บทที่ 120 ตระกูลโจวหมดเรื่องหมดราวแล้ว
บทที่ 120 ตระกูลโจวหมดเรื่องหมดราวแล้ว
นับตั้งแต่แต่งเข้าตระกูลโจวมา นางก็ปฏิบัติต่อโจวเหยียนราวกับบุตรในไส้ของตนเอง การกระทำของนางล้วนประจักษ์แก่สายตาทุกคน ฉะนั้นแม้จะเกิดความแคลงใจเล็กน้อย ทว่าคนทั้งหลายก็ปัดตกความคิดนั้นไป อีกอย่างคือพวกเขาไม่มีหลักฐาน
มิหนำซ้ำ ช่วงนี้แม่เลี้ยงก็ไม่ได้มีพิรุธอันใดยังคงทำตัวปกติดีทุกอย่าง ยิ่งตอนที่เห็นโจวเหยียนกลับมา นางถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความปีติยินดี อีกทั้งยังดูแลประคบประหงมโจวเหยียนอย่างดี
หลังจากสืบสาวราวเรื่องแล้ว ดูเหมือนว่าคำสารภาพที่สาวใช้เขียนไว้จะเป็นความจริง นางคงกลัวว่าจะถูกเปิดโปงความลับจึงตัดสินใจทำเช่นนั้น
ทว่าผ่านไปเพียงห้าวัน เบื้องหลังของเรื่องนี้กลับแดงขึ้นมา
จะว่าไปแล้วที่เรื่องนี้ถูกไขกระจ่างได้ เสี่ยวเป่าก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
เพราะเด็กน้อยทั้งสี่คนถูกพวกค้ามนุษย์จับตัวไปพร้อมกัน จึงเกิดเป็นมิตรภาพในยามยาก หลังจากได้รับการช่วยเหลือแล้ว เสี่ยวเป่าก็ได้สัญญาว่าจะมอบผึ้งให้พวกเขาคนละตัว
โจวเหยียนก็ได้มาหนึ่งตัว ซึ่งมันยังเป็นเพียงผึ้งตัวน้อย
โจวเหยียนพาผึ้งออกไปเล่นเหมือนทุกวัน เขาวิ่งตามผึ้งตัวนั้นไปเรื่อย ๆ ทว่าจู่ ๆ เจ้าผึ้งน้อยก็บินขึ้นไปบนต้นไม้ โจวเหยียนจึงปีนต้นไม้ตามขึ้นไปแล้วก็บังเอิญได้ยินความลับบางอย่างเข้า
“น่าเจ็บใจนัก ทำถึงขนาดนี้มันยังอุตส่าห์หนีกลับมาได้”
โจวเหยียนได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเดิมทีก็คิดจะทักทาย ทว่าพริบตาต่อมา เขากลับหน้าถอดสีและต้องปิดปากเงียบสนิท
“โอกาสเช่นนี้หายากยิ่ง ไม่รู้จะมีโอกาสกำจัดเด็กนั่นอีกเมื่อใด”
ที่นี่เป็นสวนที่มีไว้สำหรับฮูหยินตระกูลโจว และที่ผ่านมาก็ไม่มีผู้ใดห้ามไม่ให้โจวเหยียนเข้ามาเล่นในนี้
แต่ในเวลานี้ แม่เลี้ยงโจวเหยียนได้ไล่บ่าวรับใช้ออกไปทั้งหมด เหลือไว้เพียงแม่นมคนสนิทที่กำลังประคองนางออกมาเดินเล่น เพราะเป็นคำแนะนำจากท่านหมอว่า หากต้องการให้บุตรคลอดง่าย สุขภาพร่างกายแข็งแรงจำต้องเคลื่อนไหวให้มากหน่อย ไม่เช่นนั้นจะคลอดยาก
พวกนางไม่ได้เฉลียวใจเลยว่า ผู้ที่พวกนางกำลังเอ่ยถึงตอนนี้ได้แอบอยู่บนต้นไม้ และได้ยินบทสนทนาทั้งหมดอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
“ฮูหยินไม่ต้องเป็นกังวลหรอกเจ้าค่ะ ท่านยังพอมีเวลาอีกหลายเดือนกว่าจะคลอด ระหว่างนี้ก็รอให้เรื่องนี้ซาก่อน ค่อยหาโอกาสกำจัดเขา ถึงเวลานั้นทายาทตระกูลโจวก็จะมีเพียงบุตรในครรภ์ของท่านเท่านั้น”
แม้โจวเหยียนจะยังเป็นเพียงเด็กน้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาแยกแยะเรื่องถูกผิดไม่ออก
หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงโมโหแล้วโวยวายคนข้างล่างไปแล้วเป็นแน่
ทว่าหลังจากถูกจับตัวไป โจวเหยียนเริ่มเป็นเด็กที่มีเหตุผลมากขึ้น และได้เรียนรู้จากเสี่ยวเป่ามาไม่น้อย
อย่างเช่น ตอนนี้เขาเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง หากออกไปเผชิญหน้ากับแม่เลี้ยงและแม่นมที่หมายมาดจะทำร้ายเขา ตัวเขาเองนั่นแลที่จะต้องถูกฆ่าปิดปากเสียก่อน
