บทที่ 114 อธิษฐาน
บทที่ 114 อธิษฐาน
เสี่ยวเป่าถือโคมกระต่ายกระโดดขึ้นบันไดแต่ละขั้นด้วยความร่าเริง เมื่อเหนื่อยก็ให้องครักษ์อุ้มเดินต่อ
หนานกงหลีไม่ได้ความเสียยิ่งกว่าเสี่ยวเป่า เขาเดินไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ทิ้งตัวลงอย่างเหนื่อยล้าเสียแล้ว ปล่อยให้องครักษ์แบกขึ้นไปเช่นเดียวกับหลายชายคนโต
ในมือของเขายังคงถือพัดโบกไปมา ดูเหมือนกับคุณชายที่กำลังเสวยสุข
ระหว่างที่เดินเสี่ยวเป่าก็เพิ่งสังเกตว่า เหล่าญาติผู้พี่หายตัวไปหมดแล้ว แต่นางก็ไม่ได้ใส่ใจอันใดมากนัก
มีคนมากเกินไป เหล่าญาติผู้พี่เคยบอกเอาไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่า อยากแยกไปเที่ยวเล่นเองพร้อมคนรับใช้ข้างกาย
หนานกงหลีเอนกายอย่างเกียจคร้านบนเสลี่ยงราวกับคนไร้กระดูก ผมสีดำขลับสยายราวกับน้ำตก บนร่างสวมชุดสีแดงทองปักลายงดงามหรูหรา ผิวเป็นสีขาวราวหิมะ ประหนึ่งปีศาจจำแลงกายมาหลอกล่อผู้คน
ด้วยหน้ากากบนใบหน้า หากจะกล่าวว่าเขาเป็นจิ้งจอกจำแลงมาก็มิผิด และด้วยท่าทางราวกับคุณชายเกียจคร้าน จะบอกว่าเป็นราชาปีศาจก็ย่อมได้
เพียงแต่จิ้งจอกตนนี้เป็นบุรุษ ไม่ใช่จิ้งจอกสตรีที่แปลงกายมาดูดพลังชี่ตามตำนานเรื่องเล่าขาน
ตัวของเขาเป็นที่สะดุดตามากเกินไป สามารถดึงดูดให้ผู้คนมองมาตลอดทาง
“ท่านแม่ จิ้งจอก!”
มีเด็กน้อยที่มองหนานกงหลีแล้วคิดว่าเป็นจิ้งจอกตั้งแต่แรกเห็น
หนานกงหลีเอียงศีรษะเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของเด็กน้อย ดวงตาจิ้งจอกหรี่ลงมอง
แม่ของเด็กคนนั้นรีบปิดปากลูกของตนเองทันที ไม่กล้าสบสายตากับหนานกงหลี
“อย่าพูดจาไร้สาระ”
สวรรค์! นี่คงไม่ใช่จิ้งจอกจำแลงมาจริง ๆ หรอกกระมัง! อย่าได้เอาลูกของนางไปเลย
หนานกงหลีถอนสายตากลับมา หาได้ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ไม่
เสี่ยวเป่าลูบหน้ากากกระต่ายบนใบหน้าตนเองแล้วเอ่ยถาม “ท่านอา เสี่ยวเป่าดูเหมือนกระต่ายน้อยหรือไม่?”
หนานกงหลีมองไปทางนาง ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงติดเกียจคร้าน
“ไม่เหมือน เหมือนกับเจ้าก้อนแป้งน่ากินมากกว่า”
เสี่ยวเป่ามุ่ยปากส่งเสียงฮึดฮัด นางไม่ใช่เจ้าก้อนแป้งเสียหน่อย ท่านอาเจ็ดยังอยากจะกินเสี่ยวเป่าอีก!
