บทที่ 71 ปลาถูกนำไปปล่อยในนาแล้ว
บทที่ 71 ปลาถูกนำไปปล่อยในนาแล้ว
ขณะกำลังเตรียมทำปิ้งย่าง หนานกงหลีก็เดินมาตามกลิ่น
“เสี่ยวเป่าผู้น่ารักของอา~~~”
คนบางคนโผล่มาอยู่ข้างกายเสี่ยวเป่าด้วยเสียงชื่นบาน พร้อมเบียดพระโอรสของตนออกไป อุ้มหลานสาวตัวน้อยนุ่มนิ่มขึ้นมาถู ๆ ไถ ๆ
หนานกงเหิงและคนอื่น ๆ ผู้ถูกเบียดกระเด็น “…”
บิดาบังเกิดเกล้าเช่นนี้ไม่เอาก็ได้!
อุตส่าห์มีโอกาสได้อยู่กับน้องสาว!
เสี่ยวเป่าถูกเสด็จอาเจ็ดกอดไว้ จึงมิกล้าขยับขัดขืน ได้แต่ยอมให้เขาบู้บี้แก้มจ้ำม่ำของตนอย่างว่านอนสอนง่ายอยู่สักพักหนึ่ง ไขมันก็ถูกบดจนแบนราบ
“เสี่ยวเป่าผู้น่ารักคิดถึงเสด็จอาบ้างหรือไม่”
เสี่ยวเป่าพยักหน้า “อื้ม ๆ คิดถึง พวกท่านพี่เอ่ยว่าท่านกำลังนอนอยู่ เสี่ยวเป่าจึงมิได้ไปรบกวนเสด็จอาอย่างไรเล่าเพคะ”
หนานกงหลีเอ่ย “เจ้าตัวแสบคนใดปล่อยข่าวลือใส่ร้ายข้า เสด็จอาของเจ้ากำลังอ่านหนังสือต่างหาก!”
ภาพผู้เปี่ยมปัญญาจะพังครืนต่อหน้าหลานสาวผู้น่ารักมิได้!
บรรดาพี่น้องของหนานกงเหิงและหนานกงเหยี่ยน “…”
อย่างท่านน่ะหรือ ตัวอักษรที่อ่านออกยังน้อยกว่าพวกเราด้วยซ้ำ!
ต่อให้ถูกบุตรชายบังเกิดเกล้ากลอกตาใส่ หนานกงหลีก็ยังคงคุยโวต่อไปโดยไม่ละอาย
“เห็นเสด็จอาเจ็ดเจ้าสำราญรักในอิสระเช่นนี้ แต่ข้ายังเปี่ยมปัญญา เมื่อครั้งอดีต บัณฑิตมากมายมักเชิญข้าร่วมงานเลี้ยงต่าง ๆ”
“นั่นเพราะเสด็จอาชอบดื่มสุราสดับลำนำมิใช่หรือ ซ้ำยังมีน้ำใจโง่ ๆ ชอบจ่ายเงินเลี้ยงผู้อื่น พวกเขาอยากประจบท่านถึงได้เชิญท่านมิใช่หรือไร”
เสียงซื่อ ๆ ของหนานกงฉีอิงลอยเข้ามาทันที
หนานกงหลี “…ใครว่า!”
หนานกงฉีอิงตอบอย่างใสซื่อ “อาจารย์ผู้สอนสั่งวิชาแก่เราว่า ทั้งยังตักเตือนพวกเราอยู่เสมอโดยมีท่านเป็นอุทาหรณ์”
หนานกงหลีสบถก่นด่าอย่างเดือดดาล “ข้ารู้อยู่แล้ว ต้องเป็นตาแก่งี่เง่าหลีรุ่นใช่หรือไม่ เขาเหม็นหน้าข้ามาแต่ไหนแต่ไร! ข้าก็แค่หล่อกว่าเขา เป็นที่นิยมกว่าเขา มีโอรสมากกว่าเขาเท่านั้น บ่อนทำลาย นี่เป็นการบ่อนทำลายภาพลักษณ์อันยิ่งใหญ่เกรียงไกรของข้าชัด ๆ! เสี่ยวเป่า เจ้าอย่าไปเชื่อเด็ดขาด”
เหล่าโอรสของหนานกงหลี ‘มีมดูแคลน’
เป็นความจริงหรือไม่ ท่านไม่รู้แก่ใจบ้างเลยหรือ
ทว่าหนานกงฉีอิงผู้สมองทึ่มกลับเชื่อเป็นจริงเป็นจัง
“เสด็จอาเจ็ด ท่านน่าสงสารจริง ๆ”
ซ้ำยังส่งสายตาเห็นใจให้หนานกงหลี
ทุกคน “…”
แม้แต่หนานกงฉีจวินซึ่งอายุน้อยที่สุดยังรู้สึกว่า วาจาของเสด็จอาเจ็ดเชื่อมิได้!
