บทที่ 33 ถูกน้องชายสะกดรอยตาม (รีไรท์)
บทที่ 33 ถูกน้องชายสะกดรอยตาม (รีไรท์)
“น้องหญิงนิสัยดีมาก”
หนานกงฉีเฉินพลันนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยามที่แยกจากน้องสาว หูของเขาก็แดงทันที
“น้องหญิงเป็นเด็กดี เชื่อฟัง แถมยังขี้อ้อน พูดจาก็ไพเราะ เจ้าตัวเล็กนั่นน่ารักอย่างกับตุ๊กตา ผิวหน้าก็นุ่มนิ่ม…”
เซี่ยชิงหร่านมุมปากกระตุกที่ได้ยินคำชมมากมายพ่นออกมาแทบไม่ต้องหยุดคิด
องค์หญิงน้อยผู้นี้ช่างมีเสน่ห์เหลือล้นจริง ๆ เพียงวันเดียวก็ตกเจ้าลูกทึ่มของนางได้เสียแล้ว
รวมถึงฝ่าบาทด้วย แม้แต่บุรุษเย็นชาเช่นนั้น พระธิดาองค์นี้ยังสามารถทลายกำแพงน้ำแข็งครั้งแล้วครั้งเล่า
“ในเมื่อเจ้าเอ็นดูนางถึงเพียงนี้ เช่นนั้นเจ้าก็ต้องมีเวลาไปเล่นกับนางให้มากหน่อย”
หนานกงฉีเฉินยิ้มดีใจ “เสด็จแม่ ข้านึกว่าท่านจะห้ามไม่ให้ข้าไปพบน้องหญิงเสียอีก”
เซี่ยชิงหร่าน “เจ้าเห็นแม่เป็นคนขี้เหนียวหรือ?”
ก็แค่องค์หญิงน้อยที่มารดาจากไปแล้วย่อมไม่เป็นภัยต่อโอรสของนาง ยิ่งไปกว่านั้นนางยังสามารถทำให้บุตรชายของนางได้ใกล้ชิดกับฝ่าบาทมากขึ้น มีหรือนางจะไม่ยินดี
เพียงแต่… แม้ว่าองค์หญิงน้อยจะไม่มีมารดาผู้มากด้วยอำนาจคอยหนุนหลัง แต่ก็ไม่มีผู้ใดดูหมิ่นนางได้ เพราะบุรุษผู้มีอำนาจสูงสุดคือที่พึ่งพิงของนาง
เมื่อได้รับอนุญาตจากเสด็จแม่แล้ว หลังจากเรียนเสร็จ หนานกงฉีเฉินก็แอบไปเล่นกับเสี่ยวเป่าเกือบทุกวัน
บางทีก็ได้เข้าเฝ้าเสด็จพ่อ บางทีก็ไม่ได้เข้า
แต่ทุกครั้งที่เสด็จพ่อปรากฏตัว เจ้าก้อนแป้งน้อยจะทิ้งทุกอย่างและวิ่งไปหาเขาทันที
นับวันหนานกงฉีเฉินยิ่งสนิทสนมและเอ็นดูเสี่ยวเป่ามากขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มเกิดความคิดที่ไม่ถูกไม่ควรนักขึ้นมาว่า คงจะดีถ้าเสด็จพ่อยุ่งกว่านี้อีกนิด…
ไม่ว่าเสด็จพ่อจะยุ่งเพียงใดเขาก็ไม่อาจแย่งนางมาได้ นั่นเพราะเขายังต้องศึกษาเล่าเรียนจึงมาเล่นกับเสี่ยวเป่าได้ไม่นาน
เดิมทีก็ไม่ได้ใช้เวลากับนางนานเท่าไรนัก ยามที่มีเสด็จพ่ออยู่ยิ่งไม่มีทางที่เขาจะแย่งนางมาได้เลย
เขาไม่ได้บอกผู้ใดว่าจะไปหาน้องสาว เพราะเขามีน้องสาวคนเดียว หากคนอื่นรู้เข้า พวกเขาจะต้องแย่งนางไปจากเขาแน่นอน
การเล่นกับน้องสาวที่น่ารักและขี้อ้อนย่อมสนุกกว่าเล่นกับน้องชายทั้งสอง
แต่ต่อให้เขาไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ ทว่าพฤติกรรมแปลก ๆ ของเขายิ่งทำให้ผู้อื่นสงสัย
ณ สำนักศึกษา หนานกงฉีเฉินหยิบถุงผ้าสีน้ำเงินอันล้ำค่าออกมา ข้างในมีขนมนานาชนิดที่เสี่ยวเป่าเตรียมไว้ให้เขา
“ท่านพี่หก ท่านกำลังทำสิ่งใด?”
