ตอนที่ 712 ร่างกายแข็งแรงอุดมสมบูรณ์
ไป๋เวยเหมยโยนผ้าเช็ดหน้าลงบนโต๊ะอาหารทรงกลมสีดำ สั่งให้คนนำอาหารไปเก็บ จากนั้นนั่งวางมาดรอให้ไป๋ฉีเหอมาหา
ไม่นานไป๋ฉีเหอจึงพาองครักษ์สิบกว่านายเดินเข้ามาในเรือน บ่าวรับใช้และสาวใช้ที่ทำงานอยู่กลางเรือนพากันตกใจจนยืนค้างอยู่กับที่
แสงอรุณส่องกระทบลงบนกระเบื้องและอิฐในเรือนจนสว่างเป็นสีทอง
ไป๋ฉีเหอมองเข้าไปด้านในห้องแวบหนึ่ง จากนั้นตะโกนเสียงดังลั่น “เมื่อวานท่านผู้เฒ่าล้มป่วยหนัก นับแต่บัดนี้เป็นต้นไปจะพักรักษาตัวอยู่แต่ในเรือน ห้ามผู้ใดมารบกวนท่านทั้งสิ้น พวกเจ้าทุกคนจงเฝ้าเรือนนี้ไว้ให้ดี หากผู้ใดกล้าปล่อยให้คนเข้าไปรบกวนการพักผ่อนของท่านผู้เฒ่า อย่าหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน ผู้ใดสมควรโดนขายข้าก็จะขาย ผู้ใดสมควรโดนตีให้ตายข้าก็จะตีให้ตาย!”
เมื่อไป๋เวยเหมยที่นั่งอยู่ด้านในได้ยินคำกล่าวนี้จึงผุดลุกขึ้นยืนทันที แม้แต่ภรรยาของเขาก็มีสีหน้าตกตะลึงเช่นเดียวกัน
“ลูกอกตัญญูมันจะกักบริเวณข้าอย่างนั้นหรือ!” ไป๋เวยเหมยเดินถือไม้เท้าออกไปด้านนอก เขาแหวกม่านออกอย่างแรง ทว่า ดันสะดุดธรณีประตูล้มลงเสียก่อน
“ท่านพี่!” ภรรยาของไป๋เวยเหมยอุทานออกมาอย่างตกใจ นางรีบประคองมือสาวใช้ลุกขึ้นยืน “เร็ว รีบประคองท่านผู้เฒ่าขึ้นมาเร็ว!”
ภายในห้องโกลาหลขึ้นทันที สาวใช้สองสามคนรีบพยุงร่างของไป๋เวยเหมยที่ล้มลงบนพื้นขึ้นมา โชคดีที่ตอนเช้าบ่าวรับใช้ทำความสะอาดพื้นจนเกลี้ยงเกลาแล้ว เสื้อผ้าของไป๋เวยเหมยจึงไม่เปื้อนเศษฝุ่นแม้แต่น้อย
ไป๋เวยเหมยสะบัดแขนสาวใช้ที่ช่วยพยุงตนออก จากนั้นเดินถือไม้เท้าไปยังระเบียงทางเดิน มองไปทางไป๋ฉีเหออย่างเกรี้ยวกราด “ลูกอกตัญญู เจ้าจะกักบริเวณพ่ออย่างนั้นหรือ!”
ภรรยาของไป๋เวยเหมยเดินออกมาจากด้านในเช่นเดียวกัน นางมองไปทางสามีสลับกับบุตรชายทั้งน้ำตาอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรดี นางได้แต่ตะคอกบุตรชายอย่างโมโห “ฉีเหอ เจ้ากำลังทำสิ่งใดกัน!”
สีหน้าของไป๋ฉีเหอเย็นชาและสงบนิ่ง “บัดนี้ข้าคือประมุขของตระกูลไป๋ ท่านพ่ออายุมากแล้ว อาจถูกผู้อื่นยุยงให้ทำเรื่องเลอะเลือนได้ง่ายๆ ดังนั้นท่านพ่อพักผ่อนอยู่ในเรือนอย่างสบายใจเถิดขอรับ ข้าจะเลี้ยงดูท่านทั้งสองอย่างดี ทว่า ท่านพ่อได้โปรดอย่ายื่นมือเข้ามายุ่งกับเรื่องในตระกูลบรรพบุรุษอีกเลยขอรับ ข้าจะไม่ให้ท่านพ่อเข้ามายุ่งอีกแล้ว จะไม่ปล่อยให้ท่านพ่อผลักตระกูลไป๋เข้าไปในกองไฟอีกแล้วขอรับ!”