อ้อ ยังมีเจ้าตัวน้อยซื่อบื้ออีกคนที่เชื่อ เจ้าก้อนบางก้อนกำลังกอดเสด็จอาเจ็ด แนบแก้มเป็นการปลอบประโลม
“อื้ม ๆ เสี่ยวเป่าเชื่อเสด็จอาเจ็ด เสด็จอาเจ็ดเคยสอนเสี่ยวเป่าอ่านหนังสือด้วย ท่านเก่งกาจสุดยอด”
ฝูไห่กงกง “…”
องค์หญิงน้อย ท่านอย่าตรัสเช่นนั้นอีกเลย สิ่งที่เซียวเหยาอ๋องนั่นสอน แม้กระทั่งตัวเขายังมิอาจทนดู
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอื่น หนานกงหลีเองกลับดีขึ้นมากด้วยการปลอบโยนจากตัวน้อยอบอุ่น ชื่นมื่นจนหางแทบชูขึ้น
“กวางเหมยฮัวสีขาวจากไหนกัน ดูดีไม่น้อย”
หนานกงหลีมองเสี่ยวเป่าทำแผลบนขาของกวางน้อยสีขาว
นับแต่กวางเหมยฮัวตัวน้อยสีขาวได้มาอยู่ที่นี่ ก็ว่านอนสอนง่ายเป็นพิเศษ ทว่านั่นเป็นเพียงตอนมีเสี่ยวเป่าอยู่เท่านั้น
ยามผู้อื่นเข้ามา เจ้าตัวเล็กจะตัวสั่นขวัญผวา
ตอนนี้ มันกำลังอิงศีรษะบนตักเสี่ยวเป่า ถูไถส่งเสียงร้องน้อย ๆ ด้วยความอาวรณ์
เสี่ยวเป่าเอ่ย “ท่านพี่สี่จับได้ และยกให้เสี่ยวเป่า”
หนานกงหลีลูบคาง “เจ้าตัวเล็กนี่ดูชอบเจ้ามาก”
เจ้าตัวน้อยผงกศีรษะเล็ก ๆ ขึ้นลง “ใช่แล้ว ใช่แล้ว”
ไม่สำรวมกิริยาแม้แต่น้อย
ทว่าน่ารักอย่างยิ่ง
กวางเหมยฮัวน้อยสีขาวตัวนี้ยังอยู่ในช่วงให้นม ชุนสี่จึงไปหานมแพะมาหนึ่งถ้วย
“องค์หญิง นมแพะมาแล้วเพคะ”
เสี่ยวเป่านั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็ก ถือนมแพะป้อนกวางเหมยฮัวน้อยอย่างใจเย็น
หากว่ามีขวดนมคงยิ่งดี แต่ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มี จำต้องค่อย ๆ ป้อนทีละน้อย
กวางน้อยสีขาวว่าง่ายอย่างยิ่ง ค่อย ๆ กินทีละนิดจนหมด เอียงศีรษะถูไถบนแขนเสี่ยวเป่า
“เจ้าพักผ่อนอยู่ที่นี่ อย่าดื้ออย่าซน ไว้แผลหายเมื่อใด เสี่ยวเป่าจะพาเจ้าไปหาท่านแม่”
แม้เจ้ากวางตัวนี้จะน่ารักงดงาม แต่เสี่ยวเป่าไม่ได้คิดจะเหนี่ยวรั้งมันไว้ข้างกาย
เจ้าตัวน้อยย่อมต้องอยู่ข้างกายท่านพ่อท่านแม่ถึงจะดี
“วี้~~”
พวกพี่ชายเรียกนางแล้ว เสี่ยวเป่าวางเจ้ากวางน้อยไว้คู่กับเจ้าลูกสุนัขที่ตนมอบให้พี่ใหญ่ มือสองข้างลูบหัวเล็ก ๆ ของทั้งสองตัว
“พวกเจ้าเล่นกันเองที่นี่ อย่าวิ่งพล่านไปที่อื่นล่ะ” เสี่ยวเป่ากำชับเสียงไร้เดียงสา ไม่สนว่าพวกมันจะฟังรู้เรื่องหรือไม่
ภาพที่ตัวน้อยไร้เดียงสาทั้งสามอยู่ด้วยกันน่ารักเกินไป หนานกงหลีมองสลับไปมา ก่อนจะสบสายตากับหลานสาวตัวน้อยผู้น่ารักของตน
อา…อย่างไรหลานสาวตัวน้อยก็น่ารักงดงามที่สุด!