เด็กชายสองคนที่อายุน้อยกว่าหนานกงฉีเฉินโผล่ออกมาทางด้านหลัง
องค์ชายเจ็ด หนานกงฉีรุ่ยยืนมือไพล่หลังมองถุงผ้าในมือเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
องค์ชายแปด หนานกงฉีจวินผู้อ่อนวัยกว่า ร่างกายก็ผอมบางกว่าพยายามเอื้อมมือมาจับถุงผ้า
“ท่านพี่หก ท่านไปเอาถุงผ้านี้มาจากที่ใด ขอข้าดูหน่อย”
หนานกงฉีเฉินกอดมันเอาไว้อย่างรวดเร็ว “หลีกไป ข้าไม่ให้ดู!”
ท่าทางหวงของเช่นนั้นยิ่งทำให้เด็กทั้งสองอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น
พวกเขาอายุไม่ต่างกันมากนัก ทั้งสามเป็นเด็กเรียบง่าย กิน อยู่ และเรียนด้วยกันในสำนักศึกษาจึงสนิทกันอยู่ไม่น้อย
เพียงแต่ยามที่องค์ชายเจ็ดและองค์ชายแปดยังเด็ก ทั้งสองเป็นที่รังเกียจของพี่ชายอย่างหนานกงฉีเฉิน
บัดนี้พวกเขาโตขึ้น จึงไม่เอาแต่ร้องไห้งอแงแล้ว ยิ่งช่วงหลังได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น พวกเขาก็กลายเป็นเพื่อนเล่นกัน
และยามนี้ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ใดบอก น้องชายทั้งสองมองแวบเดียวก็ดูออกว่าหนานกงฉีเฉินกำลังปิดบังบางอย่าง
“ท่านพี่หก ข้าเห็นหมดแล้ว ข้างในถุงผ้าเต็มไปด้วยขนม ไม่เห็นต้องซ่อนเลย แบ่งให้ข้าสักหน่อยนะ”
หนานกงฉีเฉินส่ายหัว “ไม่ได้!”
ทั้งหมดนี้น้องสาวเตรียมไว้ให้เขา เขาจะให้คนอื่นได้อย่างไร
หนานกงฉีจวินฮึดฮัดเสียงดัง “ท่านขี้เหนียวขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หนานกงฉีรุ่ยจ้องหน้าเขาตาเขม็ง “ท่านพี่หก ผู้ใดให้ท่านมา?”
หนานกงฉีเฉินกลอกตาพร้อมเอ่ยตอบเสียงดัง “เป็นเสด็จแม่ที่มอบให้ข้า”
หนานกงฉีรุ่ยสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “อ๋อ… แล้วไป ในเมื่อพระนางกุ้ยเฟยมอบให้ท่าน เช่นนั้นพวกข้าไม่แย่งท่านแล้ว”
พูดจบ เขาก็คว้ามือหนานกงฉีจวินแล้วเดินจากไป
เสี่ยวปา “!?”
“ท่านพี่เจ็ด ท่านเป็นอันใดไป? ข้ายังอยากถามท่านพี่หกอยู่ว่าทุกวันนี้เขา… อื้อ!!!”
เสี่ยวปายังไม่ทันได้จะพูดจบก็ถูกหนานกงฉีรุ่ยปิดปากแล้วลากตัวไปที่มุมลับสายตา
เด็กซึ่งเห็นได้ชัดว่าอายุเพียงเก้าขวบแสร้งทำเป็นสงบมากโดยเอามือไพล่หลังและใบหน้าเล็ก ๆ
“เจ้าโง่ หากเจ้าถามตรง ๆ เช่นนั้น ท่านพี่หกคงไม่บอกเจ้าเป็นแน่”
เสี่ยวปาเกาหัวแกรก ๆ ท่าทางก็ดูเจ้าเล่ห์ แต่กลับซื่อบื้อ
“แล้วเราจะทำอย่างไร?”
เสี่ยวชีมองเขาเหมือนจะบอกว่า ‘บอกแล้วว่าเจ้าโง่ เจ้าก็ไม่ยอมเชื่อ’
“เรียนเสร็จเราค่อยแอบตามท่านพี่หกไป หากเจ้าถามเขาไปตรง ๆ จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น*[1]”
เสี่ยวปาทำหน้างง “ท่านฉลาดมาก แต่ว่า… ที่ท่านบอกว่า ‘แหวกหญ้าให้งูตื่น’ มันหมายความว่าอย่างไร?”
