บทที่ 60 พี่สาม
บทที่ 60 พี่สาม
หนานกงสือเยวียนยกนิ้วเรียวเคาะหน้าผากนาง “ก็ไม่ได้โง่งมขนาดนั้นนี่ จากนี้ไปยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่นก็ระวังหน่อย”
เสี่ยวเป่าพยักหน้าพลางใช้มือน้อยลูบหน้าผากตนเองป้อย ๆ
หนานกงสือเยวียน “…”
โง่จริงหรือนี่ แต่เมื่อครู่นางเพิ่งจะบอกเขาว่านางซ่อนความลับบางอย่างไว้ในตัวไม่ใช่หรือ?
เขาลองลูบหน้าผากตนเองดูบ้าง แล้วสติปัญญาเช่นนี้นางได้มาจากผู้ใด ถ้าไม่ใช่…
ออกมาตัดหญ้า แต่เสี่ยวเป่าได้เห็ดครึ่งตะกร้ากลับไป หากท่านพ่อไม่ห้ามไว้เห็ดคงล้นตะกร้า เพราะนางยังหามันได้มากกว่านี้อีก!
เสี่ยวเป่ามีความสามารถในการหาเห็ดนี่นา
สองพ่อลูกกลับมาถึงหมู่บ้าน คนอื่น ๆ ก็ทยอยกันตื่นทีละคนสองคน แม้พวกเขาจะยังปวดเมื่อยร่างกาย ทว่าความเจ็บปวดกลับน้อยมากจนน่าแปลกใจ
ทันทีที่เห็นหนานกงสือเยวียน ชายหนุ่มทั้งหลายต่างก็รีบยืดหลังตรงตามสัญชาตญาณ
หลังที่ยังปวดอยู่เล็กน้อยถูกดัดให้ตรงกะทันหันเป็นผลให้ใบหน้าของแต่ละคนบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด
หนานกงสือเยวียนปรายตามองมองพวกเขาแวบหนึ่ง และพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจากไปว่า “หัดออกกำลังให้มากหน่อย”
เหล่าชายหนุ่มได้แต่มองกันด้วยความหดหู่ใจ
“พวกเราไม่ได้เรื่องจริงหรือ?”
“แล้วมันไม่จริงหรือ? ทำแค่ครึ่งชั่วยามยังเป็นถึงขนาดนี้ เสด็จลุงแข็งแกร่งเกินไป แทบไม่มีอาการอันใดเลยสักนิด”
เป็นเรื่องยากที่เสี่ยวเป่าจะไม่เห็นด้วยกับประโยคนี้ “ถูกต้อง ท่านพ่อของเสี่ยวเป่าเก่งกาจที่สุด!”
ท่าทางภูมิอกภูมิใจออกนอกหน้าถึงเพียงนั้น ผู้ใดไม่รู้ก็คงคิดว่าพวกเขากำลังชื่นชมนาง
เหล่าชายหนุ่มมองหน้ากันยิ้ม ๆ ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นเห็ดในตะกร้าด้านหลังเสี่ยวเป่า พวกเขารีบเอ่ยถามอย่างสนอกสนใจ
เหล่าพี่ชาย “เจ้าไปหาพวกมันมาจากที่ใด แล้วมันกินได้หรือไม่?”
เสี่ยวเป่า “เสี่ยวเป่ากับท่านพ่อไปหามาจากบนภูเขา มันมีเยอะมาก แล้วพวกมันก็กินได้ทั้งหมด”
หนานกงฉีโม่ที่เพิ่งเดินออกมา สายตาปะทะเข้ากับน้องสาวที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยบรรดาพี่ชายเสียงเจี๊ยวจ๊าวถามนั่นถามนี่
หากถามเฉย ๆ เขาคงพอปล่อยผ่านได้ แต่เจ้าพวกนั้นฉวยโอกาสลูบหัวนาง ซ้ำยังบีบแก้มนุ่มนิ่มนั่นด้วย นี่มันเกิดเรื่องบ้าอันใดขึ้น!
“มีความสุขกันนักหรือ?”
