เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช – บทที่ 35 โกหกได้แม้กระทั่งเด็กไร้เดียงสา! (รีไรท์)

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 35 โกหกได้แม้กระทั่งเด็กไร้เดียงสา! (รีไรท์)

บทที่ 35 โกหกได้แม้กระทั่งเด็กไร้เดียงสา! (รีไรท์)

หลังจากที่หนานกงฉีเฉินแนะนำพืชพันธุ์ในสวนให้น้องชายทั้งสองจนครบแล้ว เจ้าก้อนแป้งที่อยู่ข้าง ๆ ก็ปรบมือเสียงดังราวกับแมวน้ำตัวน้อย

  

หนานกงฉีเฉินพอใจมากที่ได้เห็นน้องชายทั้งสองทำหน้าเหลอหลา เขามองน้อง ๆ เหมือนจะบอกว่าพวกเจ้ามันด้อยประสบการณ์

หนานกงฉีรุ่ยตอบโต้ด้วยการหรี่ตามอง “พี่หก เมื่อก่อนท่านก็ไม่รู้เหมือนกันนั่นแหละ”

  

เติบโตมาด้วยกันแท้ ๆ ไยจะไม่รู้ว่าแต่ละคนเป็นอย่างไร

  

อีกอย่างผู้มีฐานะองค์ชายอย่างพี่หกจะรู้เรื่องการทำสวนดีขนาดนี้ได้อย่างไร หากไม่ใช่เพราะได้เรียนรู้ล่วงหน้าพวกเขาไปแล้ว

  

จู่ ๆ ใบหน้าหล่อเหลาของหนานกงฉีเฉินก็แตกละเอียด น้องเจ็ดผู้นี้ทำตัวอย่างกับตาแก่บ้าอำนาจ* [1] แถมยังใจจืดใจดำอีกด้วย! น่าเบื่อจริง ๆ เลย!

  

เสี่ยวเป่าถือบัวรดน้ำอันเล็กหมายจะไปรดน้ำต้นเฉ่าเหมย จู่ ๆ ก็ถูกหนานกงฉีจวินเดินไปคว้ามันมาไว้ในมือเสียเอง

  

“น้องหญิงส่งมันมาให้ข้า เดี๋ยวข้าทำเอง!”  

เสี่ยวเป่าตอบเสียงอ่อน “ก็ได้เจ้าค่ะ พี่แปดท่านรู้วิธีรดน้ำผักหรือไม่?”

  

หนานกงฉีจวิน “…ข้าเห็นเจ้าทำแล้วว่ามันก็ดูไม่ยากเท่าไหร่นัก”

เสี่ยวเป่าเดินตามเขาอย่างกระตือรือร้น “ให้ข้าสอนพี่แปดก่อนดีหรือไม่?”

  

หนานกงฉีจวินมีความสุขมากที่น้องสาวเรียกเขาว่าพี่แปดได้เต็มปากเต็มคำ เขาจึงทำทีเป็นยืดหน้าอกขึ้นเพื่อพยายามทำตัวให้สมกับเป็นพี่ชาย

  

“วางใจเถอะ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้า!”

  

เกิดมีความรับผิดชอบขึ้นมาทันทีเลยสินะ…

  

มีน้องสาวคอยเดินตามราวกับเป็นหางน้อย ๆ หนานกงฉีจวินก็ยิ่งปลื้มปริ่มในตัวนางมากขึ้นเรื่อย ๆ

  

ด้านหนานกงฉีเฉินยิ่งเห็นอย่างนั้นพลันรู้สึกมันเขี้ยวขึ้นมา อยากจะเหวี่ยงเจ้าเสี่ยวปาที่ชอบใจกับหางน้อย ๆ อย่างออกหน้าออกตาให้ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้ายิ่งนัก

ก่อนหน้านี้เสี่ยวเป่าวิ่งยังเล่นอยู่รอบตัวเขาอยู่เลย!

  

“เสี่ยวเป่า!”

