บทที่ 97 หูหลัวปัวหัวใหญ่
บทที่ 97 หูหลัวปัวหัวใหญ่
เด็กน้อยยังคงนั่งส่งเสียงเจื้อยแจ้วอยู่ในอ้อมแขนของบิดา
“ท่านพ่อ ต้นกล้าแตงโมของเสี่ยวเป่าโตมากแล้ว อีกไม่นานเราจะได้กินแตงโมแล้ว ถึงตอนนั้นอากาศคงร้อนมาก พอได้กินแตงโมหวาน ๆ ก็จะชื่นใจ!”
เสี่ยวเป่าพูดไปเรื่อย ๆ แล้วก็หยุดเงยหน้ามองท่านพ่อ
“ท่านพ่อ พรุ่งนี้เสี่ยวเป่าไปหาพี่ใหญ่ได้หรือไม่เพคะ”
หนานกงสือเยวียนวางฎีกาไว้ทางด้านข้าง และเอ่ยถามเสียงเรียบ “เจ้าจะไปหาพี่ใหญ่ด้วยเหตุใด”
เจ้าก้อนแป้งนั่งห้อยขาสั้น ๆ อยู่บนตักท่านพ่อพร้อมยกมือขึ้นนับ
“ไปดูพี่ใหญ่น่ะสิเพคะ ไปดูว่าเฉ่าเหมยกับมะเขือเทศที่ให้พี่ใหญ่สุกหรือยังด้วย แล้วก็ดูว่าพี่ใหญ่คิดถึงเสี่ยวเป่าหรือไม่ คิดถึงท่านพ่อหรือไม่…”
คนตัวเล็กชักแม่น้ำทั้งห้า สุดท้ายก็มองท่านพ่อตาปริบ ๆ
“ได้หรือไม่เพคะท่านพ่อ~”
แล้วก็เกิดปฏิบัติการออดอ้อนขั้นสูง
หนานกงสือเยวียนบีบจมูกน้อย ๆ ของนางอย่างมันเขี้ยว “พาฝูไห่ไปด้วย”
เสี่ยวเป่าส่ายหัว “ไม่เอา~ ฝูไห่กงกงต้องดูแลท่านพ่อ เสี่ยวเป่ามีชุนสี่และคนอื่น ๆ ก็พอแล้ว เสี่ยวเป่าจะเป็นเด็กดี สัญญาเลย!”
ขณะที่พูดนางก็ยกนิ้วสามนิ้วขึ้นมาไว้ข้างหัว
รอจนกว่าท่านพ่อจะพยักหน้า เสี่ยวเป่าถึงยิ้มร่าด้วยความดีใจ
“ท่านพ่อแสนดีที่สุดเลย~”
นางประคองใบหน้าอันหล่อเหลาของท่านพ่อเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนจะจุ๊บที่ข้างแก้ม
หนานกงสือเยวียนเริ่มชินชาแล้วจึงไม่ได้ตกใจตัวแข็งทื่อเหมือนช่วงแรก ๆ ไม่รู้ว่าเจ้าก้อนแป้งไปเอาความคิดแปลก ๆ นี้มาจากที่ใด เอะอะก็จะจุ๊บคน
นิสัยนี้ไม่ดีเลย หนานกงสือเยวียนพลันเอ่ยเตือนน้ำเสียงจริงจัง
“นับจากนี้ไปอย่าได้จุ๊บผู้ใดมั่วซั่ว”
เสี่ยวเป่ากอดนิ้วมือเรียวที่กำลังชี้มาไว้และเอ่ยถามตาใส “แล้วพวกพี่ ๆ อนุญาตหรือไม่เพคะ?”
หนานกงสือเยวียน “โตแล้วทำไม่ได้”
นั่นหมายความว่าตอนนี้ไม่เป็นไร เสี่ยวเป่าพยักหน้าหงึก ๆ เพื่อบอกอีกฝ่ายว่านางเข้าใจแล้ว
แม้นางจะแค่อยากไปเจอพี่ใหญ่ แต่ก่อนไปก็ต้องเตรียมของกำนัลไปด้วย
เสี่ยวเป่าเคลื่อนสายตาไปหยุดที่สวนผักของตนอีกหน
ตอนนี้ผักบางส่วนโตพร้อมเก็บไปทำอาหารแล้ว
เสี่ยวเป่าม้วนแขนเสื้อขึ้นแล้วเดินตรงไปที่สวนผักเพื่อดึงหูหลัวปัวด้วยตัวเอง
นางปลูกหูหลัวปัวแค่สองแถว ตอนนี้มันเติบโตงอกงามจนก้านใบที่โผล่ขึ้นมาเหนือดินยาวพอ ๆ กับแขนเล็ก ๆ ของนาง
เสี่ยวเป่ากำก้านใบหูหลัวปัวไว้ในมือทั้งสองข้าง จากนั้นก็พยายามออกแรงอย่างเต็มที่เพื่อดึงมันขึ้นมา ทว่านอกจากจะไม่เป็นผลแล้วนั้น นางยังล้มหัวเกือบทิ่มลงดิน
ชุนสี่รีบเข้าพยุงนางลุกขึ้น “องค์หญิงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหม่อมฉันเถอะเพคะ”
จากนั้นนางก็ลองดึงหูหลัวปัวขึ้นมา… ทว่านางก็ดึงไม่ขึ้นเช่นกัน
ชุนสี่แปลกใจ “เป็นไปได้อย่างไร!”
