บทที่ 54 บุตรสาวตัวน้อยสงสารท่านพ่อ
บทที่ 54 บุตรสาวตัวน้อยสงสารท่านพ่อ
หลังเสี่ยวเป่าได้ฟังคำกล่าวของเขา ก็ใช้นิ้วมือขาวเนียนขยุ้มอาภรณ์ของเขาด้วยความกังวล
“ตาย…ตายได้เชียวหรือ”
ใบหน้าเล็ก ๆ ซีดเซียว
“ถ้าอย่างนั้น…ถ้าอย่างนั้นท่านพี่ไม่ไปแล้วดีหรือไม่”
หนานกงฉีโม่หัวเราะ เขาเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก “ไฉนเลยจะตายกันง่าย ๆ ข้าเป็นถึงองค์ชาย มีทหารนับแสนคอยคุ้มกันอยู่”
เขาอุ้มเจ้าตัวเล็กเดินออกไป เจอกับหนานกงฉีซิวซึ่งมุ่งหน้ามาทางนี้พอดี
ชั่วขณะนั้น สองพี่น้องสบตากันนิ่ง
ดวงตาหนานกงฉีซิวหรี่ลงฉับพลันเมื่อทอดเนตรผ่านใบหน้าของเขา ริมฝีปากบางเม้มแน่น
หนานกงฉีโม่ปากกระตุกเล็กน้อย มือที่อุ้มเสี่ยวเป่าไว้กระชับแน่นขึ้นในชั่วพริบตา เขาเชิดคาง พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเอื่อย
“เสด็จพี่มาทำอันใดที่นี่ มาหัวเราะเยาะข้าหรือ”
ดวงตาของเสี่ยวเป่าเปล่งประกายวาวโรจน์ “ท่านพี่ใหญ่มาหาท่านพี่รองเหมือนกันหรือ!”
หนานกงฉีซิวมิได้ขุ่นเคือง เพียงแต่ให้องครักษ์ประจำกายเข็นเขาเข้าไป
“ข้ามาเยี่ยมเจ้า”
เสียงของเขายังคงอบอุ่น นุ่มนวลดั่งสายน้ำ ราวกับพร้อมโอบรับทุกสิ่งในใต้หล้า
“เสี่ยวเป่ามาได้อย่างไร”
เขามิได้เอ่ยถึงรอยแผลบนใบหน้าของหนานกงฉีโม่ ริมฝีปากเหยียดออกเป็นรอยยิ้มจาง ๆ ขณะจับจ้องไปทางเจ้าก้อนนุ่มนิ่ม
เสี่ยวเป่าเตะขาสั้น ๆ ให้ท่านพี่รองปล่อยตนเองลง จากนั้นก็เจื้อยแจ้วฟ้องทวงความยุติธรรมให้ท่านพี่รอง
ทว่า…ผู้ที่ทำร้ายท่านพี่รองคือ พระมารดาของเขานี่นา
เสี่ยวเป่าแก้แค้นให้ท่านพี่รองไม่ได้ น่าโมโหยิ่งนัก!
หนานกงฉีโม่ลูบหัวนางพร้อมกับส่งสายตาแย้มยิ้ม
“แค่เจ้ามีความคิดเช่นนี้ พี่รองก็ดีใจมากแล้ว”
เมื่อมีเสี่ยวเป่าอยู่ หนานกงฉีโม่ก็มิได้พูดจาแดกดันอย่างเก่า
เด็กน้อยผู้นี้พะว้าพะวังเรื่องที่พี่ชายกำลังจะเดินทางไปยังสถานที่ที่อันตรายเป็นบ้าเป็นหลัง
“อย่างไรท่านพี่ก็ต้องไปหรือเพคะ”
ใบหน้าน้อย ๆ นั่นเป็นห่วงอย่างยิ่งยวด
หนานกงฉีโม่พยักหน้า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า เสด็จพ่อทรงลงสนามรบตั้งแต่เมื่อใด”
เสี่ยวเป่าสั่นศีรษะ มองเขาด้วยความใคร่รู้ ดวงตาเปี่ยมด้วยชีวิตชีวานั้นราวกับบ่งบอกว่า ‘เล่ามาเร็วเข้า’
หนานกงฉีโม่เอ่ย “สิบสามชันษา”
ชีวิตของเสด็จพ่อนั้นทั้งโศกเศร้า ทั้งผันผวน กระทั่งถูกเขียนเป็นหนังสือและแพร่หลายไปในหมู่ราษฎร
ทว่าเทียบกับตำนานในหมู่ราษฎรที่ดูจะห่างไกลความเป็นจริง พวกเขารู้มากกว่านั้น
ความแค้นระหว่างเขากับอดีตฮ่องเต้ที่ร่ำลือกันมา เขาเองก็ไม่เคยปกปิด เพราะอย่างนั้น พวกเขาจึงเคยได้ยินวีรกรรมทั้งหมดของเสด็จพ่อ
เดิมเขาคือพระโอรสเพียงคนเดียวของอดีตฮองเฮา องค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์ที่สุดในต้าเซี่ย
