ตอนที่ 1049 ตกตะลึง
“ขอรับ!”
“ช้าก่อน!” ทหารสอดแนมเตรียมขวบม้าไปยังทิศที่ต่งชิงเยว่ยืนอยู่ก็ได้ยินเสียงอาเค่อเซี่ยดังขึ้นเสียก่อน “กล่าวด้วยวาจานอบน้อม บอกแม่ทัพของต้าโจวผู้นั้นว่าอย่าเข้ามายุ่งกับสงครามในครั้งนี้ มิเช่นนั้นจะถือเป็นศัตรูกับซีเหลียงและเทียนเฟิ่ง”
“ขอรับ!” ทหารสอดแนมขี่ม้าเร็วมุ่งตรงไปหาต่งชิงเยว่ จากนั้นตะโกนถ่ายทอดคำของอาเค่อเซี่ยให้ต่งชิงเยว่รับรู้เสียงดังลั่น
ต่งชิงเยว่หัวเราะออกมาทันทีที่ได้ฟังจบ ม้าศึกของต่งชิงเยว่ย่ำเท้าไปมาพลางส่งเรียกร้องราวกับต้องการพุ่งตัวไปด้านหน้า ต่งชิงเยว่กระชากบังเหียนม้าให้หยุดนิ่ง จากนั้นกล่าวเสียงเย็น “ข้ายังกล่าวไม่ชัดเจนอีกหรือ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปหรงตี๋คือสนามม้าของต้าโจว ผู้ใดกล้ารุกรานดินแดนของต้าโจว ทหารกล้าของต้าโจวจะสังหารให้สิ้น!”
ทหารสอดแนมของแคว้นเทียนเฟิ่งขี่ม้ากลับไปรายงานให้อาเค่อเซี่ยฟังอีกรอบ
อาเค่อเซี่ยหรี่ตาแคบลง เขาเอนกายไปด้านหน้าเล็กน้อย กระชับมือที่วางอยู่บนหัวเข่าแน่น เขามองไปทางต่งชิงเยว่ที่ขี่ม้านำอยู่ด้านหน้าสุดของกองทัพด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ท่านแม่ทัพ พวกเราจะถอยทัพหรือไม่ขอรับ” ลูกน้องของอาเค่อเซี่ยเอ่ยถาม
ด้วยนิสัยของอาเค่อเซี่ยเขาคงอยากเปิดศึกให้กองทัพต้าโจวได้รู้ความร้ายกาจของกองทัพช้างของแคว้นเทียนเฟิ่ง ทว่า เจ้านายของพวกเขากำชับไว้ว่าห้ามนำวิธีรุนแรงที่พวกเขาเคยใช้กับแคว้นฮั่นอิงและแคว้นเหมิ่งเสอมาใช้กับต้าโจวและต้าเยี่ยนเด็ดขาด
อาเค่อเซี่ยตะโกนลั่น “ถ่ายทอดคำสั่ง ถอยทัพไปตั้งค่ายใหม่ห่างออกไปอีกหกลี้[1]”
แตรของกองทัพช้างแห่งแคว้นเทียนเฟิ่งดังขึ้น ช้างยักษ์ตวัดงวงยาวของตัวเอง จากนั้นหันหลังเดินตามขบวนของอาเค่อเซี่ยจากไป
ทว่า ต่งชิงเยว่ยังไม่กล้าวางใจ เขาส่งทหารหน่วยสอดแนมไปสังเกตการณ์ต่อ
บนท้องฟ้าเหลือเพียงแสงสว่างสุดท้ายของวัน ท้องฟ้าเหนือทุ่งหญ้ากว้างถูกแทนที่ด้วยแสงสว่างจากดวงดาว เปลวไฟจากคบเพลิงลุกโหมตามแรงลม
ไม่นานทหารหน่วยสอดแนมกลับมาอีกครั้ง “รายงาน…”
ต่งชิงเยว่รวบรวมสติมั่น
ทหารหน่วยสอดแนมสามคนลงจากหลังม้าโดยไม่รอให้ม้าหยุดนิ่ง พวกเขาคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น จากนั้นกล่าวรายงาน “กองทัพช้างของเทียนเฟิ่งถอยทัพไปตั้งค่ายห่างจากเดิมหกลี้ขอรับ”
หกลี้…ไม่ถือเป็นระยะที่ไกลสักเท่าใด
ต่งชิงเยว่ขบกรามแน่น จากนั้นตะโกนเสียงดัง “ต่งฉางหลาน ต่งฉางเม่า!”