  

เสี่ยวเป่าได้ยินเสียงเรียกจากท่านพี่ของตนก็รีบหันมองพร้อมส่งยิ้มหวานให้ทันที

  

“ท่านพี่”  

“มานี่สิ ข้าบอกเสด็จพ่อว่าอยากมีชิงช้าในสวนให้เจ้าได้เล่น เจ้าอยากได้ชิงช้าแบบใด?”

เป็นไปตามคาด มันเบี่ยงเบนความสนใจของเสี่ยวเป่าได้ นางถึงกับถกชายกระโปรงวิ่งมาหา เงยหน้ามองเขาอย่างเชื่อฟัง  

“อยากให้ท่านพี่แกว่งชิงช้าด้วยกัน”

หนานกงฉีจวินทำหน้าเซ็ง เขากำลังพูดคุยกับน้องน้อยผู้เชื่อฟังอยู่ดี ๆ ทว่าเพียงพริบตาเดียวนางก็ถูกพี่หกดึงตัวไปเสียแล้ว

  

หนานกงฉีเฉินมองเสี่ยวปาหน้าระรื่นเหมือนเป็นการเยาะเย้ย พร้อมโบกมืออย่างผู้เหนือกว่า

  

“ได้สิ เช่นนั้นเราก็ต้องทำอันใหญ่ ๆ!”

  

หนานกงฉีรุ่ยยกมือกอดอก “เด็กน้อยชะมัด!”

  

แต่สายตาคู่นั้นกำลังจับจ้องไปที่เสี่ยวเป่า

  

หนานกงฉีจวินกำหมัดแน่นพร้อมเอ่ยอย่างเหลืออด “พี่หก ท่านจะร้ายกาจเกินไปแล้ว!”

 

เสี่ยวเป่ามองสามพี่น้องด้วยความงงงัน จากนั้นไม่นานนางก็ไปหยิบของเล่นทั้งหมดออกมาให้พวกเขาเล่นด้วย

  

หนานกงฉีจวินมองของเล่นและอุทานว่า “เหตุใดน้องหญิงถึงมีของเล่นมากมายเช่นนี้!”

  

มีแต่ของที่พวกเขาไม่มีทั้งนั้น

  

เสี่ยวเป่ายัดของเล่นไว้ในอ้อมแขนของพวกเขา “ท่านอาเจ็ดให้ข้ามา ท่านพี่เล่นด้วยกันนะ”

ต่อมาพี่ชายทั้งสามก็เริ่มเล่นของเล่นกับนาง จนกระทั่งฝูไห่กงกงมาตามเสี่ยวเป่าไปเสวยอาหารเย็น

  

ฝูไห่กงกงก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่าองค์ชายเจ็ดและองค์ชายแปดก็อยู่ที่นี่ด้วย

 

“กระหม่อมถวายพระพรองค์ชายหก องค์ชายเจ็ด องค์ชายแปด”

  

“ยินดีที่ได้พบฝูไห่กงกง”

  

เสี่ยเป่าวางของเล่นในมือลงเพื่อทักทายผู้มาใหม่อย่างสุภาพ การที่นางทำเช่นนั้นยิ่งทำให้ผู้อาวุโสอย่างฝูไห่เอ็นดูนางยิ่งขึ้นไปอีก

  

แม้ขันทีอย่างพวกเขาจะเป็นข้ารับใช้ข้างกายฝ่าบาทก็ยังมิวายถูกผู้มีฐานะสูงส่งในวังดูแคลน บางท่านก็ยังพอมีหัวคิด ต่อหน้าทำเป็นดี แต่ในใจคิดสิ่งใดอยู่ก็ไม่อาจรู้ได้

  

ทว่าฝูไห่กงกงสัมผัสได้ว่าองค์หญิงน้อยเป็นคนสุภาพอ่อนน้อมจริง ๆ ไม่เพียงกับเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทุกคนด้วย

  

“องค์หญิงน้อย ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้กระหม่อมมาเชิญพระองค์เสด็จไปเสวยพระกระยาหารค่ำด้วยกันพ่ะย่ะค่ะ”

เสี่ยวเป่ารีบลุกขึ้นอย่างเชื่อฟัง “ทราบแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะไปหาท่านพ่อเดี๋ยวนี้”

 

พูดจบนางก็หันมองสามพี่น้องและเอ่ยเบา ๆ ว่า “พวกท่านพี่ก็ไปด้วยกันเถอะ”

หนานกงฉีเฉินยืนขึ้นและปัดฝุ่นที่มือตามปกติ “ไปกันเถอะ” 

 

สองคนที่เหลือ “!!!”