เหล่าชายหนุ่มหยุดชะงัก มือน้อยที่แสนนุ่มนิ่มของเสี่ยวเป่าค้างเติ่งอยู่ในมือหนึ่งในฝาแฝด
หนานกงฉีโม่ปรายตามอง ทั้ง ๆ ที่ภายนอกเขาดูอ่อนโยนและยิ้มแย้มอยู่เสมอ ทว่าพวกเขากลับรู้สึกขนลุก
หนานกงฉีโม่จ้องหนานกงเหิงแฝดผู้พี่ด้วยสายตาคมกริบราวกับดาบเล่มยาว
จู่ ๆ หนานกงเหิงก็รู้สึกว่าข้อมือตนเริ่มเย็นลงไปถึงกระดูก จึงปล่อยมือจากญาติผู้น้องตัวน้อยทันที
“ญาติผู้พี่ ท่านมาพอดีเลย มาดูเห็ดที่ญาติผู้น้องเก็บมาจากบนภูเขานี่สิ พวกเราเองก็ไปเดินเล่นบนภูเขากันเถอะ”
พวกเขาเหล่าพี่น้องต่างชอบเที่ยวเล่นด้วยกันมาแต่ไหนแต่ไร ทั้งขี่ม้า ชมงิ้ว และดื่มเหล้าในเมืองหลวง ไปจนถึงออกล่าสัตว์ในป่า แต่ก็ยังไม่เคยทำเรื่องจุกจิกเช่นนี้ด้วยกันเลย
พอเห็นเห็ดครึ่งตะกร้าที่เสี่ยวเป่านำกลับมา ซ้ำคนตัวเล็กยังเล่าเสียงเจื้อยแจ้วว่าในป่ามีสิ่งน่าสนใจอันใดบ้าง พวกเขาจึงอยากลองไปเที่ยวเล่นเช่นนี้บ้าง
ความอยากรู้อยากเห็นมันมีมากเสียจนลืมอาการปวดเมื่อยทางกาย
เสี่ยวเป่าส่งสายตาวิ้ง ๆ ให้พี่รอง แทบจะเขียนคำว่า ‘ไปกันเถอะ ๆ’ ไว้บนใบหน้า
“มานี่”
หนานกงฉีโม่กวักมือเรียกเสียงเหนื่อยหน่าย จากนั้นเจ้าก้อนแป้งก็รีบสาวเท้ามาหาคนเรียกทันที
“พี่รอง…”
เสียงหวานหลุดออกมาจากปากเจ้าเด็กน้อยฟันน้ำนมอย่างออดอ้อนชวนให้คนฟังแทบสิ้น
“อยากไป?”
เสี่ยวเป่าพยักหน้าหงึกหงัก พลางยกยิ้มจนตาหยี “อื้ม ๆ เสี่ยวเป่าจะบอกพี่รองว่าที่นั่นมีเจ้ากระรอกน้อยด้วยนะ…”
เจ้าก้อนแป้งรีบเปิดปากน้อย ๆ สาธยายสิ่งตนพบเจอมา ทั้งยังทำไม้ทำมือประกอบให้ดูตื่นเต้นสุดใจ
พอได้ยินนางพูดว่าจะไปเดินเล่นบนภูเขา ในบรรดาพี่ชายของเสี่ยวเป่า หนานกงฉีจวินรีบเอ่ยว่าเห็นด้วยเป็นคนแรก
คนอื่น ๆ ก็มีอารมณ์คึกคักเพราะอยากไปเหมือนกัน
“เช่นนั้นก็ไปสิ”
มาถึงขั้นนี้แล้ว หากไม่ไปก็ดูไร้เหตุผลไปหน่อยแล้ว
เสี่ยวเป่านึกถึงพี่ใหญ่ พี่ใหญ่ไปด้วยกันไม่ได้นี่นา
แววตาสดใสของคนตัวเล็กหรี่ลงเล็กน้อย แต่ไม่เป็นไร!
เมื่อนึกบางอย่างออก นางก็กลับมาร่าเริงอีกครั้ง ขาสั้น ๆ รีบวิ่งไปหาผู้ดูแลหมู่บ้าน
นางอยากได้กระถางดอกไม้ใบเล็กขึ้นไปบนภูเขาด้วย จากนั้นก็หาดอกไม้สวย ๆ กลับมาให้พี่ใหญ่
แต่ก่อนไป เสี่ยวเป่าไม่ลืมที่จะนับจำนวนพี่ชาย แล้วก็พบว่ายังขาดพี่ชายอีกหนึ่งคน!
“พี่สามเล่า?”
หนานกงฉีโม่เอาพัดเคาะหัวน้อย ๆ น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยยังแสดงถึงท่าทีแสนเกียจคร้านตามปกติ “เหล่าซาน*[1]บอกว่าไม่ไป”
เสี่ยวเป่ารีบวิ่งไปหาพี่สามทันที “เสี่ยวเป่าไปหาพี่สามก่อนนะ”
องค์ชายสามหนานกงฉีอวิ๋น เขาเป็นคนรักสงบชื่นชอบการอยู่คนเดียวมาแต่ไหนแต่ไร ภายนอกเขาจึงดูเงียบขรึมและไม่น่าเข้าหา
เสี่ยวเป่ายืนอยู่หน้าห้องพี่สามแล้วเคาะประตูอย่างมีมารยาท
รออยู่สักพักหนึ่งประตูก็เปิดออก หนานกงฉีอวิ๋นก้มมองคนตัวเล็กที่เคาะประตูแล้วไม่พูดไม่จา
เสี่ยวเป่าเงยหน้ามองอีกฝ่าย หนานกงฉีอวิ๋นผู้ชอบเก็บตัวอยู่ในห้อง และไม่ชอบสุงสิงกับผู้ใด เขามีร่างกายที่ผอมบาง ผิวขาวซีด
รูปร่างหน้าตาของหนานกงฉีอวิ๋นก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ ถึงกับเป็นบุรุษน่ามองผู้หนึ่ง แต่เพราะเขามีสีผิวที่ดูซีดจนแทบมองไม่เห็นเลือดฝาด อีกทั้งภายนอกยังดูหดหู่ชอบกล ให้ความรู้สึกเหมือนคนที่จิตใจแตกสลายอยู่ตลอดเวลา
“พี่สาม”
เสี่ยวเป่าเรียกเขาเสียงอ่อน
หนานกงฉีอวิ๋นพยักหน้า มองนางนิ่ง ๆ พร้อมเอ่ยถามนางว่ามาหาเขาด้วยเหตุใด
เสี่ยวเป่าถาม “พี่สามจะไปเดินเล่นบนภูเขากับพวกเราหรือไม่?”
