บทที่ 129 ฟ้าผ่าตอนกลางวัน
บทที่ 129 ฟ้าผ่าตอนกลางวัน
“คนพวกนั้นทะเลาะกันด้วยเหตุใด?”
องครักษ์เอ่ยตอบอย่างนอบน้อม “ดูเหมือนว่าเป็นเพราะงานเลี้ยงกุ้งก้ามแดง ขุนนางบุ๋นจับกลุ่มซุบซิบว่ามีผู้ใดยุแยงให้ฝ่าบาทใช้วิธีลงโทษพวกเขา
คราแรกขุนนางบุ๋นกล่าวหากันและกัน แต่หลังจากนั้น… เหล่าขุนนางบุ๋นต่างลงความเห็นว่า เป็นความผิดของขุนนางบู๊ และไม่รู้ว่าขุนนางบู๊ทราบเรื่องได้อย่างไร พอได้ยินว่าพวกตนถูกกล่าวหาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จึงเกิดผิดใจกันตั้งแต่นั้นมา”
ไม่จำเป็นต้องพูดต่อก็พอจะรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นหลังจากนั้น สีหน้าหนานกงสือเยวียนยิ่งมืดมนลง
เพราะเหตุผลเพียงเท่านี้น่ะหรือ!
หนานกงหลีก็พูดไม่ออกเช่นกัน “ขุนนางบุ๋นพวกนี้คิดมากเกินไปแล้ว”
ก็แค่งานเลี้ยงกุ้งก้ามแดงธรรมดา ๆ ยังคิดหวาดระแวง สุดท้ายก็เกิดเรื่องเช่นนี้
หนานกงสือเยวียนกระตุกยิ้มเย็นชาในขณะที่มองฎีกาพวกนั้น
หนานกงหลีเห็นเช่นนั้นก็ถึงกับขนหัวลุก เขารู้ได้ในทันทีว่าเสด็จพี่ของตนกำลังคิดจะทำบางอย่าง!
ในไม่ช้า ลางสังหรณ์ของหนานกงหลีก็เป็นจริง
เช้าวันรุ่งขึ้น หนานกงหลีเดินทางมาเข้าประชุมขุนนางตั้งแต่รุ่งสาง เขายืนหาวหวอดอยู่ในมุมอับ
แต่พอได้เห็นใบหน้าของอู่อันโหว เขาก็เกือบจะหัวเราะออกมา
เป็นไปตามคาด ใบหน้าอู่อันโหวมีรอยขีดข่วน สงสัยหนิงหยวนโหวจะข่วนสุดแรง ทำให้เขาไม่สามารถปกปิดบาดแผลบนใบหน้าได้!
แน่นอนว่า หนิงหยวนโหวก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ใบหน้าบวมเป่ง จมูกเขียวช้ำ ยามใดที่สบโอกาส เป็นต้องมองอู่อันโหวตาขวางด้วยความอาฆาต เพราะอีกฝ่ายเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาอับอาย จนต้องพยายามยกแขนเสื้อขึ้นบดบังใบหน้าตนไว้
เดิมที เขาจะไม่เข้าประชุมนางโดยอ้างว่าตนป่วย ทว่าฝ่าบาทกลับส่งคนไปบอกเขาถึงที่จวนว่า ไม่สามารถขาดประชุมขุนนางได้แม้จะป่วยก็ตาม เขาจำต้องแบกใบหน้าที่น่าอับอายออกมาอย่างไม่มีทางเลือก
แต่พอได้เห็นผู้คนมากมายมีใบหน้าที่ดูไม่ต่างไปจากตน เมื่อพวกเขาพบหน้ากันจึงดูไม่ประหม่าเท่าไหร่
ใช่แล้ว หนิงหยวนโหวเห็นใบหน้าของขุนนางบุ๋นคนอื่น ๆ บอบช้ำไม่ต่างจากตนก็พลันใจชื้นขึ้นมาหน่อย
ขณะที่รู้สึกสบายใจก็มีความขุ่นเคืองใจเช่นกัน คนป่าเถื่อนพวกนั้นกล้าดีอย่างไรมาทำร้ายใบหน้าของพวกเขา ไม่รู้หรือว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับบัณฑิตก็คือหน้าตา?