ตั้งแต่ที่ไป๋ชิงเหยียนขึ้นครองราชย์ ทหารในกองทัพเติงโจวถึงรู้ว่าต่งฉางหลานยังมีชีวิตอยู่ ไม่เพียงยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น ทว่า ชายหนุ่มกลับฝึกฝนทหารดุดันกองทัพใหม่ในดินแดนของหรงตี๋อีกด้วย
ต่งฉางหลานและต่งฉางเม่าขี่ม้าไปด้านหน้า “ขอรับ”
“ต่งฉางเม่ากลับไปขนเสบียงมายังค่ายทหารที่นี่ ให้คนส่งจดหมายไปทูลให้ฝ่าบาททราบที่เมืองหลวงโดยเร็วที่สุด ทูลฝ่าบาทว่าไม่ต้องเป็นกังวล ขอเพียงต่งชิงเยว่ยังอยู่ ข้าจะไม่ปล่อยให้เทียนเฟิ่งรุกล้ำเข้ามาในแคว้นต้าโจวแม้แต่ก้าวเดียว” ต่งชิงเยว่กล่าวเสียงขรึม
“ขอรับ!” ต่งฉางเม่ารับคำ จากนั้นพาทหารขี่ม้ากลับไปยังเมืองเติงโจวทันที
“ต่งฉางหลาน” ต่งชิงเยว่เอ่ยเรียก
“ขอรับ” ต่งฉางหลานรับคำ
“เจ้ารีบพาทหารหนึ่งหมื่นนายไปช่วยอ๋องหน้ากากผียึดวังหลวงและอำนาจของราชวงศ์หรงตี๋ให้ได้!”
“ขอรับ” แววตาของต่งฉางหลานเป็นประกาย เขาเตรียมขี่ม้าจากไป ทว่า ได้ยินต่งชิงเยว่เรียกไว้เสียก่อน
ต่งชิงเยว่ขบกรามพลางกวักมือเรียกบุตรชายของตัวเอง ต่งฉางหลานขี่ม้าไปด้านหน้า จากนั้นเอ่ยถามเสียงเบา “ท่านพ่อ”
ต่งชิงเยว่จับแขนของบุตรชายแน่น เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ต้องปกป้องอาอวี๋ให้ปลอดภัยให้ได้ เด็กนั่นลำบากมามากแล้ว…”
ต่งฉางหลานรู้ว่าอ๋องหน้ากากผีแห่งหรงตี๋คือญาติผู้น้องไป๋ชิงอวี๋ เขาพยักหน้ารัว “ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ ข้าจะปกป้องญาติผู้น้องด้วยชีวิตขอรับ!”
“ไปเถิด” ดวงตาของต่งชิงเยว่แดงก่ำ เขาตบไปที่ไหล่ของบุตรชายสองสามครั้ง “ระวังตัวด้วย”โนเวลพีดีเอฟ
“ท่านแม่ทัพไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ” ต่งฉางหลานกำหมัดคารวะต่งชิงเยว่ จากนั้นพาพลทหารม้าของตัวเองขี่ม้าจากไปทันที
ไป๋ชิงเหยียนรับประทานอาหารร่วมกับมารดา บรรดาอาสะใภ้และบ่าวรับใช้ที่ซื่อสัตย์ของตระกูลไป๋ ถือเป็นการฉลองวันเกิดในปีนี้
ระหว่างรับประทานอาหาร เว่ยจงรายงานไป๋ชิงเหยียนว่าทูตของต้าเยี่ยนขอเข้าเฝ้าหญิงสาว ไป๋ชิงเหยียนกำหมัดแน่น นางเดาว่าเซียวหรงเหยี่ยนคงให้คนนำของขวัญวันเกิดมาให้นาง ไป๋ชิงเหยียนให้เว่ยจงพาคนไปรอก่อน เมื่อเสร็จงานเลี้ยงค่อยออกไปพบเขา จากนั้นสั่งให้เว่ยจงบอกให้เซียวรั่วเจียงไปรอพบนางที่ห้องตำราหลังเสร็จงานเลี้ยง
หมอหง ถงหมัวมัวและบรรดาหมัวมัวข้างกายของอาสะใภ้ไป๋ชิงเหยียนยังมอบของขวัญให้ไป๋ชิงเหยียนราวกับไป๋ชิงเหยียนยังเป็นเด็ก ไป๋จิ่นจื้อและบรรดาบ่าวรับใช้ที่ซื่อสัตย์ของตระกูลไป๋ไม่น้อยหน้า ต่างมอบของขวัญให้ไป๋ชิงเหยียนเช่นเดียวกัน แม้แต่แม่นางจี้ที่เดินทางกลับมาจากเมืองหานพร้อมกับไป๋จิ่นจื้อยังมอบผ้าปักสองด้านที่ตัวเองหาเวลาปักให้ไป๋ชิงเหยียนเช่นเดียวกัน
มื้ออาหารเต็มไปด้วยความครื้นเครง เมื่อรับประทานอาหารเสร็จไป๋จิ่นจื้ออาสาเป็นคนไปส่งไป๋ชิงเหยียนที่ห้องตำรา สาวน้อยอยากหาโอกาสขอร้องพี่หญิงใหญ่ให้อนุญาตให้ตนเดินทางไปหนานเจียงอีกครั้ง นางอยากเห็นกองทัพช้างเหล่านั้นจนทนไม่ไหวแล้ว