  

ร่วมโต๊ะอาหารกับเสด็จพ่อ!

  

เสี่ยวชีเสี่ยวปาได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจอย่างหนัก ดีที่หนานกงฉีรุ่ยชอบวางมาดเป็นผู้ใหญ่ จึงเก็บสีหน้าตกใจระคนหวาดหวั่นไว้ได้ดีไม่น้อย

  

ด้านหนานกงฉีเฉินก็รู้สึกดีที่เห็นสีหน้าเช่นนั้นของน้องชายทั้งสอง

  

ไม่ได้เรื่อง!

  

แต่เขาลืมไปเสียสนิทว่า คราแรกที่เขาต้องไปร่วมโต๊ะอาหารกับเสด็จพ่ออาการของเขาก็ไม่ได้ต่างจากสองคนนี้เท่าใดนัก

  

เสี่ยวเป่าเห็นพี่ชายทั้งสองที่เพิ่งรู้จักกันยืนนิ่งไม่ไหวติง นางก็เลือกที่จะเดินไปคว้ามือทั้งสองแล้วเดินไปทางห้องโถงใหญ่

  

“พี่เจ็ดพี่แปด เรารีบไปกันเถอะ”

  

ทั้งคู่ถูกลากออกมาด้วยใบหน้าที่ว่างเปล่า* [2]

  

หนานกงฉีเฉินแทบอยากร้องไห้

  

ของข้า! น้องสาวของข้า เห็น ๆ อยู่ว่าข้าพบนางก่อน!

  

“เสี่ยวเป่า แล้วข้าเล่า?”

  

เสี่ยวเป่าหันกลับมามองเขาอย่างว่างเปล่า

  

แม้จะยังทำตัวเหนือกว่า ทว่าสีหน้าของเขาดูเศร้าใจอย่างไรไม่รู้

  

“เมื่อก่อนเจ้าจับมือข้าเดิน!”

  

เด็กน้อยได้ใหม่แล้วลืมเก่าได้ง่ายดายเสียจริง พี่ชายคนโปรดของนางควรเป็นเขา!

  

จู่ ๆ เสี่ยวเป่าก็คิดบางอย่างออก แต่เมื่อหันมองพี่ชายทั้งซ้ายและขวา ใบหน้าน้อย ๆ ก็ยุ่งเหยิง

 

ต้องปล่อยมือสักคนอย่างนั้นหรือ?

  

หนานกงฉีรุ่ยมีปฏิกิริยาก่อนผู้ใด เขารีบจับมือน้องสาวให้แน่นขึ้น

  

“น้องหญิง จู่ ๆ ข้าก็ปวดหัว”

  

เสี่ยวเป่าผู้ไร้เดียงสาเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง สีหน้านางดูเป็นกังวลทันที

  

“ท่านพี่เป็นอย่างไรบ้าง ขอเสี่ยวเป่าดูหน่อย”

  

หนานกงฉีรุ่ยเม้มริมฝีปากแน่น พยายามทำตัวให้ดูเหมือน ‘อ่อนแอ’ ที่สุด

  

“ข้าไม่เป็นไร เจ้าแค่จับมือข้าไว้ก็พอ”

  

เสี่ยวเป่าทำหน้างง แต่ก็ยอมจับมือไว้แน่นตามที่เขาขอ

  

ด้านหนานกงฉีจวินก็เอาแต่ยืนงง จนถูกหนานกงฉีเฉินแย่งมืออีกข้างหนึ่งของเสี่ยวเป่าไปจับ ซ้ำยังผลักเสี่ยวปาให้หลีกทางอีกด้วย

  

เสี่ยวปาได้แต่ยกมืออันว่างเปล่าตัวเองขึ้นมาดู มันยังอุ่นและมีกลิ่นหอมหลงเหลืออยู่ เสี่ยวปารู้สึกอึ้งไปพักหนึ่ง

 

แล้วน้องสาวข้าเล่า? น้องข้าตัวไม่ใช่ผีน้อยจะหายไปได้อย่างไร!

