บทที่ 132 งานเลี้ยงกุ้งก้ามแดง
บทที่ 132 งานเลี้ยงกุ้งก้ามแดง
“ฮ่องเต้ไม่ได้พระราชทานยาพิษให้พวกเจ้ากินเสียหน่อย เหตุใดจึงแสดงท่าทีหวาดกลัวเช่นนั้น บรรดาใต้เท้าช่างเปราะบางเสียจริงเชียว สงสารก็แต่ผู้ที่ต้องใช้กำลังอย่างพวกข้า ยามไปที่สนามรบ อย่าว่าแต่ได้กินอาหารที่มีกลิ่นของเนื้อเลย แม้แต่ฟองที่เกิดจากน้ำต้มเนื้อก็ยังไม่มีให้เห็น”
“ใช่แล้ว แม้กุ้งก้ามแดงจะมีรสชาติไม่ดีนัก แต่ก็นับว่าพอมีส่วนของเนื้ออยู่บ้าง หรือข้าควรทูลฝ่าบาทให้ส่งพวกท่านไปเผชิญความทุกข์ยากในค่ายทหาร พวกท่านจะได้ไม่มีท่าทีรังเกียจรังงอนเช่นนี้”
เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นถลึงตาใส่ทันที “พวกข้าจะไปทำสิ่งเดียวกับพวกเจ้าได้อย่างไร คนโง่เขลาที่ไม่รู้หนังสือ ถนัดแต่เรื่องการใช้กำลังอย่างพวกเจ้า หากลองให้ดูแลเรื่องการเงิน การจัดเก็บภาษี และงานหลวงต่าง ๆ พวกเจ้าทำได้หรือไม่?”
“สามารถท่องจำ ‘คัมภีร์หลุนอวี่’ ได้ภายในเวลาสองถึงสามวันหรือไม่ พวกเก่งแต่ใช้กำลัง ไร้สติปัญญาอย่างพวกเจ้า ไปท่องจำ ‘คัมภีร์หลุนอวี่’ ให้ได้ก่อนเถิด แล้วค่อยมาพูดกับพวกข้า”
“ขุนนางฝ่ายบุ๋นอย่างพวกข้ามีกี่ชีวิต แล้วกองกำลังทหารมีกี่ชีวิต? เป็นพวกข้าหรือไม่ที่ดูแลจัดสรรอาหารธัญพืชให้กับกองกำลังทั่วอาณาจักร พวกเจ้ามีความสามารถในการดูแลเรื่องนี้หรือไม่!”
“ที่ฝ่าบาททรงกำชับให้ท่อง ‘คัมภีร์หลุนอวี่’ พวกเจ้าท่องจำได้แล้วหรือ? อายุเท่านี้แล้ว กลับสู้เด็กสามขวบยังไม่ได้เลย!”
ขุนนางฝ่ายบู๊ที่ถูกเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นดูถูกเหยียดหยาม พวกเขาได้แต่เสียใจ ทว่าไม่กล้าที่จะต่อปากต่อคำใด ๆ!
ด้านขุนนางฝ่ายบุ๋นต่างก็เชิดหน้าชูคอ มองไปทางขุนนางฝ่ายบู๊อย่างดูหมิ่นดูแคลน
ในขณะที่ภรรยาของพวกเขาได้แต่นิ่งเงียบ “…”
นี่…ที่แท้ขุนนางทั้งสองฝ่ายภายใต้การปกครองของฮ่องเต้อยู่ร่วมกันเช่นนี้เองหรือ?
ช่างดูแตกต่างกับภาพลักษณ์ที่บ้านอย่างสิ้นเชิง!