เสี่ยวชี “…”
“เจ้าควรตั้งใจเรียนให้มากนะ เลิกหลับในห้องเรียนได้แล้ว”
หนานกงฉีจวินตอบตามจริง “ข้าไม่เห็นเข้าใจเลย”
ทั้งสองเริ่มซุบซิบปรึกษากันว่าจะแอบตามไปอย่างไรไม่ให้ผู้ใดเห็น
หนานกงฉีจวินรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ “เรื่องนี้ยกให้เป็นหน้าที่ข้า ข้าถนัดมาก”
หนานกงฉีรุ่ยหมดคำจะพูด เรื่องอย่างนั้นมันน่าภาคภูมิใจนักหรือ?
หนานกงฉีเฉินแอบกินขนมอย่างสบายใจ หารู้ไม่ว่าน้องชายทั้งสองกำลังจับตามองอยู่
อันที่จริง องค์ชายคนอื่น ๆ ที่ยังอยู่ในสำนักศึกษาก็สังเกตเห็นความผิดปกติของหนานกงฉีเฉินเช่นกัน เพียงแต่พวกเขาอายุมากกว่าและคิดว่าตนเองโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จึงไม่สนใจเรื่องของเด็ก ๆ
หลังเลิกเรียนหนานกงฉีเฉินก็เก็บข้าวของของตนตามปกติ แล้วค่อยให้นางกำนัลนำกลับไปเก็บที่ห้องของตน จากนั้นก็เดินไปที่ตำหนักฉินเจิ้งอย่างสบายอารมณ์
เนื่องจากพวกเขาทั้งหมดอยู่ที่ตำหนักกลาง สำนักศึกษาจึงอยู่ไม่ไกลจากตำหนักฉินเจิ้ง และที่เขาไปหาเสี่ยวเป่าได้ก็เพราะเสด็จพ่อทรงอนุญาตแล้ว เพียงกำชับเขาว่าอย่าขาดเรียน
หนานกงฉีเฉินไม่รู้ตัวสักนิดว่ามีหางจิ้งจอง*[2] น้อยสองตัวตามหลังมา
ตัวหนึ่งท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ อีกตัวเอามือไพล่หลัง หน้าเล็ก ๆ ของพวกมันจริงจังราวกับเจ้าใหญ่นายโตที่กำลังเดินตรวจตรา
หนานกงฉีจวินลากพี่เจ็ดของตนไปซ่อนหลังหินพลางระงับความโมโหของตนเงียบ ๆ
“ท่านพี่เจ็ด ท่านจริงจังกว่านี้ได้หรือไม่? ท่านทำเช่นนั้นเดี๋ยวเราก็โดนจับได้หรอก”
หนานกงฉีรุ่ยเอ่ยอย่างมั่นใจ “ข้าก็กำลังแอบกับเจ้าอยู่มิใช่หรือ? แต่ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ อย่างเจ้ามันเหมือนขโมย”
ทั้งสองต่างไม่ชอบท่าทางการสะกดรอยตามของอีกฝ่าย แต่สุดท้ายก็มาถึงที่หมายโดยที่คนถูกตามไม่เอะใจเลยสักนิด
เมื่อเสี่ยวชี เสี่ยวปาเห็นว่าจุดหมายคือตำหนักฉินเจิ้ง ใบหน้าละอ่อนมีสีหน้าตกใจอย่างแรง อ้าปากกว้างจนสามารถยัดไข่ทั้งใบเข้าไปได้
“ท่านพี่หกมาทำสิ่งใดที่ตำหนักฉินเจิ้ง!!!”
ที่นี่เป็นที่ประทับของเสด็จพ่อ เขาไม่กลัวหรือ?
แต่เมื่อเห็นท่าทางคุ้นเคยของเขาแล้ว แสดงว่าต้องมาบ่อยแน่ ๆ!
หนานกงฉีรุ่ยตั้งใจมองอย่างมาก “ไม่ได้ไปที่ห้องโถงใหญ่… ท่านพี่หกไปที่ห้องโถงด้านข้างแล้ว”
หนานกงฉีจวินตาเบิกกว้าง เสียงดังขึ้นอย่างลืมตัว
“ตรงนั้น! เสด็จพ่อประทับอยู่ตรงนั้น หรือว่าท่านพี่หกจะแอบพวกเรามาแย่งชิงความโปรดปรานจากเสด็จพ่อ เจ้าแผนการสุด ๆ!”
[1] แหวกหญ้าให้งูตื่น หมายถึง การกระทำที่โจ่งแจ้งเกินไปจนทำให้อีกฝ่ายรู้ตัว
[2] หางจิ้งจอง หมายถึง มีเจตนาแอบแฝง ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