  

เสี่ยวปาจ้องพี่หกอย่างโกรธเคือง

  

“พี่หกหน้าไม่อาย!”  

หนานกงฉีเฉินรีบทำตัวอ่อนแอ และเอามือข้างหนึ่งกุมหน้าผากไว้ “น้องหญิง ข้าก็ปวดหัวเหมือนกัน อยากให้เจ้าจับพี่เอาไว้”

  

เสี่ยวเป่า “…”  

ต่อให้ซื่อบื้อเพียงใด นางก็ดูออกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับบรรดาพี่ชาย เจ้าก้อนแป้งได้แต่หันซ้ายหันขวามองพี่ชายพลางทำแก้มป่อง ๆ

  

“คนโกหก เหตุใดพี่ชายทั้งสองถึงปวดหัว พวกท่านแค่อยากให้เสี่ยวเป่าจูงมือ!”

  

ฝูไห่กงกง “…”

  

องค์หญิงน้อยท่านหลงประเด็นแล้ว เห็นได้ชัดว่าองค์ชายทั้งสองแสร้งทำเป็นป่วยเพื่อขอความเห็นอกเห็นใจ ทั้งยังผลักองค์ชายแปดผู้ที่เด็กสุดออกไปด้วย!

  

หนานกงฉีรุ่ยมองพี่หกที่กำลังพยายามทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เหมือนมีคำว่า ‘ท่านเลียนแบบข้า’ เขียนไว้ชัดเจนในดวงตาของเขา!

  

หนานกงฉีเฉินทำเสียงให้ดูน่าสงสาร “เสี่ยวเป่า พี่ชายปวดหัวจริง ๆ หากเจ้าไม่เชื่อก็ลองแตะหน้าผากข้าดู มันร้อนกว่าหน้าผากเจ้าอีก”

 

เสี่ยวเป่าถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าลองแตะหน้าผากเขาดูจริง ๆ

  

“เหมือนจะจริงแฮะ?” เจ้าก้อนแป้งพูดอย่างใสซื่อ

  

“แล้วข้าจะทำอย่างไรดี ท่านพี่รีบไปหาหมอหลวงเร็วเข้า”

  

หนานกงฉีเฉิน “ไม่จำเป็น อีกสักพักข้าก็คงหายดี บางทีอาจเป็นเพราะข้าหิว”

 

จากนั้นเสี่ยวเป่าก็รีบลากทุกคนไปที่ตำหนักฉินเจิ้ง “เช่นนั้นรีบไปกินข้าวกันเร็ว!”

  

เสี่ยวปาซึ่งอยู่ข้างหลังสุดคอย ๆ ยื่นมือออกมา “…”

  

พี่หกท่านช่างเหมือนตาแก่เสียจริง!

[1] ตาแก่บ้าอำนาจ หมายถึง วางมาดถือดีว่าตนเป็นผู้อาวุโส

[2] สีหน้าว่างเปล่า หมายถึง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือ ไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

Status: Ongoing
จากลูกเป็ดขี้เหร่สู่การเป็นองค์หญิงคนสุดท้องแห่งราชวงศ์ ความน่ารักของซูเสี่ยวเป่าพร้อมจะพิชิตใจทุกคนแล้ว!หลังจากภูตพฤกษาตัวน้อยตายลง นางก็มาเกิดในยุคสมัยโบราณ และหลงคิดไปว่าตนเองเป็นเพียงเด็กลูกชาวบ้านแถบชนบทธรรมดา ๆ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าท่านพ่อที่นางไม่เคยพบหน้ามาก่อนจะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่ปานนี้เขา…ถึงกับเป็นราชาของแผ่นดิน!เสี่ยวเป่าที่อายุเพียงสามขวบถูกพาตัวไปยังพระราชวังทันทีหลังจากที่แม่ของนางสิ้นชีพลง แล้วนางก็กลายเป็นองค์หญิงน้อย สตรีเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางพี่ชายแปดคน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท