บทที่ 32 ข้าไปเสวยอาหารกลางวันกับเสด็จพ่อ (รีไรท์)
บทที่ 32 ข้าไปเสวยอาหารกลางวันกับเสด็จพ่อ (รีไรท์)
เขาไม่คิดเลยว่าเสด็จพ่อจะมีด้านที่เหมือนบิดาทั่วไป ทว่าก็ยังไม่ใช่สำหรับโอรส แต่เป็นสำหรับธิดาต่างหาก!
แน่นอนว่า หากนำความกล้าหาญของพวกเขาทั้งแปดคนมารวมกันก็อาจไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับคนตัวเล็กนี้!
เสี่ยวเป่าบ่นพึมพำระหว่างที่เดินออกจากตำหนักฉินเจิ้งพร้อมพี่ชายที่กำลังทำหน้าเหมือนไม่รู้ว่าตนเป็นผู้ใด และตอนนี้อยู่ที่ใด
“เหตุใดท่านพี่ถึงชักช้าจัง ท่านเดินช้ามาก เสี่ยวเป่าขาสั้นยังเดินเร็วกว่าเลย”
หนานกงฉีเฉินค่อย ๆ ดึงสติกลับมา ก้มมองเจ้าก้อนแป้งนุ่มนิ่มแล้วยกนิ้วโป้งให้นาง
เสี่ยวเป่าเอียงหัวอย่างสงสัย ถึงจะไม่เข้าใจแต่ก็ยังส่งยิ้มสว่างไสวราวกับดอกทานตะวันต้นน้อย
หนานกงฉีเฉินเอ่ยถามนาง “เจ้าไม่กลัวเสด็จพ่อจริง ๆ หรือ?”
เสี่ยวเป่า “แล้วเหตุใดท่านถึงกลัวท่านพ่อ เขาเป็นท่านพ่อนะ”
หนานกงฉีเฉินครุ่นคิดพักหนึ่ง “เสด็จพ่อดูเย็นชาน่าเกรงขาม ข้าไม่กล้าพูดเสียงดังต่อหน้าท่านด้วยซ้ำ”
เสี่ยวเป่าส่งเสียงฮึดฮัด “ก็เพราะท่านพี่ไม่ได้มองว่าท่านพ่อเป็นท่านพ่อน่ะสิ”
คำพูดพวกนั้นแฝงไปด้วยความหมาย แต่ยิ่งพยายามคิดให้ถ้วนถี่ เด็กชายยิ่งจมดิ่งลงไปในห้วงความคิด
สุดท้ายเขาก็สับสนมากขึ้นกว่าเดิม “แต่ว่า… ต่อหน้าเสด็จพ่อทุกคนล้วนปฏิบัติตัวเช่นนี้”
เสี่ยวเป่า “ท่านพ่อใจดีออก ไม่เห็นจะน่ากลัวเลย”
ถึงอย่างไรคนตัวเล็กก็ยังเชื่อมั่นว่าท่านพ่อของนางเป็นท่านพ่อที่แสนดีที่สุดในโลก
แม้ว่าหนานกงฉีเฉินจะอิจฉาและอยากสนิทสนมกับเสด็จพ่อเหมือนเสี่ยวเป่า แต่ก็ไม่สามารถควบคุมจิตใต้สำนึกของร่างกายที่ฝังรากลึกเป็นเวลานานแล้วไว้ได้
“เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปเล่นสนุก ข้ารู้จักที่ดี ๆ อยู่ที่หนึ่ง”
เสี่ยวเป่าพยักอย่างมีความสุข “ตกลง ตกลง!”
สองพี่น้องเล่นด้วยกันจนฟ้ามืด นางในที่ดูแลรับใช้หนานกงฉีเฉินออกมาตามหา ทั้งสองจึงจำต้องแยกจากกัน
ก่อนจากกันเสี่ยวเป่าไม่ลืมที่จะกอดลาหนานกงฉีเฉิน “บ๊ายบาย ท่านพี่ พรุ่งนี้ท่านมาเล่นกับเสี่ยวเป่าอีกได้หรือไม่?”
หนานกงฉีเฉินมีสีหน้าลำบากใจ “ไม่ได้ พรุ่งนี้ข้าต้องไปที่สำนักศึกษา”
เขายังต้องร่ำเรียนวิชา ทั้งเวลาพักผ่อนก็มีน้อยมาก
เสี่ยวเป่าสีหน้าผิดหวัง ปากคว่ำตาตก ดูน่าสงสารเหมือนลูกสุนัขถูกทิ้ง
เด็กชายอดไม่ได้ที่จะลูบผมนุ่มสลวยของนาง เสี่ยวเป่าตัวหอม ผิวนุ่ม ตัวเล็ก ขี้อ้อน จนทำให้ผู้คนไม่อยากแยกจากนาง
“เรียนเสร็จแล้วข้าจะมาหาเจ้า”
ทันใดนั้น เจ้าก้อนแป้งน้อยที่น่าสงสารก็กลับมาร่าเริงพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ทว่าจู่ ๆ นางก็โน้มตัวเด็กหนุ่มลงมา เขย่งเท้าและจุ๊บลงที่ข้างแก้มเขา
“พรุ่งนี้ท่านพี่อย่าลืมมาเล่นกับเสี่ยวเป่านะเจ้าคะ”
หนานกงฉีเฉิน “!!!”
แม้แต่เสด็จแม่ก็ยังไม่เคยทำเช่นนี้กับเขา!
เด็กหนุ่มถึงกับเหม่อลอย พยักหน้าทั้งที่ยังงุนงง ซ้ำยังไม่รู้ตัวว่าตนเดินจากนางมาได้อย่างไร
ในใจยังคงนึกถึงรอยจุ๊บของน้องสาว สุดท้ายก็กลับไปหาเสด็จแม่ด้วยใบหน้าแดงก่ำ
เซี่ยกุ้ยเฟยกำลังนั่งจิบชาอยู่ก็ตกใจที่เห็นโอรสเป็นเช่นนั้น
“เฉินเอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใดไป?”
เพราะโอรสองค์คนโตถูกลอบทำร้ายจนต้องสูญเสียขาทั้งสองข้างไป ยามนี้นางจึงต้องประคบประหงมบุตรชายคนเล็กดุจแก้วตาดวงใจ
หากไม่ใช่เพราะในวังหลวงมีกฎให้องค์ชายต้องออกไปร่ำเรียนที่สำนักศึกษา หลังจากครบสิบห้าวันถึงจะกลับมาพักผ่อน นางจะต้องให้ลูกน้อยเติบโตใต้จมูก*[1] ของนางเป็นแน่
เมื่อหนานกงฉีเฉินได้สติกลับมา เขาก็ยกมือลูบหน้าป้อย ๆ ทั้งหน้าทั้งหูยังคงแดงก่ำ
“ปะ…เปล่าพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยชิงหร่านชำเลืองมองอย่างสงสัย “ไม่เป็นอันใดจริง ๆ หรือ? วันนี้เจ้าไปเที่ยวเล่นที่ใดมา เหตุใดไม่พานางกำนัลไปด้วย”
เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ หนานกงฉีเฉินรู้สึกเหมือนตนเองฝันไป พลันนึกขึ้นได้ว่าจะต้องทำให้เสด็จแม่เกิดความรู้สึกดี ๆ ต่อเสี่ยวเป่า เขารีบนั่งลงข้าง ๆ เสด็จแม่และเริ่มพูดอย่างตื่นเต้น
“เสด็จแม่ ท่านคงนึกไม่ถึงแน่ ๆ ว่าวันนี้ลูกไปเสวยอาหารกลางวันที่ใดมา”
เซี่ยชิงหร่านเหลือบมองพลางดื่มชาอย่างใจเย็น “ว่าอย่างไร… เจ้ากับน้อง ๆ พากันไปเล่นซนที่ใดมา?”
หนานกงฉีเฉิน “ผิดแล้ว วันนี้ลูกได้ร่วมโต๊ะเสวยกับเสด็จพ่อ”
กึก!
หวงกุ้ยเฟยถึงกับสำลักน้ำชาที่เพิ่งดื่มเข้าไป
ประโยคสั้น ๆ แต่อานุภาพร้ายแรงราวกับระเบิดลงตำหนักฉางซิ่น กระทั่งบรรดานางกำนัลที่อยู่รอบ ๆ ยังมีสีหน้าตกใจ เซี่ยชิงหร่านรีบเช็ดปาก มือที่ถือถ้วยชาก็สั่นจนแทบประคองไว้ไม่อยู่
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?”
นางวางถ้วยชาในมือลงพลางมองบุตรชายเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
หนานกงฉีเฉินรีบตอบอย่างมั่นใจ “ข้าเสวยอาหารกลางวันกับเสด็จพ่อจริง ๆ เหตุใดท่านถึงไม่เชื่อข้า ทุกคนในตำหนักฉินเจิ้งรู้เรื่องนี้ดี”
เซี่ยชิงหร่านรีบสงบจิตสงบใจ “รีบบอกแม่มาเร็วว่ามันเกิดอันใดขึ้น”
หนานกงฉีเฉินเริ่มเล่าที่มาที่ไปตั้งแต่เขาพบกับเสี่ยวเป่าได้อย่างไร จากนั้นนางก็พาเขาไปเล่นที่ตำหนักฉินเจิ้ง ทั้งยังชวนเขาร่วมโต๊ะอาหารด้วย
สีหน้าของเซี่ยชิงหร่านเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ
“เจ้าบอกว่าฝ่าบาททรงอุ้มองค์หญิงน้อยด้วยอย่างนั้นหรือ?”
“นางกับฝ่าบาทเสวยอาหารด้วยกันตลอดเลยหรือ?”