ก็แค่หูหลัวปัวมิใช่หรือ แล้วเหตุใดนางถึงดึงมันขึ้นมาไม่ได้!
ชุนสี่ยังไม่อยากเชื่อจึงพยายามดึงมันอีกครั้ง เสี่ยวเป่ายกกำปั้นขึ้นแล้วส่งเสียงให้กำลังใจอยู่ข้าง ๆ
คราวนี้ดินรอบ ๆ หูหลัวปัวเริ่มแตก ชุนสี่ออกแรงจนหน้าแดงก่ำ ในที่สุดหูหลัวปัวก็ถูกดึงขึ้นมาได้สำเร็จ
“ว้าว!!!”
นั่นเป็นเสียงอุทานของทุกคนที่อยู่บริเวณนั้น
จะไม่ให้พวกเขาตกใจได้อย่างไรในเมื่อหูหลัวปัวหัวนั้นมีขนาดใหญ่มาก!
มันอวบอ้วนกว่าแขนของบุรุษทั่วไป หากจะเปรียบเทียบก็คงเปรียบได้กับบุรุษล่ำสันผู้มีวรยุทธ์แกร่งกล้า
ซ้ำแล้วมันยังยาวกว่าแขนของเสี่ยวเป่ามากด้วย
ความยาวที่ว่าก็น่าจะเทียบได้กับเด็กวัยแรกเกิด
พวกเขาเคยเห็นหัวไชเท้าที่ปลูกในดินอุดมสมบูรณ์ แต่หัวมันไม่ได้ใหญ่ขนาดนี้
ทุกคนยืนอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง นี่เป็นหูหลัวปัวที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเห็นมา
“องค์หญิง หูหลัวปัวนี่ใหญ่เกินไปแล้วเพคะ!”
“หม่อมฉันไม่เคยเห็นหูหลัวปัวใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลย!”
“องค์หญิงทรงพระปรีชาสามารถยิ่งนัก!”
เสี่ยวเป่ายืดอกอย่างภาคภูมิใจ โบกมือน้อยไปมาราวกับแม่ทัพใหญ่ผู้เกรียงไกร
“ดึงขึ้นมาอีกหน่อย!”
หูหลัวปัวสองสามหัวถัดไปไม่ได้เล็กเลย ขนาดของพวกมันพอ ๆ กัน รูปร่างค่อนข้างดูดีทีเดียว
เสี่ยวเป่าเทียบขนาดของพวกมันเพื่อเลือกหัวที่ใหญ่ที่สุด นางกำก้านใบของหูหลัวปัวด้วยสองมือเล็ก ๆ วิ่งลิงโลดไปทางห้องโถงใหญ่
เจ้าก้อนแป้งแววตาสดใสใคร่แบ่งปันความสำเร็จไม่ว่าน้อยหรือใหญ่ให้ท่านพ่อได้ชื่นชม
ทว่าเจ้าหูหลัวปัวนี้ใหญ่และหนักมาก!
เสี่ยวเป่าลากมันไปเพียงสองก้าวก็เสียการทรงตัวล้มลงไปกองที่พื้น
แม้นางจะตกใจที่ตนล้มลง แต่ก็รีบลุกขึ้นด้วยตัวเอง ตบก้นน้อย ๆ แล้วคว้าก้านใบเพื่อลากมันไปต่อ
ชุนสี่เห็นนางวิ่งไปได้อีกสองสามก้าวก็เซซ้ายเซขวาจึงกลั้นยิ้มไว้ ก่อนจะรีบสาวเท้าเข้าไปช่วย
“องค์หญิงส่งมันให้หม่อมฉันเถิดเพคะ”
เสี่ยวเป่าเอื้อนเอ่ยอย่างขัดใจ “เสี่ยวเป่าอยากถือไปอวดท่านพ่อด้วยตนเอง!”
แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็มีกำลังน้อยนิดเกินกว่าจะพาหูหลัวปัวที่หนักแสนหนักนี้ไปถึงที่หมายด้วยตนเอง
“หม่อมฉันจะถือหูหลัวปัวตามหลังองค์หญิงไปเพคะ”
เสี่ยวเป่ายกแขนที่อ่อนปวกเปียกขึ้นแล้วมองไปที่หูหลัวปัวเนื้อแน่น นางจึงต้องจำยอมเพราะไม่มีทางเลือกอื่น
ว่ากันตามตรง มันค่อนข้างเป็นไปได้ยากที่ชุนสี่จะถือหูหลัวปัวหนัก ๆ นี้คนเดียว สุดท้ายก็ต้องใช้ถึงสองคนแบกมันเพื่อให้เดินตามทันองค์หญิงน้อย
ระหว่างทางนางได้พบขันทีและนางกำนัลบ้างประปราย พอคนเหล่านั้นเห็นหูหลัวปัวหัวใหญ่ถึงขนาดต้องใช้สองคนแบก ต่างก็แสดงสีหน้าตกใจอย่างปิดไม่มิด
ในขณะเดียวกัน ข้ารับใช้ที่ติดตามองค์หญิงน้อยกลับหน้าชื่นตาบานและภูมิใจอย่างอธิบายไม่ถูก พวกเขาถือหูหลัวปัวเชิดหน้าและยืดอกเดินเหมือนไก่ชน
หูหลัวปัวหัวใหญ่เพียงนี้เป็นองค์หญิงของพวกเขาที่เป็นคนปลูก ชาวสวนเฒ่าที่ทำไร่ทำสวนมาทั้งชีวิตก็ไม่สามารถปลูกมันได้ แต่องค์หญิงของพวกเขาทำได้!
และไม่ได้มีเพียงเจ้าหูหลัวปัวนี้ด้วย!
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ!”
เสี่ยวเป่าวิ่งเข้าไปในห้องโถงใหญ่จนผมสลวยพลิ้วไหว ท่าทางนางดูมีความสุขอิ่มอกอิ่มใจมาก
คราวนี้ท่านพ่อมีผู้อื่นอยู่ที่นี่ด้วย แต่เป็นคนที่เสี่ยวเป่ารู้จักดีอย่างหลีไท่ฟู่ หรือก็คือราชครูหลีนั่นเอง
เสี่ยวเป่าเห็นอย่างนั้น ดวงตาก็เป็นประกาย
“สวัสดีเจ้าค่ะ ท่านราชครู~”
คนตัวเล็กเป็นเด็กดีทักทายอย่างมีมารยาท
ราชครูหลีทักทายตอบ “ถวายพระพรองค์หญิงเก้าพ่ะย่ะค่ะ”
ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นมอง สายตาพลันจับจ้องไปยังหูหลัวปัวหัวใหญ่ที่ข้ารับใช้ถือตามหลังองค์หญิงมา เขาแทบสำลักน้ำลายตนเอง
หนานกงสือเยวียนก็เห็นเช่นกัน แต่ดูเหมือนใบหน้าเย็นชานั้นแทบจะไม่แปลกใจอันใดเลย
เสี่ยวเป่าเชิดหน้าขึ้นพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงภาคภูมิ “ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าปลูกหูหลัวปัวหัวใหญ่ให้ท่านพ่อได้กิน!”
หลีไท่ฟู่ได้สติกลับมา “หัว…หัวไชเท้านี่…”
ใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร!
หนานกงสือเยวียนมองธิดาตัวน้อยอย่างสบาย ๆ “นี่คือหูหลัวปัวจริงหรือ?”
“ใช่แล้ว~”
หลีไท่ฟู่อ้าปากค้าง “แต่มันใหญ่เกินไปแล้วกระมัง”
เสี่ยวเป่าเกาหน้าเขิน ๆ “ก็ใหญ่พอใช้ได้ล่ะนะ”
เมื่อก่อนนางเคยปลูกได้ผลใหญ่กว่านี้อีก แต่พอกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์สิ่งใดที่นางปลูกล้วนมีรสชาติดี
หนานกงสือเยวียน “…”
หลีรุ่น “…”
นางคงเข้าใจบางอย่างผิดไปแล้วล่ะ!
เสี่ยวเป่าส่งหูหลัวปัวให้ท่านพ่อดู หนานกงสือเยวียนจึงเอ่ยถามนาง
“มีเพียงหัวนี้หรือที่ใหญ่ได้ขนาดนี้?”
เสี่ยวเป่าส่ายหัว “ไม่ใช่เพียงแค่หัวนี้ พวกมันล้วนมีขนาดใหญ่ทุกหัว ตอนนี้ดึงขึ้นมาแค่สามหัว เสี่ยวเป่าเลือกหัวที่ใหญ่ที่สุดให้ท่านพ่อ”
หนานกงสือเยวียนคิดในใจว่า เหมือนจะซาบซึ้งใจอยู่บ้าง
ความรู้สึกที่มีบุตรสาวคอยห่วงใยตลอดเวลาเช่นนี้ดูไม่เลวเลย
มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกวักมือเรียกใครบางคน “นำไปที่ห้องเครื่อง สั่งให้พ่อครัวทำอาหารที่องค์หญิงน้อยโปรด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
คนผู้นั้นรีบอุ้มหูหลัวปัวหัวใหญ่ไว้ในอ้อมแขนและจากไปอย่างรวดเร็ว