วันนี้วัดต้ากั๋วคึกคักมากกว่าตอนที่เสี่ยวเป่ามาครั้งล่าสุดไม่รู้เท่าไหร่ ทั่วทั้งบริเวณนอกและในวัดล้วนเต็มไปด้วยฝูงชน
กลิ่นธูปเทียนและกระดาษเงินกระดาษทองอบอวล เมื่อขึ้นเขาไปได้ครึ่งทางก็จะได้ยินเสียงพระสวดดังลอยมา
พระทั้งหมดท่องบทสวดออกมาเป็นทำนองที่ดูลึกลับแต่ก็ชวนให้ใจคนฟังสงบ
เหล่าผู้คนที่ขึ้นไปด้านบนทั้งหมดลดเสียงเบาลงอย่างไม่รู้ตัว ด้วยเกรงว่าจะรบกวนการสวดมนต์แด่พระพุทธเจ้า
เสี่ยวเป่ากับพี่ชายแล้วก็ท่านอาเจ็ดพร้อมทั้งกลุ่มองครักษ์เดินเข้าไปพร้อมกับหมู่ฝูงชน
หลังจากนั้นพวกเขาก็ไปยังโถงสักการะ มีหลายคนถือธูปสามดอกนำมาไหว้ด้วย
ตอนนี้เจ้าอาวาสฮุ่ยเยวี่ยนกำลังสวดมนต์อยู่ด้านหน้าโถงสักการะ
เสี่ยวเป่าเตรียมจะตะโกนเรียกแล้ว แต่เมื่อเห็นว่าตอนนี้มีคนอยู่จำนวนมาก ไต้ซือเองก็กำลังสวดมนต์ด้วยความจริงจัง จึงไม่กล้าไปรบกวนไต้ซือ
เด็กน้อยปิดปากเงียบอย่างรู้ความไม่ก่อเรื่องวุ่นวาย เลียนแบบท่าทางของผู้มาไหว้พระนั่งคุกเข่าลงบนเบาะกลมอย่างจริงจัง ในมือถือธูปสามดอกขณะหลับตาอธิษฐาน
‘ขอให้อาการป่วยของท่านพ่อหายดี’
‘ขอให้ขาของพี่ใหญ่ลุกขึ้นยืนได้’
‘ขอให้พี่รองที่อยู่ด้านนอกไม่พบเรื่องอันตราย’
‘ขอให้พี่สามมีความสุขในทุกวัน’
‘ขอให้พี่สี่…’
หลังจากที่หนานกงหลีและหนานกงฉีซิวปักธูปเสร็จแล้ว ก็พบว่าเจ้าก้องแป้งยังคงคุกเข่าอยู่บนฟูกพร้อมกับพึมพำเสียงเบา ผู้มาไหว้พระที่อยู่ด้านหลังนางถึงกับยืดคอมองดูว่าเด็กน้อยกำลังทำสิ่งใดอยู่
หนานกงหลีที่อยู่ใกล้นางเอียงตัวเข้าไปฟัง ได้ยินตอนที่นางเอ่ยถึงพี่แปดเสียแล้ว
‘ขอให้พี่แปดสุขภาพร่างกายแข็งแรง’
‘ขอให้ท่านอาเจ็ดคิดสิ่งใดสมปรารถนา’
‘ขอให้ญาติผู้พี่…’
หนานกงหลี “…”
หนานกงหลีอับจนคำพูด กระทั่งเจ้าอาวาสยังค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาดูเจ้าก้อนแป้งที่คุกเข่าบนเบาะเอ่ยพึมพำ
“สีกาน้อยกับข้านับว่ามีวาสนา ดังนั้นคัมภีร์พระสูตรนี้มอบให้เจ้าแล้ว”
ขณะเอ่ยก็หยิบหนังสือออกมาจากใต้แท่นบูชาพระส่งให้เบื้องหน้านาง ขัดจังหวะอธิษฐานของนางไว้
เสี่ยวเป่ากะพริบตาปริบ ๆ สุดท้ายก็ก้มคำนับสามครั้งแล้วนำธูปไปปัก ก่อนจะรับคัมภีร์พระสูตรมาด้วยความฉงนท่ามกลางสายตาริษยาของคนโดยรอบ
ครั้งที่แล้วไต้ซือก็มอบให้เสี่ยวเป่าไปแล้วเล่มหนึ่งไม่ใช่หรือ?