มีการตระเตรียมปิ้งย่างไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อมีคนคอยช่วยชี้แนะ เหล่าบุรุษวัยเยาว์ก็ทำดีใช้ได้
เสี่ยวเป่าถูกเสด็จอาเจ็ดพาวิ่งพล่านไปทั่ว ขอกินจากทางนี้ทีทางนั้นที หน้าหนาขนาดที่คันศรธนูยังยิงไม่ทะลุ
…
ภายในหมู่บ้านขนาดเล็ก ซึ่งห่างจากนาหลวงไม่ไกลเท่าใด เด็กห้าคนกลับบ้านด้วยความดีอกดีใจพร้อมกับเหรียญทองแดงสามเหรียญ และของหวานลูกกวาดที่เสี่ยวเป่าให้มา
เด็กสองคนผู้ทนทานในกลุ่มเกือบถูกบุพการีผนึกกำลังฟาดหลังชูเหรียญทองแดงให้พวกท่านดู
เพราะพ่อแม่เข้าใจผิดว่าลูกตัวร้ายของตนขโมยเงินในบ้าน หลังจากวุ่นวายอึกทึกอยู่สักพักใหญ่ ในที่สุดก็อธิบายจนเข้าใจ
หลังจากรู้ว่าลูกของตนช่วยผู้สูงศักดิ์ตัดหญ้าก็ได้เหรียญทองแดงมาถึงสามเหรียญ อีกทั้งยังมีของหวานลูกกวาดสูงค่า รวมถึงปลาจำนวนหนึ่ง พวกเขาก็ยิ้มกว้างด้วยความเบิกบาน
“ผู้สูงศักดิ์ท่านนี้เป็นคนดีจริง ๆ ของว่างและลูกกวาดเช่นนี้ ข้าดูแล้วดีกว่าร้านฝูจี้เสียอีก ขนมของหวานในร้านฝูจี้ขายตั้งหลายสิบอีแปะ”
“อย่ากินจนหมด เก็บไว้ให้น้อง ๆ ด้วย”
“ปลาเล่า ไหนว่าท่านให้ปลามาด้วย”
เด็กคนนั้นมองลูกกวาดในมือท่านแม่ของตนตาละห้อย เขาเพิ่งกินไปได้เม็ดเดียวเท่านั้น เดิมคิดจะเก็บไว้โอ้อวดยามคนที่เหลือกลับมา
บัดนี้กลับถูกท่านแม่ริบไปจนหมด เซ็งจริงเชียว
“นำไปปล่อยในนาแล้ว”
“ว่าอะไรนะ!!!”
สตรีนางนั้นแผดเสียงแหลม “เจ้าลูกไม่รักดี ไยเจ้าถึงนำปลาไปปล่อยในนา ขืนพวกมันกินต้นข้าวของเราไปจะทำอย่างไร!”
พูดจบ ทำท่าจะลงมือตีลูกอีกครั้ง
เด็กคนนั้นรีบกุมศีรษะวิ่งหนีไปทั่ว
“ท่านแม่ โปรดฟังข้าก่อน อย่าเอาแต่ลงมืออยู่เรื่อยได้หรือไม่!”
“เจ้าสร้างวีรกรรมใด ริอ่านขอให้ข้าไม่ลงไม้ลงมือหรือ วันนี้ข้าจะตีเจ้าให้ตาย!”
“ฮือ ๆๆ ท่านย่า ท่านย่ารีบมาเร็วเข้า ท่านแม่กำลังจะตีหลานชายของท่านจนตาย”
วุ่นวายอึกทึกไปอีกยกใหญ่ สุดท้าย เขาก็รอดตัวโดยมีผู้เฒ่าผู้แก่ช่วยปกป้อง
“ท่านแม่ ท่านถามเขาดูเถิดว่าสร้างวีรกรรมใดไว้ เจ้าเด็กเหลือขอนี่นำปลาไปปล่อยในนาลุ่มของเรา!”
แม่เฒ่าพลันตบต้นขาตนเองดังฉาด “โอย เสี่ยวเถียน ไยเจ้าถึงนำปลาไปปล่อยในนา ประเดี๋ยวได้ทำความเสียหายกับต้นข้าวของเรา”
ชาวไร่นั้นเห็นผลผลิตในนาสำคัญกว่าชีวิตของตนเสียอีก หลังจากได้ยินเรื่องนี้ ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาล้วนเป็นการกลัวว่าปลาจะสร้างความเสียหายต่อต้นข้าวในนา
เสี่ยวเถียนเถียงคอเป็นเอ็น “ท่านผู้สูงศักดิ์ตัวน้อยบอกมา ปลาชนิดนี้กินเพียงแมลง เมื่อนำไปปล่อยในนา มันไม่เพียงช่วยกินแมลงในนา ปลายังเจริญเติบโตได้ดีอีกด้วย พอถึงฤดูเก็บเกี่ยวเมื่อใด ปลาก็โตจนกินได้แล้ว”
หลังจากได้ยินคำกล่าวของบุตรชาย สตรีมีท่าทีลังเล “จริงหรือ”
เสี่ยวเถียนพยักหน้าด้วยความแน่ใจ “จริงสิ ท่านแม่ลองคิดดูเถิด กินแมลงแล้วจะกินต้นข้าวได้อย่างไร”
คล้ายว่ามีเหตุผลอยู่บ้าง