เจ้าหมาจิ้งจอกน้อยที่ถูกเขาเลี้ยงเอาไว้ในสวนกุหลาบของหุบเขาภูติ …..ก็ถูกเขาโยนลงไปในกงล้อวัฏสงสารด้วยตนเองมิใช่รึ
เสินฟางยิ้มเย็น พวกมนุษย์ที่ทำตนเป็นนักพรตผู้ยิ่งใหญ่ อย่าได้เห็นว่าภายนอกดูสุภาพรักษาท่าที แต่ยามเมื่อจะทำเรื่องชั่วขึ้นมา ก็สามารถกระทำได้อย่างไม่กระโตกกระตากเสียด้วยซ้ำ
ยามที่เขาเป็นหนึ่งในสิบยมราชนั้น ก็นับว่าเคยมีการไปมาหาสู่กับซื่อมั่วอยู่บ้าง จึงรู้ว่าเขาประคบประหงมลูกศิษย์คนโปรดนี้ถึงเพียงไร
รักใคร่โปรดปรานอยู่เพียงคนเดียว ยิ่งเท่ากับหวงเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว
ทั้งๆ ที่หวงแหนสุดหัวจิตหัวใจ แต่ภายนอกกลับนิ่งเฉยจนดูไม่ออก
เจ้าจิ้งจอกน้อยตัวนั้น วันทั้งวันร่วมกินร่วมดื่มอยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลันตลอดเวลา ทำตัวติดกับนางทั้งวัน ดังนั้นในกลางดึกของคืนหนึ่งที่ไร้แสงจันทร์และสายลมพัดแรง เจ้าจิ้งจอกตัวนั้นก็ถูกเขาหิ้วไปที่ยมโลก โยนลงไปผ่านกงล้อวัฏสงสารให้ไปเกิดใหม่เสียทั้งอย่างนั้น
ตอนนั้นตัวเขายังเป็นหนึ่งในยมราช จึงผ่านไปเห็นเข้าพอดี
เรื่องที่ไปเจ้ากี้เจ้าการจัดแจงชะตาชีวิตของผู้อื่นเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น ยมราชอย่างพวกเขาคงต้องเข้าไปจัดการแล้ว
เพียงแต่เมื่อคนผู้นั้นคือซื่อมั่วผู้ก่อตั้งหุบเขาภูติ เรื่องนี้เขาจึงได้แต่ทำเป็นว่าไม่รู้ไม่เห็น
เกรงว่านังหนูนี่จนถึงตอนนี้ก็คงจะยังไม่รู้หรอกว่าจิ้งจอกตัวนั้นไปไหนเสียแล้ว?
ยามนี้ ในสมองของเสินฟางชักจะปูดขึ้นมาแล้ว หากว่าซื่อมั่วและจีเฉวียนได้พบกัน เกรงว่าไม่ใช่เจ้าตายก็เป็นข้าม้วย
ฮ่องเต้ที่เป็นเพียงมนุษย์ปถุชนของโลกนี้ นับว่าไม่ธรรมดาเลย
ตอนนี้พอจีเฉวียนกล่าวประโยคหนึ่ง วิญญาณทมิฬก็ต้องเถียงประโยคหนึ่ง
เห็นแก่หน้าของตู๋กูซิงหลัน ในยามนี้ฮ่องเต้จึงยังมิได้ทรงถือสาหาความกับมัน ดวงเนตรของพระองค์อ่อนโยน พระหัตถ์ข้างหนึ่งโอบตู๋กูซิงหลัน พระหัตถ์อีกข้างชูสองดรรชนีขึ้นมา “ข้าจีเฉวียนขอสาบานต่อฟ้า คำสัญญาที่ให้กับเจ้าไปในวันนี้ หากว่าโป้ปดแม้สักครึ่งคำ ขอให้ข้าโดนฟ้าผ่า มิได้ตายดี!”
