ตอนที่ 878 สง่าผ่าเผย
ไป๋จิ่นเซ่อใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา ลำคอของนางจุกแน่น นางรีบหันหน้าหนี ทว่า สุดท้ายก็ร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
นางรู้ดีว่านี่คือแรงผลักดันที่สำคัญที่สุดที่ทำให้พี่หญิงใหญ่อยากขึ้นครองบัลลังก์แห่งนี้
หากพี่หญิงใหญ่ขึ้นครองบัลลังก์ กองทัพไป๋และคุณชายตระกูลไป๋ที่ยังมีชีวิตอยู่จะรับรู้ข่าวนี้และกลับมายังเมืองหลวงโดยไม่ทำให้ตระกูลไป๋เดือดร้อน พวกเขาไม่จำเป็นต้องอยู่อย่างกล้ำกลืนฝืนทนอีกต่อไป พี่หญิงใหญ่ต้องการให้พวกเขารับรู้ว่าแคว้นต้าจิ้นเปลี่ยนเป็นแคว้นต้าโจวแล้ว ทุกอย่างจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง พวกนางจะเริ่มทำสงครามเพื่อรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง
พี่หญิงใหญ่ต้องการให้คุณชายตระกูลไป๋และกองทัพไป๋กลับมาอย่างสง่าผ่าเผย!
ไป๋ชิงเหยียนโบกมือให้ไป๋จิ่นซิ่วนำหมวกเกราะมาให้นาง
“กลุ่มของเหลียงอ๋องเพิ่งหนีออกจากเมืองได้ไม่นาน เมื่อข้าช่วยเหลือท่านย่าได้แล้วจะรีบกลับมา หากสถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นจริงๆ ไป๋ชิงเหยียนจะรีบกลับมาให้ทันวันราชาภิเษก” ไป๋ชิงเหยียนรับหมวกมาจากไป๋จิ่นซิ่ว จากนั้นหนีบไว้ที่ศอก “ช่วงที่ไป๋ชิงเหยียนไม่อยู่เมืองหลวง อัครมหาเสนาบดีหลู่และไป๋จิ่นซิ่วจะเป็นคนดูแลราชสำนัก”
“ฝ่าบาท!” หลิ่วหรูซื่ออยากโน้มน้าวต่อ ทว่า กลับถูกหลู่เซียงห้ามไว้เสียก่อน
หลู่เซียงรู้ดีว่าองค์หญิงใหญ่เป็นคนเลี้ยงดูไป๋ชิงเหยียนมาตั้งแต่เด็ก นางไม่มีทางทอดทิ้งองค์หญิงใหญ่โดยไม่สนใจใยดี ที่สำคัญไป๋ชิงเหยียนคงอยากจัดการกับราชวงศ์หลินให้จบสิ้นเสียที ทว่า บัดนี้สถานการณ์ในเมืองหลวงยังไม่สงบเรียบร้อยดี ชาวบ้านยังคงเสียขวัญ พวกเขาต้องการให้ไป๋ชิงเหยียนอยู่เป็นขวัญกำลังใจของทุกคน เขาต้องเกลี้ยกล่อมไป๋ชิงเหยียน ทว่า ไม่ใช่ด้วยวิธีที่ตรงไปตรงมาและวู่วามของหลิ่วหรูซื่อ
หลู่เซียงเคยชินกับการใช้วิธีหว่านล้อมจักรพรรดิด้วยรอยยิ้ม เขาจึงโค้งกายคำนับไป๋ชิงเหยียน “ฝ่าบาทเชิญเสด็จไปโดยไม่ต้องกังวลทางนี้ได้พ่ะย่ะค่ะ เมืองหลวงมีกระหม่อมและฮูหยินฉินอยู่ ไม่มีทางเกิดเรื่องอันใดขึ้นอีกแน่พ่ะย่ะค่ะ เมื่อกำหนัดวันบรมราชาภิเษกได้แล้ว กระหม่อมจะเรียนให้ทุกแคว้นทราบ ถึงเวลานั้นทูตของแคว้นต่างๆ ย่อมมาร่วมแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ฝ่าบาทได้โปรดเสด็จกลับมาก่อนวันพิธีด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
หลู่เซียงกล่าวจบก็กล่าวเสริมอีกประโยค “ทว่า ตอนนี้ยังมีอีกเรื่อง…ตำแหน่งสำคัญของขุนนางยังว่างอยู่อีกมาก ฝ่าบาทได้โปรดแต่งตั้งคนดำรงตำแหน่งเหล่านี้ให้ครบก่อนออกเดินทางด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่อาจตัดสินใจเรื่องนี้แทนฝ่าบาทได้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้าให้หลู่เซียง นางรู้ดีว่าหลู่เซียงกำลังหว่านล้อมให้นางอยู่ในเมืองหลวงต่อและไม่อยากให้ตัวเองตกเป็นเป้าสายตาของผู้อื่น หลู่เซียงไม่อยากให้ขุนนางคนอื่นคิดว่าเขาถือโอกาสนี้แทรกคนของตัวเองไปในตำแหน่งต่างๆ ที่ว่างอยู่ ที่สำคัญที่สุดก็คือเขาอยากให้นางเป็นคนแสดงความเมตตาต่อขุนนางเหล่านี้ด้วยตัวเอง ให้นางอยู่เพื่อเป็นขวัญกำลังใจของชาวบ้าน ทว่า หลู่เซียงไม่ได้กล่าวออกมาตรงๆ เท่านั้นเอง