“เหตุใดมันถึงฟังดูไม่จริงสำหรับข้า”
หนานกงฉีเฉินพยักหน้า “น้องหญิงกล้าหาญราวกับผู้ใหญ่ นางไม่เกรงกลัวเสด็จพ่อเลยสักนิด”
เซี่ยชิงหร่านกระซิบถามด้วยความตื่นเต้น “เจ้าคิดเห็นอย่างไร หากแม่จะมีน้องสาวให้เจ้าอีกคน?”
หนานกงฉีเฉิน “…”
“ข้าไม่ขัดข้องอันใด เพียงแต่ท่านแน่ใจหรือว่าจะมีน้องสาวได้จริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ?”
เขาทำหน้าไม่เชื่อ “ก่อนที่น้องหญิงจะกลับเข้าวัง ในวังล้วนมีแต่องค์ชายถึงแปดองค์ ท่านอย่าให้กำเนิดน้องชายที่ซุกซนอีก ข้าไม่ยอมรับ”
ทันทีที่พูดจบ เขาก็ถูกหวงกุ้ยเฟยเคาะหน้าผาก เซี่ยชิงหร่านมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์
“ดูเจ้าพูดเข้าสิ!”
แต่ก็อย่างว่า บุตรไม่ใช่ว่าอยากจะมีก็มีได้
ฝ่าบาทไม่เสด็จมาวังหลังเป็นเดือนแล้ว เหล่าสตรีในวังหลังต่างรู้ดี
ฝ่าบาทจะมาที่วังหลังนี้อีกเมื่อใดก็ไม่อาจรู้ได้
บรรดาองค์ชายใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการกิน ดื่ม และใช้ชีวิตในสำนักศึกษา สนมในวังหลังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพบตามอำเภอใจ ปกติแล้วฝ่าบาทจะเสด็จมาเยี่ยมในช่วงสอบเพียงเดือนละครั้งเท่านั้น
นี่เป็นกฎที่ฝ่าบาททรงตั้งขึ้นหลังจากขึ้นครองบัลลังก์ เพราะเขาต้องทนทุกข์ทรมานจากน้ำมือของพี่น้องในตอนที่ยังเป็นองค์ชาย และการชิงดีชิงเด่นกันของสตรีในวังหลังก็มีผลกระทบต่อเหล่าองค์ชาย ทำให้องค์ชายส่วนใหญ่ในราชวงศ์ก่อนมีจิตใจขุ่นมัว มีเล่ห์เหลี่ยมร้ายกาจอย่างกับสตรี
แม้หนานกงสือเยวียนจะดูเหมือนไม่สนใจพระโอรสของตนมากนัก แต่เขาก็ไม่ต้องการให้โอรสเป็นเหมือนเหล่าพี่น้องที่ไร้ประโยชน์ของตน จึงคิดกฎเช่นนี้ขึ้นมาเพื่อให้โอรสใกล้ชิดกับสตรีในวังหลังน้อยลง และมีสมาธิกับการเล่าเรียนมากขึ้น
ดังนั้น แม้แต่โอรสของฝ่าบาท ก็เข้าพบเสด็จพ่อของตนได้ยากยิ่ง
แต่มาคราวนี้ โอรสของนางไม่เพียงได้พบเสด็จพ่อของเขาเท่านั้น ทว่ายังได้ร่วมโต๊ะอาหารกับเขาด้วย หากสตรีในวังหลังโดยเฉพาะผู้มีโอรสเช่นเดียวกับนางรู้เข้าละก็… พวกนางจะต้องอิจฉาเป็นแน่
แต่ถึงกระนั้น เซี่ยชิงหร่านก็รู้สึกปลาบปลื้มที่โอรสของนางได้เข้าใกล้ฝ่าบาทมากขึ้น
“เจ้าคิดว่าน้องสาวผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”
นางไม่เคยพบหน้าองค์หญิงน้อยมาก่อน ตามหลักแล้ว ยามนี้นางเป็นสตรีที่มีฐานะสูงศักดิ์ที่สุดในวังหลัง องค์หญิงองค์ชายทั้งหลายต้องมาเคารพนางถึงจะถูก
แต่เด็กอายุสามขวบที่เพิ่งเข้าวังและไม่รู้ธรรมเนียมอันใดเลย หากไม่ใช่เพราะคำสั่งของฝ่าบาท หมัวมัวจะต้องพานางมาเข้าพบแล้วเป็นแน่
หมายความว่า… ฝ่าบาทไม่ต้องการให้นางเข้าใกล้สตรีในวังหลังเพื่อความปลอดภัยของนาง
เซี่ยชิงหร่านปวดใจอย่างไม่อาจต้านไหว ฝ่าบาทช่างปฏิบัติต่อพระธิดาผู้นี้แตกต่างไปจากปกติจริง ๆ!
[1] เติบโตใต้จมูก หมายถึง เลี้ยงดูหรือดูแลอย่างดี ไม่ปล่อยให้คาดสายตา