ในตอนนั้นเอง ฝ่าบาททรงคิดถึงถ้อยคำของอู๋เหนียงจื่อ พระองค์ต้องรักษารอยยิ้มไว้ ถึงจะทำให้คนในครอบครัวของนางเกิดความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนม
พระองค์ทบทวนอยู่ในพระทัยครู่หนึ่ง จากนั้นในขณะที่คนในตระกูลตู๋กูกำลังมีสีหน้าคร่ำเครียด ก็ทรงแย้มสรวลออกมา
เป็นรอยยิ้มที่แสนจะยินดี
พระหัตถ์ที่ใหญ่โตของพระองค์กุมเก้าอี้ของตู๋กูซิงหลันเอาไว้แน่น ตอนนี้แม้แต่เขี้ยวทั้งสองก็ยังเผยออกมา “เราพาไทเฮามาร่วมงานเลี้ยงในบ้านของท่านผู้เฒ่า ล่าช้าไปสักหน่อย ท่านคงไม่ตำหนิกระมัง?”
เฮอะ เขี้ยวขาวๆ นั่นช่างทิ่มแทงดวงตา ทำเอาตู๋กูถิงมีโทสะขึ้นมาแล้ว!
ข้าผู้เฒ่าต้องการแค่ให้หลานสาวสุดที่รักกลับมาก็พอ ไอ้หมูที่คิดจะกินผักกาดขาวจะมาด้วยทำไม?
ยังจะมายิ้มอีก?
รอยยิ้มนั่นยิ่งเท่ากับว่าเป็นการท้าทายตู๋กูถิงและสองพี่ชายตระกูลตู๋กู
นี่มันเหมือนกับจีเฉวียนกำลังจงใจโอ้อวดว่า ‘เราจะใช้นางมาบีบบังคับพวกเจ้า โกรธหรือ? พวกเจ้าจะโกรธก็โกรธไป เราสุขใจก็พอแล้ว’
ที่คนตระกูลตู๋กูมิได้ตีพระองค์ให้ตายในทันทีก็ต้องถือว่าเห็นแก่พระพักตร์มากแล้ว
ตู๋กูเจวี๋ยยิ่งคอยจับตามองดูท่านปู่เอาไว้ แอบภาวนาในใจอย่างดุดันให้เขาคว้าไม้กวาดขึ้นมา
ท่านปู่ ฝีมือไล่ตีผู้อื่นของท่านล่ะ? เมื่อครู่ยังไล่ตีเขาแทบตายมิใช่หรือ? คนที่สมควรจะถูกฟาดโบยมากที่สุดก็มาแล้ว ท่านผู้เฒ่าก็ลงมือเสียเลยสิ!
เพ้ย! นี่มันเท่ากับว่ารังแกคนอ่อนแอ หวาดเกรงผู้เข้มแข็งชัดๆ
ตู๋กูเจวี๋ยได้แต่บ่นอุบอิบอยู่ในใจ ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
ผ่านไปอีกพักใหญ่ ตู๋กูถิงถึงได้ยิ้มแต่เพียงมุมปากแต่ไปไม่ถึงดวงตา กราบทูลจีเฉวียนว่า “หลานสาวสามารถออกมาได้ กระหม่อมย่อมดีใจมากแล้ว ไหนเลยจะยังโทษว่าฝ่าบาทได้อีก?”
น้ำเสียงที่กล่าวออกมาฝืดเฝื่อนพิกล กระทั่งตู๋กูซิงหลันก็ยังฟังจนรู้สึกได้
“ฝ่าบาททรงเป็นประมุข พวกเราเป็นขุนนาง ขุนนางย่อมต้องรู้จักขอบเขตฐานะของตน ไม่กล้าล่วงเกินแม้แต่น้อย” ตู๋กูเจวี๋ยรีบเออออตามไป
นี่ย่อมมิใช่การประจบประแจงฝ่าบาท แม้ว่าคำพูดจะไม่มีอะไรผิดแม้แต่น้อย แต่น้ำเสียงของเขาออกจะแปลกประหลาด แทบจะกัดฟันกรอดๆ ขณะที่กราบทูล แล้วจะไม่ให้ผู้อื่นคิดมากได้อย่างไร
นี่ไม่มากเกินไปหน่อยหรือ หากมิใช่เพราะว่าก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ทรงกักตัวน้องเล็กเอาไว้ไม่ยอมให้พวกเขารับตัวกลับมา มีหรือที่เขาจะต้องมาถูกท่านปู่ฟาดตีต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้?