บางทีอาจเป็นเพราะหลู่เซียงเคยชินกับการโน้มน้าวแล้วจักรพรรดิไม่ยอมฟัง เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากไป๋ชิงเหยียน หลู่เซียงกลัวว่าไป๋ชิงเหยียนอาจวู่วามเพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับองค์หญิงใหญ่ เขาจึงกล่าวต่อ “เหลียงอ๋องแบ่งทหารออกเป็นหกเส้นทาง หากยังไม่รู้เส้นทางที่แน่ชัดของพวกเขา ฝ่าบาททรงประทับรออยู่ในวังหลวงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ เมื่อได้ข่าวที่แน่นอนแล้วว่าเหลียงอ๋องจับองค์หญิงใหญ่มุ่งหน้าไปที่ใด ฝ่าบาทค่อยเสด็จออกไปช่วยเหลือก็ยังไม่สายพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อรู้ข่าวว่าเหลียงอ๋องจับท่านย่าของนางหนีออกจากเมืองไปด้วย ไป๋ชิงเหยียนประมวลแผนที่ในสนองอย่างรวดเร็ว หญิงสาวรู้แล้วว่าเหลียงอ๋องจะพาท่านย่าของนางไปที่ใด ทางใต้มีซั่วหยาง เหลียงอ๋องไม่มีทางไปที่นั่นแน่นอน ตะวันออกมีทางการของเติงโจว กองทัพเติงโจวของน้าชายของไป๋ชิงเหยียนอยู่ที่นั่น หากไปทางทิศตะวันออกเขาอาจถูกโจมตีจากทั้งสองด้าน
ไป๋ชิงเหยียนเพิ่งยกทัพกลับมาจากทางเหนือ หลี่เม่าและเหลียงอ๋องคงกลัวว่ามันจะเสี่ยงเกินไป ดังนั้นพวกเขาคงทำได้เพียงหนีไปทางทิศตะวันตกเท่านั้น เมืองทางทิศตะวันตกที่เหลียงอ๋องจะเลือกมีเพียงกว่างหลิงและลั่วหงเท่านั้น
เหลียงอ๋องไม่มีกำลังทหารอยู่ในมือ หากต้องการคานอำนาจกับไป๋ชิงเหยียน เขาต้องการกำลังทหารและเสบียงอาหาร บังเอิญว่าตอนนี้เมืองเยี่ยนว่อกำลังซ่อมแซมเขื่อนกว่างเหอยู่ ที่นั่นมีทั้งทหารและเสบียงอาหาร
ที่สำคัญหากซ่อมแซมเขื่อนกว่างเหอเสร็จ เยี่ยนว่อจะกลายเป็นแหล่งเสบียงที่สำคัญที่สุดของต้าจิ้นทันที เมื่อพิจารณาดูแล้ว หากต้องการอพยพไปยังเมืองอื่นจริงๆ เมืองกว่างหลิงและลั่วหงคือตัวเลือกที่ดีที่สุด
ทว่า เมืองกว่างหลิงมีชายแดนติดกับต้าเยี่ยน กลุ่มของเหลียงอ๋องต้องไม่อยากเสี่ยงอันตรายนี้แน่ เช่นนั้นก็เหลือเพียงเมืองลั่วหงเท่านั้น
หลู่เซียงกังวลว่าจะโน้มน้าวไป๋ชิงเหยียนไม่สำเร็จ เขาจึงกระชากแขนของต่งชิงผิงไปด้านหน้า
ไป๋ชิงเหยียนรีบเดินลงมาจากบันไดสูง หญิงสาวปฏิบัติตนราวกับตัวเองเป็นเพียงผู้น้อย ไม่ได้วางมาดการเป็นจักรพรรดิแม้แต่น้อย
หลู่เซียงลากต่งชิงผิงไปด้านหน้า จากนั้นกล่าวกับไป๋ชิงเหยียนเสียงจริงจัง “การเป็นจักรพรรดิไม่เหมือนกับการเป็นแม่ทัพที่เด็ดเดี่ยว เมืองหลวงเพิ่งสงบลง ราชสำนักกำลังสั่นคลอน ใจคนกำลังเสียขวัญ บัดนี้พวกเราต้องการให้ฝ่าบาทประทับอยู่ในวังหลวงเพื่อควบคุมสถานการณ์ให้สงบและมั่นคง ฝ่าบาทคือเสาหลักสำคัญของเมืองหลวงแห่งนี้พ่ะย่ะค่ะ!”