ทว่าอดีตฮ่องเต้เป็นคนใจจืดใจดำที่อภิเษกสมรสกับฮองเฮาเพื่ออำนาจทางการทหาร หลังตนเองเริ่มกุมอำนาจในราชสำนักได้ ก็ยิ่งระแวงต่อตระกูลเดิมของฮองเฮา
ซ้ำเขายังมีคนรักเก่าที่เติบโตมาด้วยกัน แต่เพราะอภิเษกกับฮองเฮา จึงรู้สึกผิดต่อนาง และคิดถีบหัวส่งหลังจากหมดประโยชน์แล้ว
เพราะเหตุนี้ ทั้งบิดาและพี่ชายของอดีตฮองเฮา รวมถึงกองทหารนับหมื่นนาย ล้วนถูกลวงฆ่าด้วยกลอุบาย ซ้ำอดีตฮ่องเต้ยังฉวยโอกาสปรักปรำพวกเขาว่าเป็นกบฏ สมรู้ร่วมคิดกับแคว้นศัตรู แม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินถูกประหารตัดหัวทั้งตระกูล ไม่เว้นแม้แต่เด็กเล็กในจวน นี่ทำให้เห็นได้ว่าเขาไร้หัวใจเพียงใด
หลังฮองเฮาทราบเรื่องก็คลุ้มคลั่งเสียสติ ครั้นเมื่อลอบปลงพระชนม์อดีตฮ่องเต้ไม่สำเร็จ ก็ถูกกรอกสุราพิษ
ตอนนั้น หนานกงสือเยวียนผู้มีอายุได้เพียงเจ็ดชันษาซ่อนตัวอยู่ใต้เตียง ต้องทนเห็นพระมารดาของตนตายด้วยพิษ ทว่ามิกล้าส่งเสียงออกไป
ยามที่ฮองเฮาล้มลงหลังมีเลือดไหลออกจากทั้งเจ็ดทวาร ก็พลันเห็นพระโอรส นางรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมด ป้องนิ้วไว้ที่ปาก เป็นนัยว่ามิให้เขาเอ่ยวาจา
ต่อมา หนานกงสือเยวียนถูกแย่งตำแหน่งองค์รัชทายาท แต่เขาก็อดกลั้นเก็บอาการ ฝืนทนกับความเคียดแค้นในใจ กล้ำกลืนความอัปยศทั้งหมด เรียกคนผู้นั้นว่าเสด็จพ่อต่อไป และถูกส่งไประเหเร่ร่อนเอาตัวรอดเองที่เมืองหน้าด่านในวัยสิบสามชันษา
นับแต่นั้นมา เด็กหนุ่มอายุสิบสามเริ่มต้นชีวิตรบราฆ่าฟันของตน จากองค์รัชทายาทกินดีอยู่ดี กลายไปเป็นเด็กน่าสงสารในวังหลังที่ผู้ใดก็ข่มเหงรังแกได้ จวบจนกลายเป็นเทพสงครามแห่งยุคสมัย
สุดท้าย หนานกงสือเยวียนบุกกลับไปที่เมืองหลวง ปลิดชีพคนรักและพระโอรสที่บิดาของเขาโปรดปรานที่สุด วางยาพิษอดีตฮ่องเต้จนพระองค์สวรรคตด้วยวิธีการเดียวกับอดีตฮองเฮา
เรื่องแรกที่เขาทำหลังเถลิงราชสมบัติคือ ล้างมลทินให้กับตระกูลของท่านตา ซ้ำยังมีรับสั่งให้บันทึกความผิดทุกประการที่อดีตฮ่องเต้ได้กระทำ นำไปเผยแพร่ให้รู้ทั้งใต้หล้าโดยไม่คำนึงถึงหน้าตาของราชนิกูล
พฤติกรรมของเขานั้นผิดแผกเกินไป ซ้ำยังวางยาพระบิดาด้วยมือตัวเอง สังหารพี่น้องไปไม่น้อย พวกบัณฑิตล้วนประณามเขาบนหลักจริยธรรม
ทว่าหนานกงสือเยวียนหาได้เคยใส่ใจ ยังคงปฏิบัติพระองค์ตามพระทัย เหิมเกริมประเจิดประเจ้อ เข่นฆ่าขุนนางในราชสำนักไปกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า จนได้สมญานามทรราชนับแต่นั้นมา
เสี่ยวเป่ายังไม่เคยได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ มาตอนนี้ ได้ยินท่านพี่เล่าว่าท่านพ่อลงสนามรบตั้งแต่อายุสิบสามก็เบิกตากว้าง ความสงสารจับใจฉายชัดจนสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เห็นนางน้ำตารื้นเพียงเพราะประโยคเดียวของตน ท่าทางปวดใจจนทนไม่ไหว เรื่องราวของเสด็จพ่อเขาจึงไม่เล่าให้นางฟังต่อ
