บทที่ 12 เหตุใดพวกเขาถึงต่อสู้กัน? (รีไรท์)
บทที่ 12 เหตุใดพวกเขาถึงต่อสู้กัน? (รีไรท์)
ที่โต๊ะอาหาร เสี่ยวเป่ากินอาหารอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่ไม่ลืมที่จะเงยหน้าขึ้นมองท่านพ่อ
นางกัดน่องไก่ที่เนื้อนวลขาวราวหิมะแล้วมองไปทางท่านพ่อ
ท่านพ่อหน้าตาดีมาก แถมตอนทานอาหารยังดูสง่างามอีกด้วย!
ดวงตาของเสี่ยวเป่าเป็นประกายและหนานกงสือเยวียนก็ไม่สามารถเพิกเฉยได้อีกต่อไป แม้เขาจะต้องการก็ตาม นัยน์ตาสีเข้มมองดูบุตรสาวกินแล้ว น้ำเสียงเย็นชาพลันเอ่ยออกมา
“กินดี ๆ”
หากเป็นเด็กคนอื่น คงหวาดกลัวจนน้ำตานองหน้าเพราะใบหน้าเย็นชานี้แล้ว
ทว่าเสี่ยวเป่าที่ตัวเล็กกลับกล้าหาญนัก
นางพยักหน้าและพูดว่า “ทราบแล้วเพคะ ท่านพ่อ~”
หลังจากพูดจบ เด็กน้อยก็กินอาหารอย่างเชื่อฟังและจริงจัง นางนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้โดยมีขาสั้นป้องทั้งสองห้อยอยู่ในอากาศ
เมื่อรู้สึกอิ่มแล้ว เสี่ยวเป่าก็ลูบพุงตัวเองแล้วเอ่ยออกมาอย่างมีความสุข
หนานกงสือเยวียนขมวดคิ้วมอง เห็นองค์หญิงน้อยที่เหมือนก้อนหิมะยกมือลูบท้องอยู่บนเก้าอี้อย่างสบายอุรา
จู่ ๆ นิ้วเรียวของคนตัวใหญ่ก็ยื่นออกไปจิ้มที่ท้องของเจ้าตัวเล็ก แล้วหลังจากนั้น ใบหน้าของหนานกงสือเยวียนก็พลันเคร่งเครียดขึ้นมา
“ไยเจ้าถึงกินเยอะเพียงนี้”
เสี่ยวเป่าตอบคำถามอย่างน่าสงสารภายใต้สายตาที่จับจ้องจากท่านพ่อ
“อาหารทั้งหมดนี้อร่อยมาก เสี่ยวเป่าอดใจไม่ไหว”
หนานกงสือเยวียน “…”
เขามีลูกตะกละเช่นนี้จริงหรือ?
“ลุกขึ้น”
หนานกงสือเยวียนหยัดกายลุกด้วยสีหน้าเย็นชา เสี่ยวเป่าก็ปีนลงจากเก้าอี้มายืนอยู่ข้าง ๆ เขาอย่างเชื่อฟัง
หนานกงสือเยวียนเดินนำหน้า ในขณะที่เด็กน้อยวิ่งไล่ตามด้วยขาสั้น ๆ
ทันใดนั้น ใบหน้าขาวนุ่มนิ่มราวหิมะก็เริ่มขึ้นสีจากการวิ่งตาม และนางก็ทำได้เพียงเฝ้าดูอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อท่านพ่อที่อยู่ด้านหน้านางเริ่มเดินห่างออกไปไกลเรื่อย ๆ
ฝูไห่กงกงและคนอื่น ๆ “…”
ฝ่าบาท! ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ เหลียวหลังไปดูสักหน่อยเถิด ลูกสาวท่านวิ่งตามไม่ทันแล้ว!
“ท่านพ่อ!”
หนานกงสือเยวียนที่เดินอยู่ข้างหน้าหยุดฝีเท้าชั่วคราว และเมื่อมองย้อนกลับไป องค์หญิงน้อยก็ถูกทิ้งอยู่ข้างหลังไปไกลแล้ว
เขาขมวดคิ้ว “ทำไมช้านัก”
เสี่ยวเป่ายกขาสั้นข้างหนึ่งขึ้นอย่างโกรธจัด
“ท่านพ่อ ดูเท้าของเสี่ยวเป่าสิ มันเล็กมาก แต่เท้าของท่านใหญ่มาก!”
หนานกงสือเยวียนมองดูจริง ๆ แล้วก็เงียบไปชั่วอึดใจ
“เล็กจริงด้วย”
ท่านพ่อ ท่านพูดเช่นนี้กับบุตรสาวได้อย่างไร!