“ฟ้าถูกโลงทองแดงใบนี้ขวางเอาไว้แล้ว แถมด้านบนยังมีน้ำดำๆ ในทะเลสาบกั้นอยู่อีกชั้นหนึ่ง มาสาบานตอนนี้มีประโยชน์อะไร”
จัดมาได้ตามสบายเลย ไม่ว่าจะพูดอะไรออกมา อั๊วก็เตรียมจะเลื่อยขาเวทีให้หมด
รอให้กลับไปถึงโลกปัจจุบันโน้น มันจะต้องไปขอรับรางวัลดีๆ จากซื่อมั่วสักหน่อย หากมิใช่ว่ามันลงทุนลงแรงอย่างเหน็ดเหนื่อย หลันหลันก็อาจจะถูกเจ้าฮ่องเต้สุนัขหลอกอยู่นี่ก็เป็นได้
ความอดทนของฝ่าบาทถือว่ามาถึงสุดขอบข้อจำกัดแล้ว ทันทีที่วิญญาณทมิฬกล่าวจบลง ก็เห็นหมอกสีดำกลุ่มหนึ่งซัดออกมาจากพระหัตถ์
หมอกดำนี้ล้อมตัววิญญาณทมิฬเอาไว้จนกลมกลิ้งอยู่ภายใน กักขังมันอย่าแน่นหนา
วิญญาณทมิฬ “ข้าจะด่าบรรพชนทั้งหมดของเจ้า!”
น่าเสียดายที่เมื่ออยู่ในหมอกสีดำนั้นเสียงของมันก็ไม่อาจจะเล็ดลอดออกมาได้
พอไม่มีเจ้าถวนจื่อตัวดำคอยพูดขัดคอ ฝ่าบาทก็ทรงรู้สึกสบายพระกรรณขึ้น
สองดรรชนีที่พระองค์ใช้สาบานต่อฟ้าเบื้องบนยังไม่ทันจะลดลงมา ก็หันไปทอดพระเนตรตู๋กูซิงหลัน อยากให้นางได้เห็นถึงน้ำพระทัยที่แท้จริง “ทุกถ้อยคำที่เรากล่าวออกไปล้วนแต่เป็นจริง เจ้าพอจะให้โอกาสข้าสักครั้งได้หรือไม่? แค่ครั้งเดียวก็พอ”
หัวใจของตู๋กูซิงหลันสั่นสะท้าน
แต่ก็เป็นแค่การสั่นสะท้านน้อยๆ เท่านั้น นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าจีเฉวียนจะดื้อรั้นเพื่อนางถึงเพียงนี้
หรือบางทีอาจเป็นเพราะนางมีพรสวรรค์เรื่องความใจแข็งแต่กำเนิด จึงได้ไม่ค่อยรู้สึกรู้สาถึงเรื่องความรักสักเท่าไร
ในสายตาของนาง จีเฉวียนนั้นคล้ายกับคนที่ …….หากไม่ได้ในสิ่งที่ปรารถนา ก็จะคิดหาหนทางเป็นพันเป็นร้อยวิธีเพื่อให้ได้มาครอบครอง
เพียงแต่ว่านางไม่ได้ดีเลิศอะไรขนาดนั้นเสียหน่อย?
นางคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าจีเฉวียนชอบนางที่ตรงไหนกัน? ข้อดีของการชอบนางคืออะไร?
ทำไมจึงจะต้องเป็นนางให้ได้?
นี่คือความรักจริงๆ หรือ?