ส่วนขุนนางบู๊ก็บอบช้ำไม่ต่างกัน ทว่าขุนนางบู๊มีเนื้อหนังที่หนากว่าขุนนางบุ๋น มองผิวเผินจึงไม่เห็นรอยแผลน่าเกลียดสักเท่าใด
ในระหว่างที่ฝ่าบาทกำลังเสด็จมา ขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊ที่มาประชุมขุนนางกันพร้อมหน้า ต่างถลึงตามองอีกฝ่าย ท่าทางเหมือนเด็กที่กำลังแข่งกันว่าผู้ใดตาโตกว่า
“โอ้ รอยแผลบนหน้าเจ้ายอดเยี่ยมมาก”
ขุนนางบู๊เห็นหน้าของขุนนางบุ๋นบอบช้ำไม่ต่างจากตนก็สบายใจ
ฝ่ายขุนนางบุ๋นรู้สึกโกรธมาก “พวกคนบ้านป่าเมืองเถื่อน ไร้ยางอาย ฝ่าบาททรงให้พวกเจ้าฝึกวรยุทธ์เพื่อปกป้องราษฎรและราชวงศ์ต้าเซี่ย แต่ดูสิ่งที่พวกเจ้าทำสิ! รังแกสหายร่วมราชสำนัก…”
เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นโกรธจัด สาดสงครามน้ำลายใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างบ้าคลั่ง
คำด่าที่ทรงพลังไม่จำเป็นต้องมีคำหยาบคาย พอถูกด่าซึ่ง ๆ หน้า เหล่าขุนนางบู๊ผู้โง่เง่าถึงกับพูดไม่ออก
ขุนนางบู๊ผู้มีอารมณ์ฉุนเฉียวใช้ตาจ้องเขม็ง กำมือแน่นพร้อมเอ่ยเสียงต่ำ “พวกเจ้า!”
“เป็นอันใดไป? แม้แต่ในท้องพระโรงนี้ พวกเจ้ายังคิดที่จะก่อเหตุวิวาทอีกหรือ? อย่าได้คิดว่าพวกข้าจะกลัว พวกข้าแค่ไม่อยากทำให้ท้องพระโรงอันศักดิ์สิทธิ์นี้ต้องเสื่อมเสีย ไม่เหมือนคนถ่อยอย่างพวกเจ้า!”
“เจ้าว่าผู้ใดเป็นคนถ่อย พวกเจ้านั่นแหละที่เป็นคนถ่อย! ไอ้พวกคนหน้าซื่อใจคด!”
หนานกงหลีที่แอบอยู่ในมุมเล็ก ๆ ของห้องโถงอันกว้างใหญ่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดชัดเจน เขารู้สึกตื่นเต้นจนมือไม้สั่น ไม่เสียแรงที่วันนี้รีบมา เพราะเขาได้คาดการณ์ไว้แล้วว่า ประชุมขุนนางในวันนี้จะต้องสนุกสนานครื้นเครง!
ในขณะที่เซียวเหยาอ๋องกำลังสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน
หนานกงสือเยวียนและฝูไห่ก็เดินทางมาถึงท้องพระโรงพอดิบพอดี ในขณะที่ขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊ ต่างฝ่ายต่างร้อนระอุ ยืนจ้องหน้ากันใกล้ ๆ
ขุนนางบุ๋นคนหนึ่งชี้หน้าตน “มาสิ ๆ แน่จริงก็เข้ามาสิ ตีข้าตรงนี้เลย!”