แต่คล้อยหลังจากความประหลาดใจนั้น เหล่าภรรยาของขุนนางก็กลับมากังวลเกี่ยวกับงานเลี้ยงในวังหลวงต่อ
เนื่องจากงานเลี้ยงในวังหลวงครั้งก่อนนั้น พวกนางล้วนเข้าร่วมงานด้วยความปีติยินดีที่จะได้เข้ามาในวังหลวงแห่งนี้
ทว่าครั้งนี้ เมื่อรู้ว่าเป็นงานฉลองกุ้งก้ามแดงก็ไม่มีใครอยากมา
แต่จะไม่มาก็ไม่ได้
ไม่นานหลังจากงานเลี้ยงกุ้งก้ามแดงเริ่มขึ้น องค์ชายแต่ละพระองค์ก็ทยอยเสด็จ
แน่นอนว่าเสี่ยวเป่าก็มาพร้อมกับเสด็จพี่ของนาง ซึ่งระหว่างที่เดินทางมา นางก็ถูกเหล่าพี่ชายรุมถามเรื่องต่าง ๆ
ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับแตงโมของเสี่ยวเป่า
เพราะหลังจากที่พวกเขาได้กินไปแล้ว ก็ไม่สามารถลืมมันได้ลง และจะรู้สึกร้อนไปทั้งวันหากไม่ได้กินมัน
เมื่อขุนนางฝ่ายบุ๋นเห็นองค์ชายเสด็จ รอยยิ้มก็พลันปรากฏบนใบหน้าของพวกเขา
องค์ชายเหล่านี้ล้วนเป็นโอรสของฮ่องเต้ หากว่าบุตรสาวของพวกเขาโชคดีได้แต่งงานกับองค์ชาย ดีไม่ดีในอนาคตอาจได้กลายเป็นฮองเฮาก็เป็นได้
และในใจของพวกเขาคาดหวังไว้กับองค์ชายใหญ่มากที่สุด
องค์ชายใหญ่ถูกจับตามองตั้งแต่พระองค์ยังทรงพระเยาว์ เพราะมีบุคลิกที่ดี เป็นผู้ปราดเปรื่องมากด้วยความรู้ นิสัยสุภาพอ่อนโยน ช่างเหมาะสมกับตำแหน่งรัชทายาทมากที่สุด
น่าเสียดายที่สวรรค์ไร้เมตตาชิงชังผู้มีพรสวรรค์ ขาของพระองค์จึงต้องเป็นเช่นนี้ ทำให้หมดโอกาสในการสืบทอดพระราชบัลลังก์ไป
ส่วนองค์ชายรอง…
แม้องค์ชายรองจะมีนิสัยที่คาดเดาไม่ได้ แต่พระองค์ก็หาใช่คนเลวร้าย ยิ่งยามนี้ องค์ชายใหญ่ยังไม่ได้ถูกแต่งตั้งเป็นรัชทายาท เขาจึงนับเป็นผู้ที่ได้เปรียบมากที่สุด ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง องค์ชายรองละทิ้งข้อได้เปรียบนี้ไป และเสด็จไปยังชายแดนแทน
การเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงนี้ ทำให้บรรดาขุนนางฝ่ายบุ๋นที่สนับสนุนเขาเกิดความกังวลใจ และขุนนางหลายคนก็เริ่มมองหาองค์ชายพระองค์อื่น ที่น่าจะสามารถขึ้นมาเป็นรัชทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์นี้ได้
ท้ายที่สุดแล้ว บนสนามรบที่อาวุธไร้นัยน์ตาคาดเดาสิ่งใดไม่ได้ องค์ชายรองเสด็จไปที่นั่น หากว่าพระองค์ทำสำเร็จ เขาก็จะกลายเป็นองค์ชายที่กุมอำนาจทางการทหาร แต่หากว่าไม่สำเร็จ ก็ถือว่าเป็นการเพิ่มจิตวิญญาณวีรบุรุษในสนามรบ
ซึ่งความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งคือ หากทำไม่สำเร็จ องค์ชายรองก็ทำได้เพียงแค่หลบอยู่ข้างหลัง
แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ต้องมีแผนการอื่นสำรองไว้
ส่วนองค์ชายพระองค์อื่น อย่างองค์ชายสาม พระองค์หาได้มีความโดดเด่น ยิ่งไม่อยู่ในสายตาผู้คน และมักมีท่าทีหม่นหมอง ทว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ พระองค์ไม่มีมารดาคอยสนับสนุน
ในขณะที่องค์ชายสี่นั้นแข็งแกร่งมาก แต่นิสัยของพระองค์กลับเรียบง่ายและเป็นคนตรงไปตรงมา
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่คุณสมบัติทั้งหมดที่จะสามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้
ส่วนองค์ชายห้า พระองค์เป็นผู้ที่มีศักยภาพ ตระกูลมารดาของเขาคือเจิ้นกั๋วกง ผู้กุมอำนาจกองทัพใหญ่ทางตอนใต้ ซึ่งพระองค์ก็ภูมิใจในเรื่องนี้ไม่น้อย
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือ ตอนนี้องค์ชายห้ายังทรงพระเยาว์ หลังจากไตร่ตรองดูแล้ว ในบรรดาองค์ชายที่เหลืออยู่ มีความเป็นไปได้ว่าองค์ชายห้าและองค์ชายหกเท่านั้นที่สามารถแข่งขันกันได้
กับองค์ชายหกนั้นไม่ต้องพูดถึง พระองค์กับองค์ชายใหญ่ทรงมีพระมารดาคนเดียวกัน ถึงแม้ว่าตอนนี้องค์ชายหกจะยังไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็มีความเป็นเลิศไม่แพ้ผู้ใด
สุดท้าย องค์ชายอีกสองพระองค์ยังไม่ถึงคราวต้องหยิบยกมาพูด เพราะทรงพระเยาว์มากเกินไป
ในขณะที่ขุนนางฝ่ายบุ๋นกำลังลอบมองบรรดาองค์ชาย และครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้บางอย่าง องค์เหนือหัวของพวกเขาก็เสด็จมาถึง
“ฮ่องเต้เสด็จ…!”