เด็กหญิงวิ่งไปที่ด้านข้างของหนานกงสือเยวียนและยื่นมือทั้งสองข้างออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อคว้ามือของบิดา
เมื่อมือขวาถูกกุมด้วยสองมือเล็ก ๆ นั้น ร่างกายของหนานกงสือเยวียนก็แข็งค้างไปในบัดดล
เขาเม้มริมฝีปากบาง ใบหน้ายังคงไร้ความรู้สึกและไม่แยแส ดวงตาสีดำลึกล้ำราวกับห้วงน้ำลึกบรรพกาลทำให้ยากจะเห็นได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ฝูไห่กงกงชำเลืองมองฝ่าบาทอย่างระมัดระวัง เหงื่อเย็นไหลออกมาอย่างเงียบ ๆ เขาเป็นห่วงองค์หญิงน้อยจับใจ
“ท่านพ่อ เดี๋ยวเจ้าค่ะ ขอเสี่ยวเป่าตั้งตัวก่อน”
เด็กหญิงพูดเสียงแผ่วเบา มือเล็กป้อมยังคงสัมผัสมือของท่านพ่อ ดวงตาใสกระจ่างเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเป็นประกาย
“มือท่านพ่อใหญ่มาก!”
“ท่านพ่อ พวกเราไปกันเถอะ~”
เสี่ยวเป่าที่จับมือท่านพ่อมีความสุขมาก นางกระโดดไปมาเหมือนกระต่ายน้อย
หนานกงสือเยวียน…ในท้ายที่สุด เขาไม่ได้ดึงมือนางออก แต่ก้าวเท้าช้าลงมากเพื่อให้เด็กน้อยที่อยู่ข้าง ๆ กันสามารถเดินตามได้ทัน
องค์หญิงน้อยเดินตามท่านพ่อไปทีละก้าว แววตาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับทุกสิ่งรอบตัวเขา บางครั้งก็หยุดโดยไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า จากนั้นก็ถูกท่านพ่อนำไปข้างหน้าสองก้าว ก่อนที่จะตอบสนองและรีบเดินตามไป
ดูเหมือนสมาธิของเสี่ยวเป่าจะถูกรบกวนจากสิ่งรอบตัวได้ง่ายดายเหลือเกิน หนานกงสือเยวียนขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อคิดถึงเรื่องนี้
ท่าทางนางจะไม่ใช่คนฉลาดสักเท่าไหร่!
แต่นางมีสถานะเป็นองค์หญิง ดังนั้นจึงไม่สำคัญว่านางจะโง่เขลาเบาปัญญาหรือไม่ ต่อให้นางเติบโตและแต่งงานในอนาคต ก็คงไม่มีผู้ใดกล้ากลั่นแกล้งนางอย่างแน่นอน
เด็กน้อยไม่รู้ว่าท่านพ่อมองตนเองเป็นคนโง่เขลา ดังนั้นนางจึงตามเขาไปที่ลานประลองยุทธ์ด้วยขาสั้นป้อม แล้วก็ได้เห็นชายฉกรรจ์หลายคนในชุดเกราะเกล็ด หน้าตาองอาจหล่อเหลากำลังยืนรวมตัวกันอยู่เต็มไปหมด
ผู้ฝึกวรยุทธ์เกิดมามีร่างกายใหญ่กำยำและแข็งแรง เมื่อเทียบกับเด็กน้อยแล้ว เสี่ยวเป่าดูเหมือนมดน้อยตัวเล็กกระจ้อยร่อย
นัยน์ตาของเด็กเล็กมองบรรดานายทหารที่ยืนเรียงแถวกันอยู่ นางกระโดดเกาะท่านพ่อแน่น จนเกือบจะปีนขึ้นไปหนีบอยู่ที่ข้างเอวของเขาแล้ว
หนานกงสือเยวียนก้มมอง ก็เห็นท่าทางอยากรู้อยากเห็นปนเขินอายบนใบหน้าของบุตรสาวตัวน้อย
สีหน้าเข้าใจได้ง่ายมาก
หนานกงสือเยวียน “…”
ฝูไห่กงกงก็พูดไม่ออกเหมือนกัน องค์หญิงน้อย เหตุใดกระหม่อมถึงไม่เห็นท่านกลัวความดุร้ายของบิดาท่านเลย เห็นได้ชัดว่าเสด็จพ่อของพระองค์นั้นน่ากลัวกว่าทหารองครักษ์พวกนี้มากมายหลายเท่านัก
“เจ้ากลัวหรือ?”