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ไต้ซือ”
แม้จะไม่เข้าใจ แต่เสี่ยวเป่าก็ยังเอ่ยขอบคุณอย่างสุภาพ
หนานกงหลีภาคภูมิใจ “ดูเหมือนว่าเสี่ยวเป่าของพวกเราจะเป็นที่นิยมอย่างมาก”
จ้าวอาวาสเพียงยิ้มแต่ไม่ได้เอ่ยอันใด
เสี่ยวเป่าลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปพร้อมกับพวกพี่ใหญ่ เหล่าผู้มาไหว้พระต่างถือธูปด้วยความรู้สึกฮึกเหิมที่มากขึ้นเล็กน้อย มาดหมายว่าตนเองก็อาจจะได้รับคัมภีร์พระสูตรที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเยวี่ยนคัดลอกด้วยตนเองไปวางไว้บนแท่นบูชาพระ
“หลานสาวตัวน้อย เมื่อครู่เจ้าตั้งใจจะอธิษฐานให้ทุกคนที่รู้จักเลยอย่างนั้นหรือ หากพระพุทธองค์ทรงได้ยินจริง เพียงแค่คำขอของเจ้าเพียงผู้เดียวก็ยุ่งวุ่นวายตายแล้ว”
หนานกงฉีซิวที่ในที่สุดก็ได้รู้ว่าเหตุใดเสี่ยวเป่าจึงคุกเข่าเป็นเวลานาน “…”
ตอนนี้เขายิ่งสงสัยขึ้นไปอีก ว่าเจ้าอาวาสจะมอบคัมภีร์พระสูตรให้นางเพื่อหยุดการอธิษฐานต่อของนางหรือไม่
หนานกงฉีซิวบีบจมูกของเด็กน้อยแล้วหัวเราะออกมา
“การอธิษฐานสามารถขอได้เพียงสามข้อเท่านั้น”
ครั้งแรกที่มากับท่านพ่อไม่ได้จุดธูปไหว้ เสี่ยวเป่าจึงไม่รู้เรื่องนี้ “…”
เด็กเล็กเกาใบหน้าเล็กของตนเองก่อนมองพี่ใหญ่แล้วกล่าวออกมา “แต่…แต่เสี่ยวเป่าอธิษฐานไปเยอะมาก”
หนานกงหลีหยอกล้อนาง “พระพุทธองค์จะต้องขี้เกียจตอบรับคำของเจ้าแน่”
เสี่ยวเป่าก้มหน้าลงทันที ปากน้อย ๆ เม้มด้วยความกลัดกลุ้มและเศร้าใจ
หนานกงฉีซิวกำลังจะปลอบนาง แต่เพียงชั่วอึดใจต่อมาก็เห็นว่าเด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมาก่อน
“ไม่เป็นไร หากพระพุทธองค์ไม่สามารถช่วยให้ความปรารถนาของเสี่ยวเป่าเป็นจริงได้ เช่นนั้นเสี่ยวเป่าก็จะทำเอง!”
นางกำหมัดเล็ก ๆ เพื่อให้กำลังใจกับตนเอง จิตวิญญาณการต่อสู้ฮึกเหิมที่เด็กน้อยแสดงออกมาช่างน่ารักที่สุด
หนานกงหลีอดหัวเราะออกมาเสียงดังไม่ได้ “ฮ่า ๆๆ ถูกต้อง พวกเราจะต้องทำมันเอง มีปณิธานนับว่าเป็นเรื่องดียิ่ง พวกเราต้องรักษามันให้คงอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ”
หนานกงฉีซิวหัวเราะก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก แต่เมื่อมองน้องหญิงแล้วหัวใจของเขาก็อ่อนยวบ
เสี่ยวเป่าถือโคมกระต่ายกระโดดโลดเต้นไปมาในฝูงชน หลังจากเที่ยวเล่นในวัดต้ากั๋วมาสักพัก จนถึงตอนนี้ไต้ซือเจ้าอาวาสก็ไม่ว่าง นักพรตเสวียนจีก็หาไม่พบ นางกับพี่ใหญ่และท่านอาเจ็ดจึงพากันลงจากภูเขาไป
ทันทีที่ลงมาถึงตีนเขา ทันใดนั้นก็มีใครไม่รู้ตะโกนออกมา “เงินของผู้ใดตกกัน”
ชั่วพริบตาเดียว แทบทุกคนก็ก้มลงมองพื้นอย่างไม่รู้ตัว เมื่อเห็นเหรียญทองแดงจำนวนหนึ่งอยู่บนพื้น ฝูงชนที่คึกคักอยู่แล้วก็พลันตื่นเต้น เบียดเสียดเข้าไปยังพื้นที่เดียวกันอย่างบ้าคลั่ง
หนานกงฉีซิวเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีในใจ เนื่องจากทิศทางที่คนเหล่านั้นเบียดมาอยู่ทางด้านข้างของพวกเขา
หนานกงหลีเองก็รีบเอื้อมมือออกไปคว้าตัวเสี่ยวเป่าไว้ทันที
แต่ด้วยสภาพเบียดเสียด มือของเขาจึงทำได้เพียงแค่สัมผัสกับหลังมือของเสี่ยวเป่า จากนั้นก็ถูกฝูงชนแยกจากไปในพริบตา
“เสี่ยวเป่า!!!”
ดวงตาของหนานกงหลีเป็นสีแดงก่ำทันที ส่วนหนานกงฉีซิวได้ยินเสียงเขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำรุนแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“รีบตามหาเสี่ยวเป่าเร็วเข้า!”
นิ้วของเขาสั่นเล็กน้อย ใบหน้าทั้งซีดทั้งแดงขณะสั่งคนที่เข็นรถเข็นของเขาอยู่
“แต่ท่าน…”
“ไป!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”