หลี่ซื่อมองดูบุตรสาวของตัวเองพลางเอื้อมมือไปลูบใบหน้าเล็กของบุตรสาว บีบไหล่และแขนของบุตรสาวเล็กน้อย จากนั้นยิ้มทั้งน้ำตาแล้วกล่าวเสียงสะอื้น “สูงขึ้นมาก ดูเหมือนว่าเสื้อผ้าที่แม่เย็บไว้ให้เจ้าจะใช้ไม่ได้แล้ว”
“เจ้าค่ะ ตั้งแต่ที่ข้าเดินทางไปออกรบ ข้าทานอาหารเยอะและออกกำลังกายทุกวัน ไม่สูงก็แปลกแล้ว ท่านพ่อเคยกล่าวไว้เช่นนี้เจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นจื้อยิ้มกว้าง “ให้เวลาข้าอีกครึ่งปี ข้าต้องสูงกว่าพี่หญิงใหญ่แน่เจ้าค่ะ”
“เจ้าคนไม่มีหัวใจ เพิ่งกลับมาถึงก็กล่าวเรื่องไปออกรบอีกแล้ว เจ้าไม่สนเลยหรือว่าแม่คิดถึงเจ้ามากเพียงใด” หลี่ซื่อแสร้งโมโห
ไป๋จิ่นจื้อคล้องแขนหลี่ซื่อพลางซบหน้าลงที่บนบ่าของมารดาต่อหน้าไป๋ชิงเหยียนอย่างไม่เขินอาย “ข้าไม่อยู่จะได้ไม่มีคนยั่วโมโหท่านแม่อย่างไรเล่าเจ้าคะ อีกอย่างท่านแม่จะได้คิดถึงข้าตลอดเวลา ดีจะตายไปเจ้าค่ะ”
หลี่ซื่อใช้มือเขกไปที่ศีรษะของไป๋จิ่นจื้อเบาๆ “เจ้านี่นะ เมื่อใดจะโตเป็นผู้ใหญ่เสียที หากเจ้ารู้ความได้สักเสี้ยวหนึ่งของพี่หญิงใหญ่เจ้า แม่ก็คงไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าเช่นนี้”
“อาเป่าไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวของท่านอาสะใภ้สามนะเจ้าคะ เสี่ยวซื่อของพวกเราร่าเริงแจ่มใส หากตระกูลของพวกเรามีแต่คนสุขุม รอยยิ้มคงน้อยลงมากเจ้าค่ะ!” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวยิ้มๆ
“นั่นสิเจ้าคะ!” ไป๋จิ่นจื้อรีบสมทบ
“เจ้าดีแต่ประจบจริงๆ !” หลี่ซื่อเขกศีรษะของไป๋จิ่นจื้ออีกครั้ง “เอาเถิด ในเมื่อคุยเรื่องสำคัญกับพี่หญิงใหญ่ของเจ้าเสร็จแล้วก็อย่ามัวกล่าวเล่นเช่นนี้เลย ตอนนี้พี่หญิงใหญ่ของเจ้ากำลังตั้งครรภ์ เจ้าต้องช่วยเหลือนางไม่ใช่สร้างปัญหาเพิ่ม แม่ได้เห็นหน้าเจ้าแล้ว เจ้าอยู่ช่วยพี่หญิงใหญ่ของเจ้าจัดการฎีกาต่อที่นี่ จับตาดูให้พี่หญิงใหญ่ของเจ้าหยุดพักทุกๆ ครึ่งชั่วยามด้วย”
“ท่านอาสะใภ้สาม ให้เสี่ยวซื่อกลับไปกับท่านเถิดเจ้าค่ะ ข้าทำงานอีกสักพักก็จะหยุดพักแล้วเจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวยิ้มๆ “อีกสักครู่ท่านอาสะใภ้ห้าก็คงให้ตี๋หมัวมัวพาเสี่ยวปามาหาข้าแล้วเจ้าค่ะ”
ตั้งแต่ที่ไป๋ชิงเหยียนตั้งครรภ์ บรรดาอาสะใภ้ของหญิงสาวต่างสลับกันส่งคนมาเตือนให้นางหยุดพักผ่อนทุกวัน คนที่ถูกส่งมาล้วนเป็นหมัวมัวข้างกายของบรรดาอาสะใภ้ ไม่เพียงนำของอร่อยมาให้ทาน พวกนางยังอยู่รอดูจนกว่าไป๋ชิงเหยียนจะทานหมด จากนั้นค่อยกลับไปรายงานเจ้านายของตนอีกด้วย
หมัวมัวเหล่านี้ล้วนเห็นไป๋ชิงเหยียนเติบโตมาตั้งแต่เล็ก เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่ของไป๋ชิงเหยียน หญิงสาวจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร ไป๋ชิงเหยียนทำได้เพียงหยุดพักทานอาหารเหล่านั้นแล้วค่อยทำงานต่อ
ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงหมอหงและอิ๋นซวงที่แทบจะคอยจับตาดูนางอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย
สิ้นเสียงของไป๋ชิงเหยียน ตี๋หมัวมัวเดินจูงมือคุณหนูแปดไป๋หว่านชิงเข้ามาพอดี
เมื่อเข้ามาด้านใน ตี๋หมัวมัวทำความเคารพหลี่ซื่อ ไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นจื้อ จากนั้นกล่าวกับไป๋หว่านชิงยิ้มๆ “คุณหนูแปด นี่คือพี่หญิงสี่ของคุณหนูเจ้าค่ะ…”
ไป๋จิ่นจื้อมองไปทางเด็กน้อยที่มัดแกละสองข้าง สวมสร้อยทับทิมสีแดง สวมชุดกระโปรงสีขาวหิมะ ดวงตาดำขลับของเด็กน้อยกะพริบปริบๆ ดูร่าเริงราวกับตุ๊กตา ช่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก
ไป๋จิ่นจื้อโน้มกายไปลูบศีรษะของไป๋หว่านชิง “เสี่ยวปา พี่คือพี่หญิงสี่ของเจ้า”
“พี่หญิงสี่!” ไป๋หว่านชิงเอ่ยเรียกเสียงหวาน เด็กน้อยสะบัดมือของตี๋หมัวมัวออก จากนั้นจับชายกระโปรงวิ่งเข้าไปหาไป๋ชิงเหยียน น้ำเสียงที่ยังกล่าวไม่ค่อยชัดเจนดังขึ้นเบาๆ “พี่หญิงใหญ่ พี่หญิงใหญ่ห้ามอ่านฎีกาแล้วเจ้าค่ะ ถึงเวลาพักผ่อนแล้วเจ้าค่ะ…”
เด็กตัวน้อยวิ่งตรงเข้าไปหาไป๋ชิงเหยียนอย่างคุ้นชิน นางปีนขึ้นไปนั่งตักของไป๋ชิงเหยียน เด็กน้อยเลียนแบบไป๋ชิงเหยียนหยิบฎีกามาพลิกอ่านทีละหน้าอย่างตั้งใจราวกับอ่านเข้าใจ หากไม่ใช่เพราะถือกลับด้าน ทุกคนอาจคิดว่าเสี่ยวปาไป๋หว่านชิงอ่านเข้าใจจริงๆ
บางทีอาจเป็นเพราะเห็นภาพนี้จนเคยชินแล้วจึงไม่มีผู้ใดตำหนิเสี่ยวปา ไป๋ชิงเหยียนวางตำราไม้ไผ่ลงบนโต๊ะด้านข้าง จากนั้นหยิบม้วนไม้ไผ่ที่ว่างเปล่าออกมาให้ไป๋หว่านชิงขีดเขียนเล่นพลางเอ่ยชมว่าเด็กน้อยวาดได้ดี ใบหน้าเต็มไปด้วยความเอ็นดูอย่างปิดไม่มิด
“เจ้าเด็กน้อยเสี่ยวปาตอนเกิดใหม่ใบหน้ายับยู่ยี่ราวกับลิง ตอนนี้น่าเอ็นดูมากเลยเจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นจื้อกล่าว
หลี่ซื่อรีบหยิกแขนของไป๋จิ่นจื้อจนสาวน้อยร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ตี๋หมัวมัวยังอยู่ตรงนี้ บุตรสาวของนางกล่าวอันใดเช่นนี้กัน!
“เหตุใดท่านแม่จึงหยิกข้าเจ้าคะ”
“เจ้าสิเหมือนลิง ตอนนี้ก็ยังเหมือน! ทั้งผอมทั้งดำ ยังมีหน้าไปว่าเสี่ยวปาอีก”
ตี๋หมัวมัวกล่าวยิ้มๆ “เด็กเกิดใหม่ล้วนมีใบหน้ายู่ยี่ทุกคนเจ้าค่ะ ไม่แปลกที่คุณหนูสี่จะกล่าวเช่นนี้ เมื่อโตขึ้นใบหน้าจะเปลี่ยนไปเองเจ้าค่ะ ใบหน้าของคุณหนูแปดถอดแบบมาจากท่านชายห้าไม่มีผิดเพี้ยนเลยเจ้าค่ะ”
ไป๋จิ่นจื้อขมวดคิ้วมองไป๋หว่านชิง นางรู้สึกว่าไป๋หว่านชิงเหมือนอาสะใภ้ห้ามากกว่า สาวน้อยชี้ไปที่ไป๋หว่านชิง “เหมือนท่านอาห้าที่ใดกันเจ้าคะ เหมือน…โอ้ย! ท่านแม่หยิกข้าเพราะเหตุใดอีกเจ้าคะ!”
