บทที่ 65 ฎีกา
บทที่ 65 ฎีกา
ในเวลาเดียวกัน ของขวัญจากเสด็จพ่อก็ได้ถูกส่งตรงมายังที่พำนักขององค์ชายใหญ่และองค์ชายรอง โอรสทั้งสองรู้สึก ‘ซาบซึ้งใจ’ อยู่หน่อย ๆ
หนานกงฉีซิวมองฎีกาบนโต๊ะและเงียบไป
“องค์ชายใหญ่ ฝ่าบาทตรัสว่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้ท่านเป็นคนตัดสินใจ พรุ่งนี้ฝ่าบาทจะทรงตรวจสอบอีกทีพ่ะย่ะค่ะ”
ชายหนุ่มรูปงามดั่งเทพบุตรถอนหายใจเบา ๆ “ข้ารู้แล้ว”
ราชองครักษ์เดินคล้อยหลังไปไม่นาน หนานกงฉีซิวก็หยิบฎีกาขึ้นมาอ่านอย่างจริงจัง
หนานกงฉีซิวตั้งใจทำงานที่เสด็จพ่อมอบหมายให้
เขาเป็นคนที่ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตั้งใจทำให้เต็มที่ เพื่อให้ได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แม้เขาจะไม่อยากแตะต้องเรื่องพวกนี้เลยก็ตาม
กระถางกล้วยไม้เขากวางอ่อนวางอยู่บนโต๊ะริมหน้าต่าง แสงจันทร์สาดส่องลงมากระทบทั้งกล้วยไม้และกายแกร่งจนเกิดเป็นแสงสีทองรำไร
ใต้แสงเทียนสลัว ชายหนุ่มบนรถเข็นแลดูอ่อนโยนราวกับหยก รูปร่างผอมสูงทว่าแข็งแกร่ง นั่งหลังตรงราวกับต้นไผ่ใบเขียว
ข้อมือขาวลอยล่องกลางอากาศ นิ้วเรียวดุจหยกขาวล้ำค่าหยิบพู่กันขึ้นมาบรรจงเขียนอักษรอันอ่อนช้อยราวกับกล้วยไม้ใบเรียวยาวลงบนกระดาษ
ด้านหนานกงฉีซิวนั้นยอมรับชะตากรรมของตน ในขณะที่หนานกงฉีโม่นั่งมองฎีกาด้วยสายตารังเกียจ
เขาแทบไม่ขยับตัว นั่งไขว้ขาท่าทางเกียจคร้านอยู่บนเก้าอี้
“ข้าง่วงแล้ว…”
ขันทีข้างกายรู้สึกปวดกบาลขึ้นมาทันที
“ทูลหัวของกระหม่อม องค์เหนือหัวตรัสว่าวันพรุ่งจะทรงตรวจสอบด้วยตนเอง พระองค์ได้โปรดทำให้เสร็จเสียก่อนค่อยเข้าบรรทมเถอะนะพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่าง… ก่อนหน้านี้พระองค์ไม่ได้เข้านอนเวลานี้”
ท่านแค่ไม่อยากทำ!
ซึ่งมันก็เป็นจริงดั่งขันทีว่า หากเทียบกับองค์ชายสมัยก่อน ขอเพียงได้รับโอกาสเช่นนี้ ไม่ว่าจะดึกดื่นเพียงใดก็เต็มใจอ่านฎีกาเหล่านี้ แต่กับองค์ชายผู้นี้ไยถึงแตกต่างนักนะ
หนานกงฉีโม่นั่งเอื่อยเฉื่อย ใช้นิ้วเรียวหมุนพัดในมือเล่น ดวงตาคมเฉี่ยวหรี่ลงอย่างไม่พอใจ
“ข้าจะไปเมืองด่านหน้า จะอ่านฎีกาพวกนี้ไปเพื่อสิ่งใด? เอาไปมอบให้พี่ใหญ่ทั้งหมดเลยก็แล้วกัน”
ขันทีเสี่ยวไห่รีบเอ่ยท้วง “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ยินมาว่าองค์ชายใหญ่ก็ได้รับฎีกาพวกนี้เช่นกัน ท่านอ่านดูสักหน่อยเถิด ไม่เช่นนั้น ราชกิจในวันพรุ่งก็มิอาจผ่านไปด้วยดีนะพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงฉีโม่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “รู้แล้ว”
ไม่รู้ว่าเสด็จพ่อคิดสิ่งใดอยู่กันแน่
หนานกงฉีโม่อ่านฎีกาเหล่านั้นด้วยสายตาเศร้าหมอง เขาไม่เคยคิดและไม่เคยอยากแข่งขันอันใดกับพี่ใหญ่ ทั้งหมดนี้ควรเป็นของพี่ใหญ่ตั้งแต่แรก
แสงอรุณสาดส่องลงมากระทบพื้นดิน เสียงไก่ขันเป็นสัญญาณให้ผู้คนรับรู้การมาถึงของเช้าวันใหม่ หนานกงฉีซิวและหนานกงฉีโม่เดินทางมาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อพร้อมกับฎีกาที่ได้รับเมื่อวานนี้
สองพี่น้องยืนสบตากันอยู่หน้าประตู หนานกงฉีโม่เปิดปากหาวหวอด เปลือกตาหนักอึ้งดูไม่สดชื่นเอาเสียเลย