กล่าวจบไป๋ฉีเหอหมุนกายจากไปทันที
ไป๋ฉีเหอกล่าวว่าไป๋เวยเหมยถูกคนในตระกูลไป๋ยุงแยงเพราะต้องการไว้หน้าท่านพ่อของตัวเองเท่านั้น ไป๋ฉีเหอรู้ดีว่าแท้ที่จริงแล้วท่านพ่อของเขาต่างหากที่เป็นคนยุแยงคนเหล่านั้น
“อกตัญญู เนรคุณ!” ไป๋เวยเหมยโมโหจนหน้าแดงก่ำ เขาถือไม้เท้าเดินตามไปได้สองก้าวก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอกขึ้นมา เขาใช้มือกุมเสื้อบริเวณหน้าอกแน่น ดวงตาวาวโรจน์เบิกโพลง หงายหลังล้มลงไปบนพื้น
ภรรยาของไป๋เวยเหมยวิ่งเข้าไปหาไป๋เวยเหมยอย่างตกใจ “ท่านพี่ ท่านพี่!”
เมื่อภรรยาของไป๋เวยเหมยถลาเข้าไปเห็นสามีของตัวเองเป็นลมหมดสติหน้าแดงก่ำอยู่บนพื้น นางรีบเข้าไปปลดกระดุมคอเสื้อให้สามีพลางตะโกนเสียงดังลั่น “รีบไปตามท่านหมอมาเร็ว!”
ไป๋ฉีเหอไม่สนใจเสียงเอะอะในเรือนของบิดา เขาขึ้นไปบนรถม้า ทว่า ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังหอบรรพชนของตระกูลไป๋ทันที เขาสั่งให้คนนำรถม้าไปจอดแอบที่ประตูข้างซึ่งไร้ผู้คนของจวนแทน
ไป๋ฉีเหอสวมเสื้อคลุมหนังตัวใหญ่นั่งฟังเสียงน้ำค้างหยดลงบนหลังคากระเบื้องอยู่บนรถม้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ไม่นานบ่าวรับใช้ก็วิ่งมาหยุดอยู่ข้างรถม้าพลางกล่าวรายงาน “นายท่าน ท่านผู้เฒ่าส่งคนไปยังจวนของผู้อาวุโสบางส่วนของตระกูลบรรพบุรุษจริงๆ ขอรับ”
ไป๋ฉีเหอรู้จักบิดาของตัวเองดี หากไป๋ฉีเหอกล้ากักบริเวณบิดาของตัวเอง บิดาของเขาต้องไปหาผู้อาวุโสของตระกูลไป๋มากดดันเขาแน่นอน
ทว่า การกระทำเช่นนี้ของท่านพ่อจะทำให้ผู้อื่นรับรู้ว่าไป๋ฉีเหอไม่ใช่หุ่นเชิดของไป๋เวยเหมย เขากล้าแม้แต่กักบริเวณบิดาของตัวเอง เช่นนั้นแสดงว่าเขาไม่ได้กล่าวถ้อยคำเหล่านั้นกับตระกูลบรรพบุรุษไป๋เล่นๆ
“นายท่าน พวกเราจะไปหอบรรพชนเลยหรือไม่ขอรับ” คนบังคับม้าเอ่ยถามไป๋ฉีเหอที่นั่งอยู่ในรถม้าอย่างระมัดระวัง
ไป๋ฉีเหอลืมตาขึ้น กล่าวเพียง “รออีกสักพัก รอให้ผู้อาวุโสของตระกูลบรรพบุรุษไป๋เข้าไปในหอบรรพชนให้หมดก่อน พวกเราค่อยเข้าไปก็ยังไม่สาย”
หากบุตรชายคนรองที่เคยไม่ได้รับความสำคัญอยากกลายเป็นประมุขไป๋จริงๆ เขาต้องลงมืออย่างเด็ดขาด
หากไม่เด็ดขาด เขาจะไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งนี้ได้อย่างมั่นคง
ไป๋ฉีเหอไม่ได้อยากได้ตำแหน่งประมุข ทว่า เขาไม่อาจทนเห็นชื่อเสียงที่บรรพบุรุษตระกูลไป๋สละชีพและเลือดเนื้อสั่งสมมาพังทลายลงได้ นานมาแล้วไป๋ฉีเหอก็เคยเป็นบุรุษเลือดร้อน เคยอยากเข้าร่วมกองทัพ นั่งอยู่บนหลังม้าศึกต่อสู้กับศัตรูในสนามรบเช่นเดียวกัน
ทว่า บิดาของเขาไม่อนุญาต เขาจึงไม่กล้าขัดคำสั่งของท่าน
ทว่า บัดนี้บุรุษซึ่งเป็นสายเลือดหลักของตระกูลไป๋เสียชีวิตลงหมดแล้ว ตระกูลไป๋อยู่ได้โดยการพึ่งพาเด็กสาวของตระกูล เขาก็ต้องยืนหยัดให้ได้เช่นเดียวกัน
ช่วงปลายของยามเฉิน เมื่อทุกคนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋มาราวตัวกันครบแล้ว ประมุขไป๋ไป๋ฉีเหอจึงปรากฏตัวขึ้นเป็นคนสุดท้าย
เดิมทีผู้อาวุโสส่วนหนึ่งเตรียมกล่าวสั่งสอนไป๋ฉีเหอในฐานะญาติผู้ใหญ่สักหน่อย ทว่า พวกเขานึกไม่ถึงเลยว่าเมื่อไป๋ฉีเหอมาถึง เขาจะเดินตรงไปนั่งบนตำแหน่งประมุขด้วยสีหน้านิ่งขรึม จากนั้นกล่าวออกมาโดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใดกล่าวสิ่งใดทั้งสิ้น “นับแต่นี้เป็นต้นไป หากผู้ใดกล้ากล่าวว่าให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วทูลขอให้องค์รัชทายาทพาทายาทรุ่นหลังของตระกูลไป๋เข้าไปในราชสำนักอีก หากเอ่ยชื่อผู้ใดออกมา ข้าจะไล่คนผู้นั้นออกจากตระกูลไป๋ จงอย่าคิดว่าข้ากำลังล้อเล่นกับพวกท่านอยู่! หากผู้ใดอยากได้ความดีความชอบ อยากเป็นขุนนางก็ให้ใช้ความสามารถของตัวเองเพื่อให้ได้มันมา!”