ขุนนางบู๊สูดลมหายใจเข้าออกแรง ๆ แสดงให้เห็นถึงความโกรธที่มีอยู่เปี่ยมล้น มือข้างลำตัวทั้งสองข้างกำแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดโปน “คิดว่าข้าไม่กล้าจริง ๆ หรือ?”
บรรยากาศร้อนระอุขึ้น หากช้ากว่านี้อีกนิดเดียวพวกเขาจะเปลี่ยนที่นี่ให้เป็นสนามประลองแล้ว
ฝูไห่ “…”
แย่แล้ว! พระพักตร์ของฝ่าบาทเริ่มดูไม่ดีแล้ว
เขาติดตามฝ่าบาทเข้าไปด้านในอย่างระมัดระวัง ท้องพระโรงในยามนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นสนามรบขนาดย่อม เหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นมาบนหน้าผากฝูไห่ทันที
ใต้เท้าพวกนี้กำลังฆ่าตัวตายชัด ๆ!
“ฝ่าบาทเสด็จ…”
เสียงประกาศจากฝูไห่ดังขึ้น ขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊ทั้งหมดที่กำลังจะประลองดาบกันอยู่หยก ๆ เงียบลงในพริบตา แต่ละคนรีบก้าวไปยืนประจำที่ของตนพร้อมถือแผ่นป้ายอยู่ในมือ
“ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
ราวกับเหตุการณ์ตึงเครียดก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น
หนานกงสือเยวียนประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร สามารถมองเห็นสีหน้าและท่าทางของคนทุกผู้ได้
“เราไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่า ทั้งขุนนางบุ๋นและบู๊ของข้าจะมี ‘วรยุทธ์เก่งกาจและกล้าหาญชาญชัย’ กันทุกผู้ทุกคน”
น้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงความเย็นชาของหนานกงสือเยวียน ทั้งขุนนางบุ๋นและบู๊ต่างก็ทำตัวเป็นเหมือนนกกระทา สงบปากสงบคำ
เขาโยนฎีการ้องเรียนเหล่านั้นกลับไป “ดูเรื่องที่พวกเจ้าทำสิ มีแต่เรื่องดี ๆ ทั้งนั้น ปกติแล้วพวกเจ้าใส่ใจภาพลักษณ์ของตนกันนักหนามิใช่หรือ แล้วเหตุใดไม่กี่วันมานี้ พวกเจ้าถึงได้ทำตัวไร้ยางอายกันเล่า!”
ทุกคน “…”
จะว่าเช่นนั้นก็ไม่ถูก ที่พวกเขาทำทั้งหมดก็เพื่อไม่ให้ผู้ใดมาหยามศักดิ์ศรีของตน จะบอกว่าไร้ยางอายได้อย่างไร
หนานกงสือเยวียนไม่คิดถกเถียงเรื่องไร้สาระกับพวกเขา “เราเห็นว่าพวกเจ้ามีจิตวิญญาณอันแกร่งกล้า นับจากวันนี้ไป ขุนนางบุ๋นทุกคนจงไปที่ค่ายต้าซีเพื่อวิ่งให้ครบหนึ่งลี้ทุกวัน”
ขุนนางบุ๋น “!!!”
ฝ่าบาทคิดจะดัดกระดูกแก่ ๆ อย่างพวกเขางั้นหรือ!
“ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมแก่แล้ว อีกทั้งไม่เคยวิ่งระยะไกลเช่นนี้มาก่อน กระหม่อมวิ่งไม่ไหวแน่พ่ะย่ะค่ะ!”