“อย่ามัวรบกวนพี่หญิงใหญ่ของเจ้าอีก กลับไปกับแม่ก่อน เจ้าดมกลิ่นบนตัวเจ้าสิ รีบกลับไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้…” หลี่ซื่อกระชากแขนของบุตรสาวให้เดินออกไปด้านนอก
“ท่านอาสะใภ้สามกลับดีๆ นะเจ้าคะ…” ไป๋ชิงเหยียนวางไป๋หว่านชิงลงด้านข้าง จากนั้นลุกขึ้นยืนทำความเคารพหลี่ซื่อ
“เจ้ารีบนั่งลงเถิด เจ้าตั้งครรภ์อยู่ไม่ต้องทำอันใดเช่นนี้!” หลี่ซื่อรีบโบกมือให้ไป๋ชิงเหยียน
“ข้ากลับก่อนนะเจ้าคะพี่หญิงใหญ่ อาบน้ำเสร็จข้าจะมาหาใหม่เจ้าค่ะ…” ไป๋จิ่นจื้อรีบกล่าว
ไป๋ชิงเหยียนโบกมือให้ไป๋จิ่นจื้อ ในใจได้แต่คิดว่าไป๋จิ่นจื้อคงมาหานางไม่ได้จนถึงพรุ่งนี้ ท่านอาสะใภ้สามเห็นไป๋จิ่นจื้อคล้ำลงไม่น้อย เมื่อไป๋จิ่นจื้ออาบน้ำเสร็จ ท่านอาสะใภ้สามต้องให้ไป๋จิ่นจื้อขัดตัวด้วยสมุนไพรต่างๆ ต่อเพื่อให้นางกลับมาขาวเช่นเดิมแน่นอน
ไป๋ชิงเหยียนรู้ว่ายาย ลุงและป้าสะใภ้ของไป๋จิ่นจื้อพาบุตรชายคนรองของตนเดินทางมายังเมืองหลวงเพื่อหารือเรื่องแต่งงานของเด็กทั้งสอง ไม่รู้ว่าหากไป๋จิ่นจื้อรู้เรื่องนี้เข้าจะอาละวาดกับท่านอาสะใภ้สามมากเพียงใด
ตี๋หมัวมัวย่อกายส่งหลี่ซื่อและไป๋จิ่นจื้อจากไปด้วยความนอบน้อม จากนั้นจึงถือกล่องอาหารไปที่โต๊ะด้านข้างไป๋ชิงเหยียน หยิบน้ำแกงและของว่างออกมาจากด้านใน “คุณหนูใหญ่ลองชิมดูเจ้าค่ะ นี่คือขนมรังนกที่ฮูหยินห้าเพิ่งหัดทำใหม่กับน้ำแกงพุทราเจ้าค่ะ”
“ลำบากท่านอาสะใภ้ห้าแล้ว!” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวจบก็เห็นไป๋หว่านชิงกระตุกชายเสื้อของตนพลางมองไปทางขนมรังนกอย่างอยากกิน
ไป๋ชิงเหยียนหยิบขนมป้อนไปที่ปากของไป๋หว่านชิงยิ้มๆ “ทานเถิด หมัวมัวไปนำนมมาให้เสี่ยวปาที…”
“คุณหนูใหญ่ตามใจคุณหนูแปดเกินไปเจ้าค่ะ!” แม้ตี๋หมัวมัวจะกล่าวเช่นนี้ ทว่า นางดีใจมาก
บัดนี้บุรุษชุดดำนามว่าซุนเหวินเหยาที่เดินทางกลับมาพร้อมไป๋จิ่นจื้อยืนรอไป๋จิ่นจื้ออยู่กลางแดดที่หน้าประตูอู่เต๋อ จวบจนพลบค่ำก็ยังไม่มีผู้ใดออกมาเชิญเขาเข้าไปในวัง
ซุนเหวินเหยากำมือแน่น ในที่สุดก็ตัดสินใจเดินจากไปก่อนฟ้าจะมืดสนิทลงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ทว่า เหมือนจะถอนหายใจออกมาได้อย่างโล่งอกเช่นเดียวกัน
ซุนเหวินเหยาจูงม้าเดินไปตามถนนของเมืองหลวงที่ประดับด้วยโคมไฟ หากพบหน้าไป๋ชิงเหยียนขึ้นมา เขาต้องใช้มีดแทงจักรพรรดินีแห่งต้าโจวจริงๆ อย่างนั้นหรือ