ระหว่างทางไป๋จิ่นจื้อได้ยินเสิ่นชิงจู๋เล่าเรื่องที่ไป๋ชิงเหยียนส่งนางไปสืบที่หนานเจียงจึงตกใจมาก
“มิน่าช่วงนี้จึงไม่ค่อยเห็นหน้าพี่ชิงจู๋ ที่แท้พี่หญิงใหญ่ส่งพี่ชิงจู๋ไปสืบเรื่องของแม่ทัพกวนนี่เอง” ไป๋จิ่นจื้อไม่ค่อยเข้าใจ “ทว่า แม่ทัพกวนคือลูกน้องในสังกัดของท่านอาห้า คือคนของกองทัพไป๋ คือสหายของพวกเรา กว่าจะได้เขากลับมาไม่ใช่เรื่องง่าย เหตุใดพี่หญิงใหญ่จึงส่งพี่ชิงจู๋ไปสืบเรื่องของเขาด้วยเจ้าคะ”
ไป๋ชิงเหยียนเดินไปตามระเบียงทางเดินที่ประดับด้วยแสงไฟพลางกล่าวขึ้น “ข่าวที่พวกเราได้รับคือแม่ทัพกวนสูญเสียความทรงจำจึงถูกคนตระกูลอวิ๋นแห่งซีเหลียงหลอกใช้ กล่าวว่าเขาคืออวิ๋นหลาน ทว่า หากเขาสูญเสียความทรงจำจริงๆ เหตุใดเขาจึงจำวิธีฝึกของค่ายหู่อิงได้ หากแม่ทัพกวนจำต้องแกล้งทำเป็นความจำเสื่อม เมื่อกลับถึงกองทัพไป๋ เขาควรอธิบายเรื่องนี้ให้พวกเราฟังอย่างละเอียด ทว่า แม่ทัพกวนกลับดึงดันที่จะกลับไปกองทัพอวิ๋น…”
“พี่สอบถามจากเซียวรั่วไห่อย่างละเอียดแล้วว่าเขารู้สึกเช่นไรตอนที่เห็นค่ายทหารหั่วอวิ๋นครั้งแรก หากแม่ทัพกวนสามารถจำการฝึกฝนของค่ายทหารหู่อิงได้ทั้งหมด เหตุใดเขาจะจำไม่ได้ว่าตนมีนามว่าอันใด ถึงแม้จะจำเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ ทว่า อย่างน้อยก็น่าจะจำธงของกองทัพไป๋ได้ ทว่า เมื่อแม่ทัพกวนกลับมาที่กองทัพไป๋ เขากลับบอกเซียวรั่วไห่ว่าจดจำสิ่งใดไม่ได้เลย พี่จึงเริ่มสงสัย” ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางไป๋จิ่นจื้อที่ขมวดคิ้วแน่น “เป็นดั่งที่เจ้ากล่าว กว่าพวกเราจะได้แม่ทัพกวนกลับมาไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่า กองทัพไป๋เผชิญความลำบากมามากเหมือนกัน พวกเราต้องระมัดระวังตัวให้มากกว่านี้ ดังนั้นพี่จึงส่งชิงจู๋ไปสืบเรื่องนี้ที่หนานเจียงอย่างลับๆ”
ไป๋จิ่นจื้อพยักหน้า “พี่หญิงใหญ่กังวลถูกแล้วเจ้าค่ะ หากเป็นเช่นนี้พวกเราควรสืบเรื่องนี้อย่างละเอียดเจ้าค่ะ”
เสิ่นชิงจู๋ได้ยินไป๋จิ่นจื้อกล่าวเช่นนี้จึงกล่าวขึ้น “เมื่อข้าไปถึงหนานเจียง ข้าไม่พบพิรุธใดๆ ในตัวแม่ทัพกวน ข้าจึงเดินทางไปยังอำเภอเฟิงเพื่อสืบประวัติของแม่ทัพกวน ข้ารู้เพียงว่าแม่ทัพกวนเข้าร่วมกับกองทัพไป๋เพราะซีเหลียงทำร้ายภรรยาและบุตรของเขาจนเสียชีวิต! แม่ทัพกวนถือเป็นคนมีชื่อเสียงคนหนึ่งในอำเภอเฟิง ทว่า เขาไม่มีญาติหรือสหายคนสนิท ต่อมาข้าสืบรู้จากอาจารย์ที่สอนตำราในอำเภอเฟิงว่าแม่ทัพกวนติดตามบิดาและมารดาของตัวเองมายังอำเภอเฟิงตอนอายุสิบสาม พวกเขาบังเอิญเจอคนซีเหลียงบุกโจมตีอำเภอเฟิงพอดีจึงช่วยเหลือคนในหมู่บ้านเอาไว้ ต่อมาพวกเขาจึงตั้งถิ่นฐานอยู่ที่อำเภอเฟิงอย่างถาวร ก่อนหน้านี้มีคนรู้จักบ้านเกิดของแม่ทัพกวน ทว่า ต่อมาพวกเขาเสียชีวิตไปหมดแล้วเจ้าค่ะ…”
[1] ลี้ เท่ากับครึ่งกิโลเมตร