ไม่ใช่เพราะว่าตอนนี้ได้รับราชการจึงไม่สามารถทนความยากลำบาก แม้กระทั่งเมื่อก่อนตอนที่ยังไม่มีการจัดสอบรับราชการ ก็มีบัณฑิตน้อยคนนักที่จะทำเรื่องหนัก ๆ เช่นนั้นได้ นับประสาอันใดกับคนแก่ที่มีบ่าวรับใช้ล้อมหน้าล้อมหลังทุกวัน พอจะออกนอกจวนก็ได้นั่งรถม้าที่มีเบาะนุ่ม ๆ ให้นั่ง
ขุนนางบุ๋นผู้ ‘บอบบาง’ ถึงกับน้ำตาไหลพราก ได้แต่ภาวนาว่าฝ่าบาทเพียงแค่ล้อเล่น
ทว่าปาฏิหาริย์ก็ไม่ได้เกิดขึ้น ฮ่องเต้ยังคงมีพระพักตร์เย็นชาไร้ความปรานี
หนานกงสือเยวียนยิ้มเยาะ “แต่ตอนที่พวกเจ้าทะเลาะวิวาทกัน ก็ไม่เห็นมีผู้ใดคำนึงว่าตนแก่แล้วเลยสักคน ฉะนั้นเอาตามนี้แหละ เราตัดสินใจแล้ว!”
เหล่าขุนนางบุ๋นต่างก็ทำหน้าสลดหดหู่ “…”
ฝ่าบาททรงลำเอียงเกินไปแล้ว!
เหล่าขุนนางบู๊ส่งสายตาเยาะเย้ยฝ่ายตรงข้ามอย่างย่ามใจ หารู้ไม่ว่า อีกไม่ช้าพวกเขาก็จะได้รู้ซึ้งถึงคำว่า ความสุขสุดโต่งนำมาซึ่งความทุกข์โศกสุดฤทธิ์
หนานกงสือเยวียนตรัสด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ส่วนขุนนางบู๊ พวกท่านเองก็มีจิตวิญญาณอันแกร่งกล้าเช่นกัน จากนี้ไปให้คัดและท่องคัมภีร์หลุนอวี่*[1] วันละสิบบท แล้วเดี๋ยวเราจะตรวจด้วยตนเอง”
นี่อย่างไรเล่า สิ่งที่เรียกว่าฟ้าผ่าตอนกลางวัน!
เหล่าขุนนางบู๊ผู้ชื่นชอบการกวัดแกว่งดาบและการยิงธนู ทุกครั้งที่เขียนฎีกายังต้องกลั้นใจเขียนอยู่ครึ่งค่อนวัน ในระหว่างนั้น ยังต้องคอยนับจำนวนอักษรว่าเขียนถึงขั้นต่ำแล้วหรือไม่ หากพวกเขาจะไปคัดลอกจากตำรา ก็เกรงว่าผลที่ตามมาจะเลวร้ายกว่าการโดนแทง
แน่นอนว่า ในหมู่พวกเขาบางคนมีการศึกษา ทว่าขุนนางบู๊มักชอบอ่านตำราที่เกี่ยวกับการทหารเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นหากในตำรามีประโยคกำกวม คลุมเครือไม่ชัดเจนหรือคำที่เข้าใจยาก พวกเขาก็ถึงกับต้องกุมขมับอ่าน
“ฝ่าบาท…”
พอหนานกงสือเยวียนปรายตาสีนิลมองมา เหล่าขุนนางบู๊ถึงกับพูดสิ่งใดไม่ออก อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่นานสองนาน สุดท้ายก็ยอมจำนนแล้วก้มหน้ารับบัญชาอย่างขมขื่น
พอเห็นว่าเหล่าขุนนางบู๊ก็ต้องพบเจอกับความยากลำบากเช่นกัน ขุนนางบุ๋นทั้งหลายพลันรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง
ความสุขของตนเองขึ้นอยู่กับความเจ็บปวดของผู้อื่น พอเห็นว่าอีกฝ่ายโชคร้าย อารมณ์หดหู่ของพวกเขาก็ดีขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ
[1] คัมภีร์หลุนอวี่ (论语) เป็นคัมภีร์พื้นฐานของสำนักปรัชญาขงจื่อ