ฮ่องเต้และพระสนมเอกจะมาถึงเป็นขบวนสุดท้ายเสมอ พลันทุกคนพร้อมใจกันคุกเข่าลง และกล่าวอวยพร
เมื่อเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นเงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้หนุ่มผู้สง่างามและสุขุม ความคิดต่าง ๆ ในใจของพวกเขาก็พลันพังทลายลงในทันที
เห็นได้ชัดว่าพระองค์มีพระชนมพรรษาใกล้สี่สิบแล้ว เหตุใดยังคงดูแข็งแรงราวกับว่าพระองค์จะมีอายุยืนยาวไปถึงร้อยปี
น่าแค้นใจยิ่งนัก! คงไม่ใช่ว่ารอให้โอรสเติบใหญ่กันหมดเสียก่อน พระองค์ถึงจะสละบัลลังก์!
หนานกงสือเยวียนเดินไปประทับ ณ ที่นั่งหลัก และทอดพระเนตรผู้คนที่อยู่เบื้องล่าง
“ลุกขึ้นได้”
เขาไม่สนใจเรื่องไม่เป็นเรื่อง จึงตรัสเข้าประเด็นของวันนี้อย่างรวดเร็ว
กุ้งก้ามแดงอยู่ในภาชนะลายครามที่มีขนาดใหญ่กว่าใบหน้า แต่ถูกฝาครอบปิดเอาไว้ จึงไม่สามารถมองเห็นได้ว่าด้านในคืออะไร
และฝาจะยังไม่ถูกเปิดออก หากภาชนะลายครามยังถูกนำขึ้นโต๊ะไม่เสร็จ
ทันใดนั้น กลิ่นที่ไม่คุ้นเคยก็ปะทะเข้าที่จมูก
ทุกคนต่างเบิกตากว้าง จับจ้องไปยังกุ้งก้ามแดงที่อยู่ในเครื่องลายครามด้วยความตกใจ
นะ นะ…นี่คือกุ้งก้ามแดงงั้นหรือ!?
ช้าก่อน มันคือกุ้งก้ามแดงจริงหรือ เหตุใดจึงมีกลิ่นหอมเย้ายวนใจเช่นนี้ ช่างแตกต่างกับสิ่งที่คิดเอาไว้โดยสิ้นเชิง!
หนานกงฉีเหิงและหนานกงฉีเหยี่ยนคู่พี่น้องฝาแฝด ที่มาพร้อมกับท่านพ่อของพวกเขา ก็ทำหน้าเหมือนไม่เคยพบเจอสิ่งนี้มาก่อน ต่างตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก
เหอะเหอะ…เมื่อก่อนยังรังเกียจกุ้งก้ามแดงนี้อยู่มิใช่หรือ เช่นนั้นแล้ววันนี้ก็อย่ากินสิ่งนี้เลย!
“เชิญ”
หลังจากที่หนานกงสือเยวียนพูดจบ เขาก็หยิบถุงมือด้านข้างขึ้นมาสวม
บรรดาขุนนางลอบมองด้วยความไม่เข้าใจ มันหมายความว่าอย่างไร
จากนั้นพวกเขาก็เห็นฮ่องเต้ทรงสวมถุงมือ แล้วเอื้อมพระหัตถ์ไปหยิบกุ้งก้ามแดงออกมาจากภาชนะลายคราม ก่อนจะเริ่มแกะเปลือกอย่างชำนิชำนาญ ทั้งยังคงมีท่วงท่าที่สง่างามเช่นเคย
ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้ บรรดาองค์ชายและองค์หญิงทุกพระองค์เท่านั้น แม้แต่เซียวเหยาอ๋องก็สวมถุงมือและเริ่มแกะเปลือกด้วยตนเองเช่นเดียวกัน
ทุกคนต่างมีสีหน้าตกตะลึง “!!!”
ระหว่างที่พวกเขากำลังตกตะลึง ขุนนางฝ่ายบุ๋นก็พบว่ามีคนทรยศปรากฏตัวขึ้นในหมู่พวกเขา หลีไท่ฟู่เริ่มลงมือกับอาหารตรงหน้าเขาแล้ว!
เปลือกตาของเจ้ากรมพิธีการกระตุกเล็กน้อย “หลีไท่ฟู่ รสชาติเป็นอย่างไรบ้างหรือ”
หลีรุ่นพยักหน้า “ดีมาก”
เมื่อเห็นความชำนาญของเขา เจ้ากรมพิธีการก็พลันเอ่ยถามว่า “ไท่ฟู่ เจ้าเคยลิ้มลองมันมาก่อนใช่หรือไม่”
หลีรุ่น “….ข้าเคยกินที่จวนของเซียวเหยาอ๋อง”
จู่ ๆ เจ้ากรมพิธีการก็เป่าเคราและจ้องมองเขาอย่างขุ่นเคือง “ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าไม่พูดอะไรสักคำในขณะที่เราเอะอะกัน”
หลีรุ่นเหลือบมองเขากลับ “ข้าสอนหนังสือให้บรรดาองค์ชายในวัง จะมีเวลามาใส่ใจเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร กว่าข้าจะทันได้รู้ตัว พวกเจ้าก็เอะอะกันไปถึงไหนแล้ว”