ต่งชิงผิงพยักหน้ารัว “ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเห็นด้วยกับคำกล่าวของหลู่เซียงพ่ะย่ะค่ะ”
“พี่หญิงใหญ่ อัครมหาเสนาบดีหลู่และท่านลุงต่งกล่าวมีเหตุผล ให้ข้าไปแทนเถิดเจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นซิ่วกล่าว “ข้าจะช่วยท่านย่ากลับมาอย่างปลอดภัยแน่เจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนไม่ใช่คนที่ไม่รับฟังความเห็นของผู้อื่น ตระกูลไป๋ไม่มีคนมีใจคิดกบฏ ดังนั้นทายาทตระกูลไป๋จึงถูกอบรมสั่งสอนตั้งแต่เด็กว่าจะโตมาเป็นแม่ทัพที่ดีได้อย่างไร ทว่า ไม่มีผู้ใดสอนพวกนางมาก่อนว่าจะเป็นจักรพรรดิที่ดีได้อย่างไร
เรื่องการเป็นจักรพรรดิ นางถือเป็นเพียงศิษย์คนหนึ่ง ยังมีเรื่องที่นางต้องเรียนรู้อีกมาก
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า จากนั้นโค้งกายคำนับหลู่เซียง หลู่เซียงรีบเบี่ยงกายหลบการคำนับของไป๋ชิงเหยียนพลางตะโกนออกมาว่าไม่กล้ารับอย่างตกใจ
“ตอนไป๋ชิงเหยียนยังเล็ก ข้าเรียนรู้การเป็นแม่ทัพที่ดีจากท่านปู่ บัดนี้ข้าต้องปกครองแคว้นที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ คงต้องขอความช่วยเหลือจากท่านอัครมหาเสนาบดีหลู่และทุกท่านทั้งหลายด้วย”
หลู่เซียงอ่อนโน้มถ่อมตนต่อหน้าจักรพรรดิต้าจิ้นจนเคยชินแล้ว บัดนี้เมื่อเห็นจักรพรรดินีที่กำลังจะขึ้นครองราชย์ผู้นี้ขอคำแนะนำสั่งสอนจากเขาอย่างนอบน้อมเช่นนี้ทำให้หลู่เซียงทำตัวไม่ถูก รู้สึกสะเทือนใจยิ่งนัก
ทายาทตระกูลไป๋เปิดเผยตรงไปตรงมา มีความเมตตาต่อใต้หล้า ยอมรับคำแนะนำสั่งสอนจากผู้อื่นอย่างไม่ทระนงตน พวกเขาดีกว่าราชวงศ์หลินไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า แคว้นต้าโจวในภายภาคหน้ามีจักรพรรดินีผู้นี้ พวกเขาต้องรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งได้แน่นอน
ตระกูลไป๋ไม่เคยมีคนไร้ประโยชน์เพราตระกูลไป๋มีคุณธรรมที่สะอาดบริสุทธิ์ ตระกูลไป๋สั่งสอนลูกหลานได้ดีจริงๆ
ขอบตาของหลู่เซียงร้อนผ่าว เขารู้สึกซาบซึ้งใจมาก รีบโค้งคำนับไป๋ชิงเหยียนอย่างนอบน้อมและจริงใจ “หากฝ่าบาทไม่ทอดทิ้ง กระหม่อมยินดีช่วยเหลือฝ่าบาทด้วยความสามารถทั้งหมดที่กระหม่อมมีพ่ะย่ะค่ะ”
ท่าทีจริงใจและอ่อนน้อมของไป๋ชิงเหยียนทำให้ขุนนางในราชสำนักต่างขอบตาร้อนผ่าว
“ไป๋จิ่นซิ่ว หลินคังเล่อ พวกเจ้าจงนำทหารไล่ตามเหลียงอ๋องไปทางเมืองลั่วหงก่อน จงปกป้องอดีตรัชทยาทและองค์หญิงใหญ่ให้ปลอดภัย ข้าจะรีบตามไปทีหลัง” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว
“ไป๋จิ่นซิ่วรับบัญชาเจ้าค่ะ!” ไป๋จิ่นซิ่วกำหมัดรับคำ
“กระหม่อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” หลินคังเล่อไม่ถามเหตุผล ไป๋ชิงเหยียนไม่เคยคาดการณ์พลาด หลังผ่านสงครามมาด้วยกันถึงสามครั้ง หลินคังเล่อรู้ดีว่าขอเพียงองค์หญิงเจิ้นกั๋วมีรับสั่ง เขาจะทำตามโดยไม่มีข้อแม้
วังหลวงถูกทำความสะอาดเรียบร้อย ฎีกาที่กองเป็นภูเขาถูกยกเข้ามาด้านใน
ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้เปลี่ยนชุดเกราะที่เปื้อนเลือด เหล่าขุนนางยังอยู่ในชุดนักโทษสีขาว ทุกคนนั่งสะสางงานสำคัญของราชสำนักที่กองเป็นภูเขาโดยไม่มีผู้ใดเกียจคร้านสักคน
ไป๋จิ่นเซ่อสั่งให้คนจุดไฟในตำหนักให้สว่าง จากนั้นเอ่ยสั่ง “ส่งคนไปนำเครื่องแต่งกายสะอาดของใต้เท้าทุกคนที่จวนมาให้พวกเขาเปลี่ยน จากนั้นเตรียมอาหารให้ทุกคนด้วย”