นางได้เห็นสามีภรรยาที่เกลียดชังกันมามาก อยากจะฆ่าแกงกันมามากมาย เรื่องของความรักสำหรับนางแล้ว คงถูกนางละทิ้งไปตั้งแต่แรกแล้ว
ดังนั้นไม่ว่าจีเฉวียนจะทำเช่นไร…..ก็ไม่อาจทำให้นางหวั่นไหวได้เลย
หัวใจคล้ายกับถูกลงกลอนเอาไว้ กุญแจนั้นปิดกั้นความรักเอาไว้จนหมดสิ้น
และเพราะร่องรอยของความหวั่นไหวเมื่อครู่ ตู๋กูซิงหลันถึงได้รู้สึกว่าหัวใจมีรอยแผลคล้ายกับถูกฉีกออกมา เจ็บปวดอย่างยิ่ง
แต่ว่าสีหน้าภายนอกของนางยังคงมีแต่ความสงบ ชนิดที่ว่าแม้แต่ในดวงตาดอกท้อทั้งสองข้างก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวเลยสักนิด
ในชั่วขณะนั้น ร่างกายของจีเฉวียนถึงกับเหน็บหนาวไปทั่วทั้งร่าง
ทั้งๆ ที่พระองค์ไม่เคยได้ครอบครองนาง แต่เมื่อได้เห็นปฏิกริยาของนางที่ไม่มีความหวั่นไหวเลยสักนิด พระองค์ก็รู้สึกเหมื่อกับว่าได้สูญเสียนางไปนับพันนับหมื่นครั้งแล้ว
ครั้งหนึ่งเคยมีคนถามคำถามพระองค์ “ทำไมบนโลกถึงได้มีคนที่หัวใจแข็งทื่อไร้ความรู้สึกเหมือนดั่งพระองค์อยู่?”
ในตอนนั้น พระองค์ทรงถอนพระทัยทางพระนาสิกเบาๆ ทรงรู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างน่ารำคาญเหลือเกิน
จะมามัวพิรี้พิไรกับความรู้สึกไปเพื่ออะไร?
มิว่าพระองค์จะทำสิ่งใดล้วนแล้วแต่มีจุดประสงค์และวิธีการที่ชัดเจน พระองค์ไม่เคยทรงใช้ความรู้สึกมาก่อน
แต่พอมาถึงตอนนี้…..ยามเมื่อพระองค์ถูกตู๋กูซิงหลันปฏิบัติตอบอย่างเย็นชา พระองค์ถึงได้ทรงรู้สึกเข้าพระทัยอย่างแจ่มชัดว่า การหลงรักคนที่ ‘หัวใจเฉยชาดั่งหินผา’ ผู้หนึ่ง เป็นเรื่องที่ทุกข์ทรมานเพียงไร
ความรู้สึกนี้เหมือนกับว่าหัวใจที่เร่าร้อนดวงหนึ่งถูกส่งออกไป แต่แล้วกลับถูกมีดสั้นที่เย็นเป็นน้ำแข็งเล่มหนึ่งทิ่มแทงกลับมานับร้อยแผล
“เป็นเพราะคนที่ชื่อว่าซื่อมั่วผู้นั้น เจ้าจึงไม่ยอมให้โอกาสข้าแม้แต่สักครั้งหรือ?” จีเฉวียนคว้ามือของนางเอาไว้อย่างแนบแน่น
ในที่สุด ดวงเนตรหงส์ทั้งคู่ก็สาดประกายเย็นยะเยือกออกมา
ครั้งหนึ่ง พระองค์ทรงทราบดีว่า ในสายตาและหัวใจของตู๋กูซิงหลันนั้นมีแต่จีเย่…..ในตอนนั้น พระองค์เอาแต่ดูถูกนาง
ตอนนี้ เพราะบุรุษที่ไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้า พระทัยของพระองค์เหมือนดั่งถูกนำไปประหาร
ตู๋กูซิงหลันอยากจะบอกเหลือเกินว่าไม่ใช่
ระหว่างนางกับอาจารย์มีแต่ความบริสุทธิ์ใจดั่งอาจารย์และลูกศิษย์เท่านั้น
แต่ว่าเมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปาก กลับกลายเป็น “ใช่แล้ว”
หมัดของจีเฉวียนกำเข้าหากันจนแนบแน่น
