ตอนที่ 705 ไม่เสียใจ
ต่งซื่อเม้มปากแน่น นั่งนิ่งอยู่ที่เดิมโดยไม่กล่าวสิ่งใดทั้งสิ้น
นางรู้ว่าบุตรชายยังมีชีวิตอยู่
ส่วนสามีของนาง…นางได้ยินว่าอาเป่าเป็นคนแย่งศีรษะของสามีนางกลับมาจากค่ายทหารของศัตรูด้วยตัวเอง เขาเสียชีวิตไปแล้วอย่างแน่นอน
อาเป่าย่อมคิดถึงท่านปู่และท่านพ่อของตัวเองในวัดเกิดอยู่แล้ว
เวลานี้ไป๋ชิงเหยียนยืนอยู่หน้าป้ายวิญญาณมากมายของตระกูลไป๋ในหอบรรพชน หญิงสาวใช้มือข้างหนึ่งกุมหน้าอก มืออีกข้างถือธูป…เอื้อมไปจุดไฟยังเทียนซึ่งกำลังปลิวสะบัด
ประตูด้านนอกของหอบรรพชนปิดสนิท พ่อบ้านเหาและหลูผิงนำองครักษ์ไป๋ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกหอบรรพชน ผ้าม่านที่แขวนอยู่บนคานไม้ถานมู่ของหอบรรพชนถูกรวบเก็บอยู่กับตะขอทองแดงของเสาสีดำสองต้นซึ่งอยู่ทางสองด้าน เปลวไฟในตะเกียงน้ำมันทรงดอกบัวซึ่งสะบัดไปมาอยู่บนเสาสูงที่ตั้งอยู่บริเวณซ้ายขวาของหอบรรพชนส่องสว่างจนหอบรรพชนที่เงียบสงบและวังเวงดูอบอุ่นขึ้นมาทันที
ป้ายวิญญาณที่ถูกเช็ดทำความสะอาดจนเป็นสีดำมันวาวมากมายวางอยู่บนโต๊ะด้านหน้า ควันขาวลอยออกมาจากระถางธูปหอมเคลือบทอง
แสงไฟริบหรี่สะท้อนใบหน้าขาวซีดไร้ที่ติของไป๋ชิงเหยียนยิ่งทำให้ดวงตาของหญิงสาวดูล้ำลึกและหนักแน่นยิ่งกว่าเดิม
ไป๋ชิงเหยียนจุดธูป เมื่อจุดติดแล้วจึงใช้มือปัดไฟที่ติดอยู่บนธูปสามดอกให้ดับลง สองมือชูธูปทั้งสามดอกขึ้นเหนือศีรษะ จากนั้นปักธูปลงในกระถาง คุกเข่าบนเบาะรอง ก้มศีรษะคำนับสามครั้ง หญิงสาวคุกเข่าอยู่บนเบาะรอง ใช้มือกุมหน้าอกที่ปวดแปลบๆ ตลอดเวลา สายตามองไปทางป้ายวิญญาณของท่านปู่และท่านพ่อนิ่ง น้ำตาคลอในดวงตาเล็กน้อย
เรื่องราวในอดีตที่มากมายราวผงธุลีทำให้ไป๋ชิงเหยียนนึกถึงพิธีปักปิ่นตอนอายุสิบห้าของตนขึ้นมา ตอนนั้นนางติดตามท่านปู่ไปทำสงคราม นางจึงไม่ได้จัดพิธีปักผม
วันนั้นก็เป็นดังเช่นวันนี้ ท้องฟ้าสดใส แสงแดดสว่างจ้า
นางและท่านพ่อนั่งอยู่ในกระโจมที่พักของท่านปู่ พวกท่านช่วยกันเลือกนามรองให้นาง
แสงแดดสว่างจ้าในช่วงกลางวันสาดส่องเข้ามาในกระโจม นางและท่านพ่อคุกเข่าอยู่หน้าโต๊ะตำราของท่านปู่ มองดูนามรองสองสามชื่อที่ท่านปู่เขียนลงในกระดาษ ท่านพ่อขมวดคิ้วแน่น เงยหน้ามองท่านปู่ “ท่านพ่อ ท่านตั้งนามรองอันใดให้อาเป่ากันขอรับ หมิงซานใช่นามรองของสตรีที่ใดกัน ไหนจะหมิงฉีอีก ท่านพ่อจะทำเช่นนี้ไม่ได้นะขอรับ นามของข้ามีคำว่าฉีอยู่ อาเป่าต้องเลี่ยงคำนี้ถึงจะถูกขอรับ!”
ท่านปู่ชี้ไปยังคำว่าหมิงซานในกระดาษจากนั้นกล่าวขึ้น “ดังนั้นข้าเลยแก้เป็นหมิงซานแล้วอย่างไรเล่า”
ใบหน้าของท่านพ่อเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ เขาถามออกไป “เป็นสตรีแท้ๆ กลับมีนามรองว่าหมิงซาน นี่มันใช้ได้ที่ใดกันขอรับ ข้าว่าให้ข้าเป็นคนตั้งเองดีกว่า ใช้นามฉางอันดีที่สุดขอรับ ฉางอัน ฉางอัน ปลอดภัยตลอดไป อาเป่ามีความเห็นเช่นไร”
ไม่รอให้นางกล่าว ท่านปู่ก็กล่าวแทรกขึ้นมาก่อน “แคว้นเจริญรุ่งเรือง หงส์ร้องดังก้องภูเขาฉี นี่คือเหตุผลที่ข้าตั้งนามรองนี้ให้อาเป่า แม้อาเป่าจะเป็นสตรี ทว่า นางมีพรสวรรค์เป็นนักรบที่เก่งกาจ ทนลำบากและกัดฟันสู้ได้ ภายภาคหน้าอาเป่าไม่มีทางอยู่แต่ในเรือนหลัง นางจะเป็นผู้ปราบปรามความโกลาหลของใต้หล้า มีชื่อเสียงเกรียงไกรในฐานะสตรี กลายเป็นแม่ทัพหญิงของตระกูลไป๋ที่ทายาทรุ่นหลังเคารพนับถือ กลายเป็นสตรีที่โดดเด่นและแข็งแกร่งมากที่สุดของจวนเจิ้นกั๋วกง!”
ไป๋ชิงเหยียนลำคอร้อนผ่าว ในสมองของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มและใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังของท่านพ่อและท่านปู่
สุดท้ายแล้วนางก็ยังไม่มีนามรอง
ท่านปู่ตั้งนามรองให้นางว่าหมิงซาน นั่นคือความคาดหวังที่มีต่อนาง
ท่านพ่อตั้งนามรองให้นางว่าฉางอัน นั่นคือความรักที่พ่อมีให้บุตรสาว
ไป๋ชิงเหยียนกัดฟันแน่น เงยหน้ามองป้ายวิญญาณของท่านปู่และท่านพ่อทั้งน้ำตา
แคว้นเจริญรุ่งเรือง หงส์ร้องดังก้องภูเขาฉี
สมัยใหม่ของแคว้นจะเกิดขึ้นได้ ต้องเริ่มจากภูเขาหนิวเจี่ยวแห่งเมืองซั่วหยางเท่านั้น
ไป๋ชิงเหยียนก้มศีรษะคำนับบรรพบุรุษทุกคนของตระกูลไป๋ บอกกับบรรพบุรุษทุกคนอย่างแน่วแน่ว่านางจะโค่นล้มราชวงศ์หลิน
ตระกูลไป๋ทุกรุ่นมีชีวิตอยู่เพื่อปกป้องชาวบ้าน ราชวงศ์หลินแห่งต้าจิ้นที่เน่าเฟะเช่นนี้ไม่คู่ควรเป็นจักรพรรดิของชาวบ้าน
นางไม่มีความสามารถมากพอที่จะทำให้ราชวงศ์หลินกลับมาเดินในทางที่ถูกต้อง ดังนั้นนางจะเข้าไปแทนที่ หากนางทำผิดต่อใจที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์หลินของบรรพบุรุษไป๋ เมื่อตายไป…นางจะไปรับผิดด้วยตัวเอง
แววตาของหญิงสาวหนักแน่น ก้มศีรษะคำนับแนบพื้น…
ด้านนอกหน้าต่างทั้งหกบานที่เปิดอ้าของหอบรรพชน ลมพัดผ่านใบไม้จนเกิดเสียงซู่ซู่
ผ้าม่านที่ถูกรวบแขวนอยู่ที่ตะขอทองแดงของเสาไม้ถานมู่สีดำปลิวสะบัดเล็กน้อย เปลวไฟในตะเกียงน้ำมันทรงดอกบัวส่องแสงริบหรี่และสะบัดพลิ้วไปมา ควันธูปที่ลอยออกมาจากกระถางธูปหอมเคลือบทองถูกลมพัดจนลอยไปอีกทางเช่นเดียวกัน
ไป๋ชิงเหยียนที่นั่งคุกเข่าอยู่บนเบาะรองกำหมัดแน่น เงยหน้าขึ้นมองไปทางป้ายวิญญาณด้วยแววตาลุกโชน สุดท้ายสายตาหยุดอยู่ที่ป้ายวิญญาณของท่านปู่และท่านพ่อของตัวเอง
ก่อนหน้านี้ไป๋ชิงเหยียนยังนึกถึงท่านย่า ยังกลัวว่าชาวบ้านจะเดือนร้อนเพราะความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจนเกิดความลังเลขึ้นมาเล็กน้อยว่าควรโค่นล้มราชวงศ์หลินหรือสนับสนุนให้องค์รัชทายาทขึ้นเป็นจักรพรรดิที่ทรงคุณธรรมดี
การที่องค์รัชทายาทตัดสินใจสร้างหอบูชาเก้าชั้นให้ฮ่องเต้ทำให้ไป๋ชิงเหยียนล้มเลิกความตั้งใจที่จะผลักดันให้องค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์อย่างเด็ดขาด
“ความตั้งใจแรกเริ่มในการก่อตั้งกองทัพไป๋คือการทำเพื่อชาวบ้าน! พวกเราจงรักภักดีต่อราชวงศ์หลินเพื่อชาวบ้าน ไป๋ชิงเหยียนไม่กล้าลืมปณิธานของบรรพบุรุษทุกรุ่นของตระกูลไป๋ ไม่มีวันลืมว่าทุกคนอยากเห็นใต้หล้ามีแต่ความสงบสุข” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวออกมาทั้งน้ำตา น้ำเสียงราบเรียบ ทว่า หนักแน่น “กองทัพไป๋คือกำแพงปราการของแคว้นต้าจิ้นมาโดยตลอด ทว่า บัดนี้กลับถูกจักรพรรดิองค์ปัจจุบันคิดว่าเป็นกบฏ ไป๋ชิงเหยียนไม่ใช่แม่พระ ไม่อยากตอบแทนความชั่วด้วยความดี ไป๋ชิงเหยียนตัดสินใจจะโค่นล้มราชวงศ์หลิน แม้ไม่อาจกล่าวได้ว่าทำเพื่อชาวบ้านทั้งหมด แม้ข้าจะทำไปเพราะเรื่องส่วนตัวด้วย ทว่า ไป๋ชิงเหยียนจะพยายามอย่างสุดความสามารถของตัวเองเพื่อทำให้ใต้หล้านี้มีแต่ความสงบสุขให้ได้ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงความตั้งใจและจะไม่เสียใจภายหลังเจ้าค่ะ!”
กล่าวจบ ไป๋ชิงเหยียนก้มศีรษะคำนับแนบพื้น
ลมแรงที่พัดเข้ามาในหอบรรพชนเมื่อครู่หยุดสนิทลงทันที เปลวไฟในตะเกียงดอกบัวสะบัดช้าลง ควันธูปจากกระถางธูปหอมเคลือบทองลอยอยู่กลางอากาศเช่นเดิม หากกระโปรงของไป๋ชิงเหยียนไม่มีเศษใบไม้แห้งที่ลมเมื่อครู่พัดเข้ามาติดอยู่ หญิงสาวคงคิดว่าไม่เคยมีลมแรงพัดเข้ามาในหอบรรพชนมาก่อน
ไป๋ชิงเหยียนลุกขึ้นยืน ใช้มือจับผนังแกะสลักของหอบรรพชนพลางปัดเศษใบไม้ที่ติดอยู่ที่กระโปรงออก จากนั้นเดินออกไปด้านนอก
ท้องฟ้าด้านนอกยังคงสดใสเหมือนตอนก่อนที่ไป๋ชิงเหยียนจะเข้าไปด้านในหอบรรพชน ทว่า จู่ๆ เม็ดฝนเม็ดใหญ่ก็ตกลงมากระทบปลายเท้าของไป๋ชิงเหยียน ไม่นานฝนก็เทกระหน่ำลงมาทันที
ประตูใหญ่ด้านนอกอันหนักอึ้งของหอบรรพชนถูกเปิดออก หลูผิงวิ่งฝ่าสายฝนเข้าไปใต้ชายคาของหอบรรพชน ปัดน้ำฝนที่ติดอยู่บริเวณบ่าออก จากนั้นกำหมัดคารวะไป๋ชิงเหยียน “คุณหนูใหญ่ ฝนตกทั้งๆ ที่แดดออกเช่นนี้ถือเป็นลางดีขอรับ ปกติมักตกเพียงครู่เดียวแล้วก็หยุด คุณหนูใหญ่จะรอให้ฝนหยุดตกก่อนค่อยจากไปหรือจะไปตอนนี้เลยขอรับ”
ไป๋ชิงเหยียนหันไปมองเปลวไฟที่ปลิวสะบัดไปมาในหอบรรพชนแวบหนึ่ง ยกยิ้มมุมปาก นางจะถือว่าเป็นลางดีก็แล้วกัน
“กลับเถิด!” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว
หลูผิงให้ชุนเถากางร่มเข้ามาด้านใน จากนั้นพาคุณหนูใหญ่ออกไปจากหอบรรพชน
ชุนเถาขึ้นไปบนม้าก่อน ขณะเตรียมประคองไป๋ชิงเหยียนขึ้นมาบนรถม้าก็ได้ยินเสียงคนเรียกไป๋ชิงเหยียน
“องค์หญิงเจิ้นกั๋ว…”
ไป๋ชิงเหยียนชะงักฝีเท้า หันกลับไปมองทางปากซอยผ่านสายฝนที่ตกลงมากลางแดดจ้า ชายชราคนหนึ่งในชุดแขนยาวสีขาวราวกับเทวดาโค้งกายทำความเคารพไป๋ชิงเหยียนด้วยรอยยิ้ม
ชายชราผู้นั้นผมขาวโพลน มีเครื่องประดับศีรษะหยกสวมอยู่บนศีรษะ ข้างกายของเขามีคนยืนอยู่สองคน คนหนึ่งคือองครักษ์ที่กำลังกางร่มให้เขา อีกคนคือผู้ติดตาม บ่าวรับใช้ของชายชราจูงรถม้าเดินตามอยู่ทางด้านหลัง