ส่วนหนานกงฉีซิวก็ยังคงเป็นหนานกงฉีซิว ชายหนุ่มบนรถเข็นนั่งหลังตรงเหมือนต้นสนเขียวชอุ่ม ส่งยิ้มทักทายให้อีกฝ่ายอย่างอ่อนโยนราวกับไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใดในใต้หล้า
ทั้งที่จริง ๆ แล้ว… เขาคือคนที่กำลังแบกรับความทุกข์
หนานกงฉีโม่หลุบตาต่ำ ทว่าเสียงที่ใช้เอื้อนเอ่ยนั้นช่างแตกต่าง
“ว้า~ พี่ใหญ่มาเร็วเสียจริง”
หนานกงฉีซิว “ข้ามาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ”
ฝูไห่กงกงเดินออกมา “เชิญองค์ชายทั้งสองพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงกำลังรอพวกท่านอยู่”
ทั้งสองเข้าไปข้างในก็เห็นบุรุษผู้สง่างามนั่งรออยู่ก่อนแล้วจึงเอ่ยทักทายด้วยความเคารพ
“ถวายพระพรเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงสือเยวียนพยักหน้าเบา ๆ “ส่งฎีกาพวกนั้นมาให้ข้าเถอะ”
หลังจากทั้งสองมอบฎีกาคืนแล้ว พวกเขาก็รอเงียบ ๆ
หนานกงสือเยวียนค่อย ๆ พลิกดูฎีกาที่โอรสทั้งสองเขียนวิจารณ์ สุดท้ายก็ได้ข้อสรุป
ลูกคนโตวิจารณ์ได้อย่างนุ่มนวลแต่เด็ดขาด มีหลายเรื่องที่เขาเสนอทางออกที่นำไปใช้การได้จริง
ส่วนลูกคนรองนั้นวิจารณ์ได้สุดโต่งมาก อีกทั้งคำพูดที่ใช้เขียนตอบยังตรงไปตรงมา ไม่มีการรักษาน้ำใจใด ๆ ทั้งสิ้น
มีฎีกาหลายฉบับที่เต็มไปด้วยคำพูดไร้สาระ และหนานกงฉีโม่ก็ได้เขียนวิจารณ์ไว้ว่า
‘เขียนสิ่งใดไร้แก่นสาร ยิ่งอ่านก็ยิ่งนึกถึงคนเขียน ไม่เสียดายหมึกหรือไร? ควรตีกลองลั่นฆ้องเพื่อเฉลิมฉลอง’
เมื่อเห็นประโยคตรงกลางแล้ว… หนานกงสือเยวียนพอจะรู้แล้วว่าโอรสผู้นี้ปากจัดปานสตรี
หากส่งกลับไปเช่นนี้ มีหวังขุนนางพวกนั้นโมโหไฟลุกท่วมหัวเป็นแน่
แต่ว่า…
เขาก็ทำได้ไม่เลวเลย อืม… เอาอย่างนี้ดีกว่า ฎีกาพวกนี้เขียนแต่เรื่องไร้สาระ แถมไม่มีแก่นสารใดเลย
แต่หนานกงฉีโม่ยังสามารถเขียนวิจารณ์ได้มากมายถึงเพียงนี้ มิหนำซ้ำ ทุกคำพูดล้วนคมเหมือนมีด รับประกันได้เลยว่าแทงทะลุทุกส่วนของร่างกาย ไม่ว่าจะหัวใจ ตับ ม้าม หรือปอดของเจ้าของฎีกาเหล่านั้น
เมื่อก่อนหนานกงสือเยวียนมักจะอ่านฎีกาเหล่านี้และวางทิ้งไว้ แต่ตอนนี้เขาเหมือนจะพบวิธีใหม่แล้ว
ฮ่องเต้จ้องโอรสคนรองของตนพลางขบคิด
ฎีกาไร้สาระที่ตัวเขาเองก็มิใคร่อ่าน… บัดนี้พวกมันมีที่ไปแล้ว
จู่ ๆ หนานกงฉีโม่ก็รู้สึกขนลุกโดยไม่รู้สาเหตุ ซ้ำยังสัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์บางอย่าง
เขาแก้ไขข้อบกพร่องเพียงเล็กน้อยก่อนจะคืนฎีกาให้โอรสทั้งสองทำความเข้าใจด้วยตนเอง
นี่เป็นการเลี้ยงดูบุตรชายแบบให้อิสระ ทั้งยังปล่อยให้เรียนรู้ถึงการแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุมีผล
เมื่อจัดการเรื่องฎีกาเรียบร้อยแล้ว หนานกงสือเยวียนก็รีบกลับไปหาบุตรสาวตัวน้อยที่ ณ เวลานี้อาจจะกลิ้งตกเตียงไปแล้วก็เป็นได้
หนานกงฉีซิวอ่านข้อความบางส่วนที่เสด็จพ่อเขียนไว้ให้ ซึ่งเขาก็ได้แก้ไขให้มันสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ทว่าฎีกาที่น้องรองของเขาเขียนวิจารณ์กลับ… ว่างเปล่า “…”
น้องรองตัดสินใจได้ไม่เลวเลย ขุนนางพวกนั้นเอาแต่เขียนไร้สาระจนเกินเหตุ น้องรองตอบกลับไปเช่นนั้นก็สมควรแล้ว
หนานกงฉีโม่กำลังอ่านฎีกาที่พี่ใหญ่เขียนวิจารณ์
“พี่ใหญ่ ไยท่านต้องมีมารยาทกับคนพวกนี้ด้วย ดูสิ เรื่องแค่นี้เอง? เรื่องแค่นี้ยังกล้าเขียนนำมาฟ้องเสด็จพ่อ?”