ในพระเนตรของพระองค์มีแต่ความเจ็บปวดอย่างลึกซื้ง และความเจ็บปวดนี้ได้เปลี่ยนเป็นพายุหิมะอย่างรวดเร็ว
“เราไม่มีทางด้อยไปกว่าเขา” พระองค์ทรงคว้าตู๋กูซิงหลันไว้ มิว่าอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย
ทั้งยังขอร้องนางเป็นครั้งสุดท้าย “ให้โอกาสเราสักครั้ง ครั้งเดียวก็พอ เราจะใช้ทั้งชีวิตมาพิสูจน์ให้เจ้าดู”
ตอนนี้ ในพระเนตรของพระองค์ยังคงมีแสงแห่งความหวังอยู่จางๆ
ต่อให้จิตใจของนางเหมือนดั่งหินผา ต่อให้นางไม่ได้รักพระองค์ พระองค์ก็ยังทรงคิดว่า หัวใจของคนเรามีเลือดเนื้ออยู่ สักวันหนึ่ง นางย่อมต้องอบอุ่นขึ้นมา
ซื่อมั่วดีกับนางหนึ่งส่วน พระองค์ก็จะดีกับนางสิบส่วน ร้อยส่วน พันส่วน
“ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรัก” ตู๋กูซิงหลันจับพระหัตถ์ที่โอบเอวของนางเอาไว้อย่างแนบแน่นมากุมไว้และตบเบาๆ
“พระองค์ยังทรงจดจำ ความตั้งพระทัยแต่แรกเริ่มได้หรือไม่?”
จีเฉวียนตื่นตะลึงไป
ความตั้งพระทัยเดิม…..
พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ที่คิดการใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นฮ่องเต้ที่ในพระทัยก็คำนึงถึง
อาณาประชาราษฏร
“พระองค์ทรงเป็นผู้ที่จะปกครองแผ่นดินทั้งหมด” ตู๋กูซิงหลันมองดูเขาพลางคลี่ยิ้มน้อยๆ “ผู้ที่กระทำการอันยิ่งใหญ่ ย่อมไม่อาจห่วงกังวลในเรื่องของชายหญิง หนึ่งปีที่ได้รู้จักกัน ข้าล้วนเห็นมาหมดแล้วด้วยตาของตนเอง พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ที่ดี”
“แผ่นดินที่สับสนวุ่นวาย ความอดอยากกระจายไปทุกหย่อมหญ้า ผู้ยากไร้ร่อนเร่ไปทุกหัวระแหง พระองค์ทรงเป็นผู้ที่สวรรค์เลือกสรร ผู้ที่จะมาช่วยเหลือทุกชีวิตบนแผ่นดินนี้ ย่อมไม่สมควรลืมเลือนความตั้งพระทัยเดิมเพียงเพื่อคนผู้หนึ่ง”
“หากใต้หล้านี้ไม่ต้องมีครอบครัวที่แตกแยก พี่น้องที่เข่นฆ่ากัน เช่นนั้นในแผ่นดินก็จะไม่ต้องมีเด็กที่ถูกทอดทิ้งเช่นพระองค์ในวัยเยาว์ ปรารถนาให้แผ่นดินมีแต่ความสงบสุข ลมฝนอุดมสมบูรณ์นั่นจึงเป็นความตั้งพระทัยเดิมของพระองค์”
ตู๋กูซิงหลันยังคงกล่าวต่อไปทีละคำๆ “พระองค์ทรงเป็นผู้นำที่ชาญฉลาด เป็นฮ่องเต้ที่ผู้คนจะจดจำไปอีกนับพันปี ส่วนไทเฮาที่ล่มบ้านล้างเมืองมีแต่จะขัดขวางความตั้งพระทัยเดิม กลายเป็นก้อนหินที่ขวางทาง”
ตู๋กูซิงหลันคลี่ยิ้มน้อยๆ “รักใครสักคนเป็นเพียงความรักเล็กๆ รักใต้หล้าจึงจะเป็นรักที่ยิ่งใหญ่ ฝ่าบาททรงเป็นผู้ที่มีความรักอันยิ่งใหญ่ สละสิ่งเล็กน้อยเพื่อความสำเร็จของสิ่งที่ยิ่งใหญ่เป็นเรื่องที่สมควรที่สุดแล้ว”