เสี่ยวเป่าเงยหน้าขึ้นมองท่านพ่อ “พวกเขาตัวใหญ่มาก! แล้วก็…ดูทรงพลังมากด้วย!”
ทุกคน “…”
หนานกงสือเยวียนตอบรับคำในลำคอเบา ๆ และไม่พูดอะไรอีก
“ฝ่าบาท”
ทันใดนั้น นางก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เสี่ยวเป่าหันไปมองทิศทางเสียงด้วยแววตาสดใส
“ลุงหลิน!”
อย่างที่คาดไว้ เสียงนั้นคือหลินเจิ้งชิง แต่เวลานี้เขาอยู่ในชุดเกราะเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ดูแข็งแกร่งและไม่ธรรมดายิ่งนัก
หลินเจิ้งชิงประสานมือทำความเคารพ “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”
เสี่ยวเป่าพยักหน้าเหมือนไก่จิกข้าวเปลือก “พวกเราได้พบกันอีกแล้ว”
แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีเด็กน้อยเข้ามาอยู่ในสถานที่เช่นนี้
แม้องค์ชายองค์อื่น ๆ จะเคยมาที่นี่ แต่พวกเขาก็แสร้งทำเป็นสงบหรือไม่ก็มีชีวิตชีวาเกินไป
ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้เห็นองค์หญิงองค์น้อย ทหารองครักษ์ทุกคนล้วนคิดไปทางเดียวกันว่า องค์หญิงน้อยทรงงดงามเป็นอย่างมาก
เสี่ยวเป่าไม่รู้ว่าทุกคนที่อยู่ในลานประลองยุทธ์นี้กำลังลอบมองนางอยู่
นี่คือองค์หญิงน้อยแห่งอาณาจักรต้าเซี่ยผู้งดงาม!
เสี่ยวเป่าตามหลังท่านพ่อไม่ยอมห่าง จนกระทั่งเขาถอดเสื้อคลุมด้านนอกออกและเดินขึ้นไปบนลานประลอง
มีชั้นวางอาวุธทั้งสองด้านของลานประลองยุทธ์ ทั้งยังมีกระบี่ประเภทต่าง ๆ มากมาย
เสี่ยวเป่าถูกฝูไห่กงกงอุ้มขึ้นมา พลันสายตาเห็นหลินเจิ้งชิงเดินขึ้นไปบนลานประลองด้วย เด็กน้อยถามออกมาทันทีด้วยความไม่เข้าใจว่า “เขาจะทำอะไรท่านพ่อหรือไม่”
ฝูไห่กงกงตอบด้วยความเคารพว่า “ทูลองค์หญิง ฝ่าบาทและองครักษ์หลินกำลังจะประลองฝีมือกันพ่ะย่ะค่ะ”
เสี่ยวเป่าไม่รู้ว่าการประลองฝีมือคืออะไร แต่นางยังคงพยักหน้าอย่างจริงจังและไม่ส่งเสียงดัง ก่อนจะเฝ้าดูทั้งสองคนบนลานประลองยุทธ์ไปพร้อม ๆ กับคนอื่น
ชั่วพริบตาเดียว คนสองคนที่อยู่บนลานประลองยุทธ์ก็พุ่งเข้าปะทะกันด้วยอาวุธในมือ
เสียงกระบี่บาดหูทำเอาเสี่ยวเป่าตกใจกลัวขึ้นมา แล้วนางก็คว้าแขนเสื้อของฝูไห่ไว้อย่างกระวนกระวายใจ
“ทำไม ทำไมพวกเขาถึงต่อสู้กัน!”
ดวงตากลมโตของเสี่ยวเป่าจดจ้องอย่างไม่วางตา
“หรือว่าพวกเขากำลังทะเลาะกัน?”
เสี่ยวเป่าเคยเห็น! เวลาผู้ใหญ่ทะเลาะกันก็มักจะชกต่อยกันเสมอ!
ฝูไห่กงกงรีบปลอบโยนทันทีว่า “องค์หญิงอย่าได้ทรงเป็นกังวลไปเลยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทกับองครักษ์หลินมีฝีมือทัดเทียมกัน นี่เป็นเพียงการประลองเท่านั้น พวกเขาจะไม่ทำร้ายกันจนถึงขั้นบาดเจ็บแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เสี่ยวเป่ามองทั้งคนสองคนบนลานประลองยุทธ์อย่างควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ท่าทางดูประหม่ายิ่งกว่าคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่บนลานประลองยุทธ์เสียอีก