“อันนี้ก็ด้วย บุตรชายของขุนนางกรมคลังถูกทุบตีแล้วมันเกี่ยวอันใดกับเสด็จพ่อ? เสด็จพ่อต้องจัดการเรื่องในอาณาจักรทุกวันมิมีว่างเว้น ยังต้องมาจัดการเรื่องในจวนให้พวกเขาด้วยหรือ คิดว่าเสด็จพ่อว่างนักหรือไร?”
หนานกงฉีซิวเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “พวกเขาอาจจะต้องการคนกลางตัดสินให้ จึงใช้โอกาสนี้ร้องเรียนก็เพียงเท่านั้น”
หนานกงฉีโม่ขบขันระคนดูถูก “คนพวกนี้แค่ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่”
ณ ห้องนอนทางด้านหลังที่อยู่ไม่ไกลนัก เสี่ยวเป่าถูกห่อด้วยผ้าห่มเหมือนดักแด้ ก่อนจะลอยวืดขึ้นจากพื้นแล้วถูกวางลงบนเตียง เปลือกตายังปิดสนิท ทว่าจมูกกลับขยับดุ๊กดิ๊ก พยายามควานหาท่านพ่อแต่ก็ขยับไม่ได้
เสียงแว่ว ๆ ดังมาจากข้างนอกทำให้เสี่ยวเป่างัวเงียตื่นขึ้น หัวเล็ก ๆ ผมฟู ๆ คลอเคลียอยู่ในฝ่ามือผู้เป็นพ่อ
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ~”
เจ้าก้อนแป้งติดคนอย่างกับแป้งนึ่งเหนียวนุ่ม
“จะตื่นหรือนอนต่อ”
หนานกงสือเยวียนบีบแก้มป่อง ๆ ของบุตรสาวตัวน้อย
เสี่ยวเป่าส่งเสียงงึมงำพลางกลิ้งมาใกล้เขา พยายามจะลุกแต่ก็ลุกไม่ขึ้น
กลิ้งไปมาอยู่ครู่หนึ่งก็ใช้หัวเล็ก ๆ ดันตัวลุกขึ้น แต่ชั่วพริบตาต่อมาก้นน้อย ๆ ก็ทิ้งตัวลงบนผ้านวมนุ่มแล้วก็ลุกขึ้นไม่ได้อีก
เจ้าก้อนแป้งซุกหน้าลงบนผ้านวม แขนขากระดิกไปมา เจ้าของดวงหน้ามนพยายามปรือตา
“ท่านพ่อ ๆ เสี่ยวเป่าลุกไม่ได้”
เจ้าก้อนแป้งเหนียวนุ่มร้องงอแง
หนานกงสือเยวียนนั่งลงข้างเตียงด้วยสีหน้าเรียบเฉย เฝ้ามองนางกลิ้งไปมาอย่างไม่ทุกข์ร้อน
เสี่ยวเป่าลุกขึ้นเองได้ในที่สุด ผมดำเงางามที่เคยนุ่มสลวยยุ่งเหยิงไปหมด นั่งจุมปุ๊กอยู่บนเตียง คางเรียววางอยู่บนแขนแกร่งของท่านพ่อ ฟันซี่น้อยกัดกันเสียงดังกึก ๆ
ทันใดนั้น แก้มทั้งสองข้างก็ถูกบีบเข้าหากันจนปากเล็ก ๆ ห่อตัวยื่นออกมา เสี่ยวเป่าหยุดกัดฟัน ก่อนจะเงยหน้าน้ำตาเอ่อคลอมองท่านพ่อ
“ยังไม่ตื่น?”