถึงหนึ่งชั่วยามคุณหนูใหญ่ไม่มีทางวางตำราลงแน่นอน
“เก็บไว้เถิด พอเสี่ยวซื่อกลับมาค่อยเอาไปคืนนาง” ใบหน้าของไป๋ชิงเหยียนเต็มไปด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
เมื่อคืนตอนนางกล่าวถึงเรื่องแต่งงานกับไป๋จิ่นจื้อ ไป๋จิ่นจื้อยังแสดงท่าทีไม่เต็มใจอยู่เลย ทว่า ลับหลังน้องสาวของนางกลับแอบอ่านบทละครความรักระหว่างชายหญิงเช่นนี้ วัยสาวของไป๋จิ่นจื้อกำลังจะผลิบานแล้วแน่ๆ
จู่ๆ ไป๋ชิงเหยียนก็นึกถึงญาติผู้น้องต่งฉางชิ่งขึ้นมา ทุกครั้งที่ต่งฉางชิ่งพบหน้าไป๋จิ่นจื้อ เขามักจะทำตัวไม่ถูก เขาคงหลงรักไป๋จิ่นจื้อเข้าให้แล้ว ทว่า ดูเหมือนว่าไป๋จิ่นจื้อจะไม่ได้คิดสิ่งใดกับต่งฉางชิ่งแม้แต่น้อย
ไป๋ชิงเหยียนมองดูใบไม้แห้งซึ่งหล่นอยู่บนพื้นกลางเรือนปัวอวิ๋นผ่านหน้าต่างที่ปิดไม่สนิท ครุ่นคิดว่าบุรุษเช่นไรถึงจะเหมาะสมกับนิสัยของไป๋จิ่นจื้อ
หญิงชราที่มีหน้าที่เฝ้าประตูเดินเข้ามาในเรือนปัวอวิ๋นอย่างรวดเร็ว นางทำความเคารพถงหมัวมัว จากนั้นกล่าวขึ้น “หมัวมัว ท่านเจ้าเมืองมาที่จวนเจ้าค่ะ เดิมทีเขาต้องการมาส่งคุณหนูสี่ ทว่า เมื่อได้ยินว่าคุณหนูสี่ขี่ม้าจากไปแล้ว ท่านเจ้าเมืองจึงขอเข้าพบคุณหนูใหญ่แทนเจ้าค่ะ…”
ถงหมัวมัวพยักหน้า “ข้าจะไปถามคุณหนูใหญ่ก่อน”
“เจ้าค่ะ” หญิงชราเฝ้าประตูพยักหน้ายิ้มๆ
ถงหมัวมัวเข้ามาในห้อง ไป๋ชิงเหยียนกำลังมองใบไม้แห้งที่ลานหญ้าอย่างเหม่อลอย ถงหมัวมัวจึงกล่าวยิ้มๆ “คุณหนูใหญ่ ท่านเจ้าเมืองมาขอพบคุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่จะพบหรือไม่เจ้าคะ”
ไป๋ชิงเหยียนรู้ดีว่าเจ้าเมืองเสิ่นมาเพราะเรื่องใด หญิงสาวย่อมให้เขาเข้าพบแน่นอน ไป๋ชิงผิงทำให้อีกฝ่ายจับได้ขณะสืบเรื่องของตระกูลเสิ่น ไป๋ชิงเหยียนกำลังรอให้เจ้าเมืองเสิ่นมาอธิบายเรื่องนี้อยู่พอดี
“ถงหมัวมัวช่วยข้าเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเถิด ข้าจะไปพบเจ้าเมืองเสิ่นที่โถงรับรองด้านหน้า” ไป๋ชิงเหยียนหันไปสั่งชุนเถา “ชุนเถาไปบอกให้ลุงผิงไปที่ค่ายทหาร ให้ไป๋ชิงผิงพาไช่จื่อหยวนมาพบข้าที่จวนทีข้ามีเรื่องต้องถามเขา”
“เจ้าค่ะ” ชุนเถารับคำแล้วเดินออกไปจากห้อง
วันนี้เจ้าเมืองเสิ่นมาที่จวนไป๋ตามลำพัง ไม่มีแม้แต่บ่าวรับใช้ข้างกายเพราะเขาต้องการสนทนากับไป๋ชิงเหยียนอย่างเปิดอกและเป็นส่วนตัว
เจ้าเมืองเสิ่นนั่งดื่มชาไปสองถ้วยอยู่ที่โถงรับรองด้านหน้า เขารู้สึกกังวลใจเล็กน้อย เรื่องที่เขาจะกล่าวกับไป๋ชิงเหยียนต่อจากนี้ เขาไม่มีหลักฐานยืนยัน ไม่รู้ว่าไป๋ชิงเหยียนจะเชื่อคำกล่าวของเขาหรือไม่
ไม่นาน เจ้าเมืองเสิ่นเห็นเกี้ยวหยุดลงที่หน้าโถงรับรอง เขารีบเดินออกไปต้อนรับที่หน้าโถง ถงหมัวมัวประคองไป๋ชิงเหยียนลงมาจากเกี้ยว เจ้าเมืองก้าวออกจากธรณีประตูแล้วคุกเข่าให้ไป๋ชิงเหยียน “คารวะองค์หญิงเจิ้นกั๋วพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านเจ้าเมืองลุกขึ้นเถิด เชิญเข้าไปคุยกันด้านใน” น้ำเสียงของไป๋ชิงเหยียนราบเรียบ เย็นชาและค่อนข้างห่างเหิน ใจของเจ้าเมืองเสิ่นหนักอึ้งลงกว่าเดิม
เขาไม่ได้ลุกขึ้นจากพื้นในทันที เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของไป๋ชิงเหยียนก้าวเข้าไปด้านในแล้ว เขาจึงลุกขึ้นยืน เดินตามไป๋ชิงเหยียนเข้าไปด้านใน จากนั้นคุกเข่าลงตรงหน้าไป๋ชิงเหยียน “องค์หญิงเจิ้นกั๋วได้โปรดกันคนออกไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีเรื่องทูลให้องค์หญิงทราบพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางเจ้าเมืองเสิ่นที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง จากนั้นเอ่ยสั่งถงหมัวมัวที่กำลังสอดหมอนหนุนหลังให้นางอยู่ “ถงหมัวมัวออกไปเฝ้าด้านนอกไว้ อย่าให้ผู้ใดเข้ามาเป็นอันขาด”
ถงหมัวมัวยังไม่ทันเอ่ยตอบ เจ้าเมืองเสิ่นก็รีบคำนับขอบคุณก่อน “ขอบพระทัยองค์หญิงเจิ้นกั๋วที่เชื่อใจกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”