หนานกงฉีอวิ๋นแววตาวูบไหว แต่สุดท้ายก็เม้มริมฝีปากและส่ายหัว
“ไม่ไป”
เสี่ยวเป่ามองเขาเหมือนกำลังสงสาร “หรือว่าพี่สามยังไม่หายเหนื่อยใช่หรือไม่?”
หนานกงฉีอวิ๋น “ไม่อยากไป”
เสี่ยวเป่ายังพยายามโน้มน้าวต่อ “บนภูเขามีอะไรสนุก ๆ ให้ทำเยอะมากนะ จะเก็บเห็ดก็ได้ มีดอกไม้สวย ๆ มากมาย แถมยังมีเจ้ากระรอกน้อยกับเจ้ากระต่ายน้อยด้วย!”
ไม่รู้ว่าสิ่งที่เสี่ยวเป่าพูดไปสะกิดส่วนใดในใจเขา หนานกงฉีอวิ๋นถึงได้เริ่มลังเล
“พี่สามอุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว ออกไปเล่นกับเสี่ยวเป่าหน่อยนะ พอกลับวังก็ไม่มีโอกาสเช่นนี้แล้วนะ”
เจ้าก้อนแป้งพยายามออดอ้อน คว้ามือของหนานกงฉีอวิ๋นมาเขย่าเบา ๆ ส่งสายตาให้เขาอย่างมีความหวัง
หนานกงฉีอวิ๋นชักมือกลับทันที แต่ยังสบตาเสี่ยวเป่าเหมือนกำลังชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ
“เย้ พี่สามท่านแสนดีที่สุด!”
ในที่ที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น หูของหนานกงฉีอวิ๋นเริ่มแดงขึ้นเรื่อย ๆ
เขาปล่อยให้เสี่ยวเป่าจูงมือเดินออกมาข้างนอกเงียบ ๆ สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่น้องสาวตัวน้อยของตนแทบไม่ละสายตา
อ่อนโยนเสียจริง
มือของนางก็นุ่มนิ่มไม่ต่างกัน อยากลองลูบหัวนางสักหน่อยจะเป็นอันใดหรือไม่นะ…
คนอื่น ๆ ที่กำลังรออยู่เห็นภาพตรงหน้าก็พากันเงียบอึ้ง คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวเป่าจะพาตัวหนานกงฉีอวิ๋นมาได้
หนานกงฉีโม่ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เพราะเขาก็ประหลาดใจไม่ต่างจากคนอื่น ๆ
ด้วยเขารู้จักนิสัยของเหล่าซานเป็นอย่างดี นอกเสียจากงานชุมนุมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เขามักจะเก็บตัวเงียบ เพราะเขาค่อนข้างเป็นคนรักอิสระและต่อต้านการคบค้าสมาคมกับผู้อื่น
แม้แต่ในหมู่พี่น้องก็เหมือนกัน นานแล้วที่ไม่มีผู้ใดยุ่งกับเขา เพราะอยู่กับเขามันน่าเบื่อเกินไป
แต่ที่เขาเป็นเช่นนั้นมันย่อมมีเหตุผล มารดาผู้ให้กำเนิดของหนานกงฉีอวิ๋นเสียชีวิตหลังจากให้กำเนิดเขาได้ไม่กี่ปี เขาจึงเติบโตมากับหมัวมัวตั้งแต่มีอายุได้สี่ชันษา
เดิมทีเสด็จพ่อคิดจะให้พระสนมสักคนรับเลี้ยงเขา ทว่าหนานกงฉีอวิ๋นในวัยเด็กที่พอจะจำความได้แล้วไม่ต้องการเรียกผู้อื่นว่าเสด็จแม่ เขาจึงรวบรวมความกล้าไปร้องขอกับเสด็จพ่อ
[1] เหล่าซาน ในที่นี้หมายถึง หนานกงฉีโม่เรียก หนานกงฉีอวิ๋นว่าเจ้าสาม