โจวเหยียนปิดปากแน่น นัยน์ตาสั่นไหวเหมือนไม่อยากเชื่อหูตนเอง
เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใด ‘ท่านแม่’ ที่ดีต่อเขามาตลอดผู้นี้ถึงคิดจะทำร้ายเขา
ตอนนี้พวกนางจากไปตั้งนานสองนาน แต่โจวเหยียนยังคงนั่งหน้าถอดสีอยู่บนต้นไม้ เพราะไม่กล้าลงมา
กระทั่งเสียงบินเจ้าผึ้งน้อยดึงสติเขากลับมาจึงค่อย ๆ ปีนลงจากต้นไม้ และด้วยความช่วยเหลือของมัน เขาจึงสามารถออกจากสวนไปโดยที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
สิ่งแรกที่โจวเหยียนทำหลังแอบออกมาได้ก็คือ การไปหาท่านปู่ท่านย่าของตน แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกท่านฟังพร้อมกับร้องไห้น้ำตานองหน้า
เขาไม่รู้จะทำอย่างไรจึงทำได้เพียงบอกผู้ใหญ่ที่เขาไว้ใจที่สุด
ผู้อาวุโสทั้งสองของตระกูลโจวได้ยินเช่นนั้นก็ตกอกตกใจ พวกเขาไม่แคลงใจเรื่องที่โจวเหยียนเล่าเลยสักนิด
แม้โจวเหยียนจะนิสัยเสียไปบ้างเพราะพวกเขาตามใจหลานชายมากเกินไป แต่หลานชายของพวกเขาก็ไม่เคยให้ร้ายผู้ใด ทั้งที่ก่อนหน้านี้หลานชายก็มีความสัมพันธ์อันดีกับแม่เลี้ยง ฉะนั้นการที่จู่ ๆ หลานชายก็มาฟ้องทั้งน้ำตา เห็นทีคงหวาดกลัวจริง ๆ
แม้ผู้อาวุโสทั้งสองจะโกรธเพียงใด แต่ก็ไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น เพียงส่งคนไปจับตาดูและสืบอย่างลับ ๆ จนในที่สุด ด้วยความร่วมมือจากศาลต้าหลี่จึงทำให้พวกเขาจับได้ในเร็ววัน
ครึ่งเดือนผ่านไป ในที่สุดก็พบหลักฐานว่าแม่เลี้ยงของโจวเหยียนทำเรื่องเลวร้ายอันใดลงไปบ้าง
ผู้อาวุโสตระกูลโจวไม่แยแสต่อเสียงขอร้องอ้อนวอนของนางเลยสักนิด จัดการหย่าภรรยาให้บุตรชายทันที ส่วนลูกในท้องนาง หลังจากนางคลอดแล้ว ตระกูลโจวจะรับมาเลี้ยงดูเอง
เพราะถึงอย่างไร เด็กคนนั้นก็มีสายเลือดตระกูลโจวอยู่ในตัวครึ่งหนึ่ง อีกทั้งตระกูลโจวยังตกอยู่ในสถานการณ์ที่มีทายาทเพียงคนเดียว
ส่วนเหตุผลที่แม่เลี้ยงของโจวเหยียนทำเช่นนี้ก็เพื่อปูทางให้แก่ลูกในท้องนาง
โจวเหยียนเป็นที่รักทุกคนในตระกูลโจว และถูกกำหนดให้เป็นประมุขคนต่อไปของตระกูลโจว เดิมทีนางคิดว่าจะเลี้ยงดูโจวเหยียนแบบทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ทว่าโจวเหยียนกลับใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับผู้อาวุโสทั้งสอง นางจึงใช้วิธีการนั้นไม่ได้
นางจึงคิดจะกำจัดโจวเหยียนทิ้งเสีย เพื่อที่ลูกในท้องนางจะได้เป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลโจว
เสียดายที่นางอุตส่าห์วางแผนทุกอย่างไว้อย่างดิบดี แต่ผู้ใดจะไปคาดคิดว่าองค์หญิงเก้าจะถูกจับตัวไปด้วย พอเรื่องนี้มีคนในราชวงศ์อย่างองค์หญิงเก้าเข้ามาเกี่ยวข้อง ศาลต้าหลี่จึงทำการสอบสวนเข้มงวดมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นคือ ผู้ใดจะคาดคิดว่าโจวเหยียนจะบังเอิญได้ยินความลับของนางเพราะผึ้งตัวเดียว
หลังจากเรื่องทุกอย่างจบลง เสี่ยวเป่าก็ได้รับของกำนัลที่ส่งมาจากนอกวังอยู่บ่อย ๆ
ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเคลือบสวย ๆ ไข่มุก อัญมณี หรือเมล็ดพันธุ์แปลก ๆ
ทำให้เสี่ยวเป่ามีสหายนอกวังคนแรกที่ติดต่อกันอยู่บ่อยครั้ง
หนานกงสือเยวียนตรวจสอบตระกูลโจวแล้วพบว่า พวกเขาไม่ได้เลวร้ายอันใด ถึงได้วางใจปล่อยให้เด็กทั้งสองไปมาหาสู่กันได้
“ท่านพ่อ วันนี้เสี่ยวเป่าจะออกนอกวังนะเพคะ”
ถึงเวลาอาหารเช้า เสี่ยวเป่าก็วิ่งหอบหิ้วถุงใบเล็กใบใหญ่เข้ามา พอเห็นอาหารกลิ่นหอมหวนชวนรับประทานวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ นางก็วิ่งมานั่งประจำที่แต่โดยดี
“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าอยากกินลูกชิ้นกุ้งอันนั้น”
หนานกงสือเยวียนคีบมาป้อนนางอย่างใจเย็น ยิ่งเห็นนางกินเก่ง แถมท่าทางตอนกินยังน่ารักน่าเอ็นดูเหลือทน เขาก็อดไม่ได้ที่จะป้อนนางต่อ
“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าอยากกินปลานั่นด้วย คราวหน้าทำเป็นปลาต้มผักกาดดองด้วยดีหรือไม่เพคะ”
มื้อนี้ยังกินไม่หมด ก็เริ่มคิดเผื่อมื้อต่อไปเสียแล้ว
มื้อเช้าผ่านไป หนานกงสือเยวียนแทบไม่ค่อยคีบอาหารเข้าปากตนเองเลย เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาป้อนเจ้าก้อนแป้งนุ่มนิ่มจนพุงกาง
เสี่ยวเป่าเคี้ยวจนเมื่อยแก้ม พอยัดอาหารเข้าไปจนพุงน้อย ๆ กลมกลิ้ง ซ้ำยังมีเสียงดังโครกคราก สุดท้ายจึงต้องกินยาช่วยย่อย
ด้วยการพยายามเฝ้าตามติดของเสี่ยวเป่า ในที่สุด ยาลูกกลอนช่วยย่อยที่เคยขมจนต้องร้องขอชีวิตก็ได้รับการปรับปรุงให้เป็นรสจากผลซานจา*[1]
แม้จะเป็นรสเปรี้ยวที่อมหวานเพียงนิดเดียวก็ตาม ไม่ว่าอย่างไรมันก็ย่อมดีกว่ารสขม
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่จะมารับเสี่ยวเป่าเมื่อใดหรือเพคะ”
เสี่ยวเป่านั่งบนตั่งตัวเล็กชะเง้อคอมองออกไปข้างนอกอย่างมีความหวัง
หนานกงสือเยวียน “อยากออกไปข้างนอกขนาดนั้นเลย?”
ทั้งที่เพิ่งกินมื้อเช้าไป ทว่าในมือเสี่ยวเป่าตอนนี้มีลูกท้อหนึ่งลูก นางกัดมันแล้วเคี้ยวตุ้ย ๆ
ไม่รู้ว่าพุงน้อย ๆ ของนางยัดของกินมากมายเข้าไปขนาดนี้ได้อย่างไร
“จำเป็นต้องไปเพคะ เสี่ยวเป่าขอให้พวกมันช่วยแล้วก็ต้องตอบแทน”
แม้เสี่ยวเป่าจะไม่ได้เอ่ยให้ชัดเจนว่าพวกมันที่นางหมายถึงคือผู้ใด ทว่าหนานกงสือเยวียนก็พอจะเดาได้
หมาแมวพวกนั้นมีบุญคุณต่อธิดาตัวน้อยของตน
“พาคนไปมากหน่อย”
หนานกงสือเยวียนไม่ได้ห้ามนาง เพียงแต่สั่งให้องครักษ์เงาจำนวนหนึ่งติดตามนางอยู่ลับ ๆ
เสี่ยวเป่าเอ่ยตอบเสียงใส “ทราบแล้วเพคะ เสี่ยวเป่ายังมีพวกมันอยู่”
มือน้อยค่อยขยับเสื้อผ้าตน พลันผึ้งจำนวนหนึ่งบินหึ่ง ๆ ออกมา
ฝูไห่กงกง “…”
องค์หญิงเก้าช่างโดดเด่นไม่เหมือนผู้ใดจริง ๆ
เสี่ยวเป่าที่กำลังตั้งหน้าตั้งตารอคอยเห็นว่าหนานกงฉีซิวมาถึงแล้ว
“พี่ใหญ่!”
คนตัวเล็กลุกขึ้นวิ่งตัวลอยไปหาอีกฝ่าย ท่าทางตื่นเต้นดีใจแล้วกระโจนตัวเข้าหาทุกทีที่เจอกัน มันทำให้หนานกงฉีซิวนึกถึงโร่วโร่ว
เจ้าตัวเล็กนั่นก็ติดคนเช่นเดียวกัน
[1] ผลซานจา หมายถึง ฮอว์ธอร์นจีน เป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รี มีผลสีแดงขนาดใหญ่ รสเปรี้ยว สมัยก่อนนิยมนำมาทำถังหูลู่