“พี่ชายของเจ้าอย่างข้า ตอนนี้อายุสิบแปดปีแล้ว ความรู้มากมายที่ได้จากในวังจะไม่ใช้ก็คงไม่ได้ อีกอย่าง ข้ามิได้ไปรนหาที่ตายเสียหน่อย เพียงแต่ไปกำกับแทนเสด็จพ่อเท่านั้น”
เสี่ยวเป่าตอบรับอย่างว่าง่าย ถึงอย่างไร ท่านพี่ก็สาธยายมาตั้งมากมาย คงต้องไปแน่ ๆ แล้ว
ในเมื่อห้ามไม่ได้ เจ้าตัวน้อยก็เริ่มใคร่ครวญอย่างหนักว่าควรเตรียมสิ่งใดให้ท่านพี่รองนำไปด้วยบ้าง
ยามแยกจากกัน หนานกงฉีซิวหยิบมีดสั้นออกมาเล่มหนึ่ง ยื่นให้หนานกงฉีโม่
“ข้าได้สิ่งนี้มาจากท่านตา เอาไว้ให้เจ้าป้องกันตัว”
แม่ทัพเฒ่าเซี่ยชอบสะสมอาวุธ และอาวุธที่เข้าตาเขาจนถูกเก็บเข้ากรุนั้น ล้วนเป็นอาวุธชั้นเลิศฟันเหล็กได้ดั่งดินโคลน
แม้มีดสั้นเล่มนี้จะยังไม่ถูกใช้ ทว่าสิ่งที่องค์ชายใหญ่คัดสรรมามอบให้นั้น ย่อมมิใช่ของดาษดื่น
หนานกงฉีโม่รับมีดสั้นมา ไม่ทันได้เอื้อนเอ่ยอะไร หนานกงฉีซิวก็ถูกเข็นออกไปแล้ว
เขายืนอยู่หน้าประตู ริมฝีปากบางเม้มแน่นขณะมองส่งพวกเขาสุดสายตา
หลังเสี่ยวเป่ากลับไป ก็เริ่มสาละวนอยู่กับสมบัติส่วนตัวของตน
ไข่มุกเพชรนิลจินดาที่บรรดาท่านพี่มอบให้ รวมทั้งเมล็ดทานตะวันทองคำที่ท่านพ่อยกให้นางเล่นอยู่เป็นนิตย์ ยามนี้เสี่ยวเป่าเก็บสะสมเมล็ดทานตะวันทองคำได้สิบกว่าเม็ดแล้ว
แต่ยังน้อยเกินไป ที่ที่ท่านพี่ต้องเดินทางไปนั้นห่างไกล ซ้ำยังไม่รู้ว่าต้องไปนานเท่าใด คงต้องใช้เงินมหาศาล!
เจ้าก้อนแป้งนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง มือน้อย ๆ เท้าคางมองสมบัติส่วนตัวในหีบใบเล็กของตนเอง ใบหน้าเล็กนั่นบึ้งตึงด้วยความกลัดกลุ้ม
เจ้าก้อนแป้งถอนหายใจ
ชุนสี่เอ่ยขึ้น “เป็นอันใดไปเพคะองค์หญิง”
เสี่ยงเป่าเล่นกับไข่มุกเพชรนิลจินดาในหีบไปมา สิ่งเหล่านี้ล้วนมิใช่เงิน ไม่รู้ว่าเปลี่ยนเป็นตำลึงเงินได้หรือไม่
“ข้าขาดแคลนตำลึงเงิน”
ชุนสี่มองท่าทางหน้านิ่วคิ้วขมวดกลัดกลุ้มของนางแล้วก็เสนอแนะอย่างอดมิได้ “ถ้าอย่างนั้น พระองค์ลองไปหาฝ่าบาทดูดีหรือไม่เพคะ”
เสี่ยวเป่าตาลุกวาวทันที
“จริงสิ! เสี่ยวเป่าไปขอแลกเงินกับท่านพ่อก็ได้”
พูดจบ นางก็หอบเอาไข่มุกเพชรนิลจินดาในหีบใบเล็กของตนวิ่งไปหาท่านพ่อ
เวลานี้ ท่านพ่อว่าราชการเสร็จแล้ว
“ท่านพ่อ~~”
เสี่ยวเป่าวิ่งตรงไปที่ตำหนักฉินเจิ้ง อุ้มหีบใบเล็กวิ่งเข้าไปหาเขา
“ท่านพ่อ ท่านอยากได้ไข่มุกเพชรนิลจินดาสวย ๆ หรือไม่เพคะ”
เด็กน้อยมองท่านพ่อผู้สูงยาวเข่าดีของตนตาแป๋ว
นางพลันนึกถึงที่ท่านพี่รองเล่าว่า ท่านพ่อออกรบตั้งแต่อายุได้สิบสามปี สายตาน้อย ๆ ของนางแปรเปลี่ยนเป็นสงสารในพริบตา
หนานกงสือเยวียน “???”
นั่นมันสายตาอะไรกัน?