ไป๋ชิงผิงที่ยืนอยู่ด้านข้างหันไปมองบิดาของตัวเอง แววตาของเขาเป็นประกายแตกต่างจากเมื่อก่อน เขารู้ดีว่าบิดาของตัวเองไม่ใช่คนอ่อนแอไร้ความสามารถ บิดาของเขามองสถานการณ์ออกยิ่งกว่าผู้ใดทั้งหมด
บัดนี้บิดาของเขาจัดการกับคนในตระกูลบรรพบุรุษเพื่อสร้างอำนาจให้แก่ตัวเอง ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี
ไป๋ชิงเหอยกถ้วยชาที่วางไว้ด้านข้างขึ้น ใช้ฝาถ้วยกดใบชาที่มักจะลอยขึ้นมาเหนือน้ำชาลงไป “แน่นอนว่าหากตระกูลบรรพบุรุษไป๋ของเรามีทายาทที่โดดเด่น มีความสามารถและไม่ทำให้เสียชื่อของตระกูลไป๋จริงๆ ประมุขไป๋อย่างข้าจะขอให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วแนะนำเขาต่อองค์รัชทายาทเอง! ทว่า หากผู้ใดกล้าข้ามหน้าข้ามตาข้าไปบีบบังคับองค์หญิงเจิ้นกั๋วก็อย่าหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน! แม้ท่านพ่อของข้าจะไม่เคยใช้กฎของตระกูลไป๋กับพวกเจ้าตอนที่ท่านพ่อของข้าดำรงตำแหน่งประมุขอยู่ ทว่า ไม่ได้หมายความว่าข้าจะใช้ไม่เป็น หากไม่เชื่อ พวกเจ้าจะลองดูก็ได้!”
ไป๋ฉีเหอวางถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างแรงด้วยวางมาดความเป็นประมุขไป๋ เสียงกระเบื้องกระทบกับโต๊ะสีเหลี่ยมสีดำดังลั่นจนทุกคนรู้สึกหวาดผวา
“แม้ประมุขไป๋จะกล่าวเช่นนี้ ทว่า บัดนี้องค์หญิงเจิ้นกั๋วได้รับบาดเจ็บหนักจนอาจมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน หากองค์หญิงเจิ้นกั๋วเป็นอันใดไปขึ้นมา อนาคตของทายาทรุ่นหลังของตระกูลบรรพบุรุษไป๋จะเป็นเช่นไรกัน” ผู้อาวุโสคนหนึ่งถามขึ้น
ไป๋ฉีเหอหันไปมองผู้อาวุโสคนนั้นแวบหนึ่ง จากนั้นแสยะยิ้มเย็น “ท่านก็รู้เหมือนกันหรือว่าตอนนี้ตระกูลบรรพบุรุษไป๋กำลังพึ่งพาองค์หญิงเจิ้นกั๋วอยู่”
ผู้อาวุโสถูกตอกกลับจนไปไม่เป็น ได้แต่ขมวดคิ้วแน่น
ไป๋ฉีเหอกวาดสายตามองทุกคน “รู้สึกขายหน้ากันบ้างเถิด! พวกเจ้าทำตระกูลบรรพบุรุษไป๋ขายหน้าจนแทบมองหน้าผู้อื่นไม่ติดแล้ว! พวกเจ้าต้องการมีอนาคตแต่ไม่พยายามด้วยตัวเอง กลับไปทำให้เด็กสาวคนหนึ่งที่กำลังประคับประคองตระกูลไป๋ทั้งตระกูลอยู่ลำบากใจ ยังมีหน้ามากล่าวเช่นนี้อีกหรือ! หากพวกเจ้ายังมีสำนึกอยู่บ้างก็ควรกลับจวนไปภาวนาขอให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงไปอีกร้อยปีเถิด!”