ถูกตีรอบนี้ เขาต้องเสียหน้าจนหมดสิ้น ไหนเลยจะยอมกลืนความแค้นลงไปได้ง่ายๆ
ตู๋กูจุนไม่พูดไม่จา แต่ว่าสีหน้าก็ไม่น่าดู
ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่บนรถเข็น โดยไม่เข้าใจเลยว่าทำไมบรรยากาศภายในบ้านถึงได้อึมครึมนัก
ก็นางไม่ได้เห็นรอยยิ้มแสนจะยินดีของฝ่าบาทนี่
นางกล่าวว่า “ยากนักที่จะได้ออกมาจากวังสักครั้ง วันนี้จะต้องรับประทานอาหารกับท่านปู่และพี่ๆ ให้อร่อยเลย”
พอพูดประโยคนี้ออกไป สีหน้าของตู๋กูถิงก็ยิ่งเขียวคล้ำกว่าเดิม ยอดดวงใจของปู่เอ๋ย สองปีมานี้คงจะลำบากมากสินะ
จากคำพูดของนาง แสดงว่าคงจะถูกจีเฉวียนกักขังเอาไว้ในวังไม่เคยได้ออกไปไหน
ถึงแม้ว่าหลานสาวของเขาจะอ่อนแอไปบ้าง แต่ว่าก็ชอบออกจากบ้านไปเที่ยวเล่นอยู่เสมอ
เขาเองก็มักจะพานางออกไปดูโลกกว้างอยู่บ่อยๆ ครั้งนี้พาเข้าวังไปเหมือนไปนั่งอยู่ในคุก ทำให้เขาต้องเจ็บปวดจนใจแทบสลาย
“ดี ดี ดี เจ้าว่าอย่างไรก็เอาตามนั้น” เห็นแก่หลานสาวสุดที่รัก ตู๋กูถิงก็ไม่คิดจะเอาความอะไรกับจีเฉวียนต่อไปอีก
คนกลับมาแล้ว เขาก็ได้เจอแล้ว แค่นี้ก็พอใจมากแล้ว
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะได้รับข่าวจากในจดหมายมาแล้วว่านางขาพิการ ในใจก็เตรียมใจเอาไว้แต่แรก แต่พอมาได้เห็นแล้วก็ยังต้องปวดใจจนถึงกระดูก
องค์หญิงน้อยของบ้านที่ถูกถนอมเอาไว้ในมือมาตั้งแต่เล็ก ต้องรับความยากลำบากมานานถึงสองปี
“ฝ่าบาท หลานสาวของกระหม่อม ให้กระหม่อมเข็นนางเองเถอะ” ตอนนี้ ตู๋กูถิงคิดแต่เพียงว่า อยากจะใกล้ชิดกับตู๋กูซิงหลันให้มากๆ เท่านั้น มือของเขาก็สัมผัสลงบนเก้าอี้รถเข็น ออกแรงดึงจนรถส่งเสียงกึกกัก
จีเฉวียน “เรื่องเช่นนี้ให้เราทำจะดีกว่า ไม่ขอรบกวนท่านผู้เฒ่า”
ตู๋กูถิงอยากจะยกไม้กวาดขึ้นมาอีกรอบจริงๆ
เขาพยายามเก็บอารมณ์ในใจที่คุกรุ่นขึ้นมา “ฝ่าบาท พวกเราเพียงแต่กินเลี้ยงกันในครอบครัวเท่านั้น”
จีเฉวียน “เรารู้แล้ว จึงได้พาไทเฮาออกจากวังมาร่วมงานเลี้ยงในครอบครัวเป็นพิเศษ ท่านผู้เฒ่า มีปัญหาอันใดหรือ?”
ฮ่องเต้ยังทรงรักษารอยแย้มสรวลอย่างยินดีเช่นนั้นเอาไว้ ตรัสอย่างทำเป็นไม่ทรงรู้เรื่องใดๆ ทั้งนั้น
ทำเอาตู๋กูถิงโกรธเสียจนอยากจะสับลงไปบนพระเศียรสักหนึ่งฝ่ามือ
พระองค์ไม่เข้าพระทัยจริงๆ หรือว่าแกล้งไม่เข้าพระทัยกันแน่ เขาแสดงออกจนเห็นได้ชัดถึงเพียงนี้ แม้แต่คนโง่ก็ยังคงเข้าใจแล้วกระมัง?
จีเฉวียนเห็นเขาไม่กล่าวตอบ ก็ตรัสเสริมขึ้นมาอีกว่า “ไทเฮาทรงเป็นพระมารดาในนามของเรา จะว่าไปแล้วเรากับท่านผู้เฒ่าก็ต้องถือเป็นครอบครัวด้วยเหมือนกันนะ เป็นคนครอบครัวเดียวกัน เรามาร่วมย่อมไม่ถือว่าผิดอะไรจริงไหม”
ในขณะที่ตู๋กูซิงหลันยังไม่ยอมรับความรักจากจีเฉวียนนั้น ความสัมพันธ์ภายนอกของพวกเขาทั้งสองย่อมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ยังคงเป็นฮ่องเต้กับไทเฮาดังเดิม
พระองค์กำลังรอให้นางยอมรับพระองค์ ทันทีที่ยอมรับ พระองค์ก็จะประกาศไปทั่วทั้งแผ่นดิน…..ว่านางก็คือฮองเฮาของพระองค์
ขณะที่เรื่องราวยังไม่ได้ตกลงกันย่อมไม่สมควรเปิดเผยออกไป นี่เป็นการให้ความเคารพในตัวตนของตู๋กูซิงหลัน
ดังนั้นตอนนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าตู๋กูถิง พระองค์ก็ได้แต่ใช้ฐานะเช่นนี้
แน่นอนว่านี่ถึงกับทำให้ท่านผู้เฒ่ากล่าวอะไรไม่ออกทั้งสิ้น ได้แต่ต้องพูดว่า ฮ่องเต้หนุ่มพระองค์นี้ ช่างไร้ยางอายเสียจริงๆ
ชั่วขณะที่เงียบงันกันไปนั้น บรรยากาศคุกรุ่นอย่างที่สุด
“ดูเอาสิ นี่คือสายลมกรรโชกก่อนที่พายุฝนจะมา เห็นไหมเล่าชักจะเป็นเรื่องเข้าแล้ว”
คนพวกนี้อยากเห็นเรื่องสนุกโดยไม่สนใจว่าจะเป็นเรื่องหนักหนาเพียงไร เมล็ดแตงก็ยิ่งแทะกันอย่างเมามันกว่าเดิม
ที่จริงแล้ว พวกเขาอยู่ห่างออกไปมาก พวกเขาไม่ได้ยินเลยว่าจีเฉวียนกับตู๋กูถิงกำลังพูดอะไรกัน เพียงแค่สังเกตจากสีหน้า ก็พอจะรู้แล้วว่าบรรยากาศคงไม่น่ารื่นรมย์เท่าไรนัก
ยังดีที่ตู๋กูซิงหลันคอยสลายบรรยากาศที่อึดอัดเช่นนี้ทิ้งไป
ครั้งนี้นางตัดสินใจผลักล้อเก้าอี้พุ่งเข้าไปข้างในก่อนแล้ว….
ทำเอาทั้งฝ่าบาท ตู๋กูผู้เฒ่า และสองพี่ชายที่อยู่ด้านหลังต่างไล่ตามมาอย่างรีบร้อน
…………..
เหล่าคนรับใช้ในจวนต่างก็พากันกวาดหิมะทิ้งไปอย่างบ้าคลั่ง ด้วยเกรงว่าหิมะเพียงบางๆ ก็อาจจะทำให้นางลื่นล้มไปได้
เก้าอี้รถเข็นของตู๋กูซิงหลันก็แสนจะยอดเยี่ยมทั้งยังรวดเร็วอย่างยิ่ง ผลักเบาๆ เพียงสองครั้งก็มาถึงห้องโถงแล้ว
นางเข้าไปข้างในได้ครู่หนึ่งแล้ว คนเหล่านั้นจึงได้ตามมาถึง
เจียงเหม่ยหยู่นั่งอยู่ภายในห้องโถง พอได้เห็นตู๋กูซิงหลันก็ทั้งชิงชัง ทั้งโกรธเกลียดและทั้งริษยา
เพียงแต่ว่าในยามนี้ไม่อาจพูดจาอะไรออกไป ทั้งยังต้องคลี่ยิ้มออกมาต้อนรับนาง
“วันนี้ไทเฮาทรงกลับมา หม่อมฉันยินดีเหลือเกิน” นางทางหนึ่งพูดไป ทางหนึ่งก็ช่วยขยับผ้าห่มให้กับตู๋กูซิงหลัน
อะไรคือต้องห่มผ้าให้หนาซะขนาดนี้
อยากจะกลายเป็นเครื่องกันหนาวที่สวยงามงั้นรึ? นางก็แค่ขาพิการ จำเป็นจะต้องเรียกร้องความสนใจถึงขนาดนี้เชียวหรือ?
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าอยากจะมาเพื่อร้องขอความเห็นใจจากนายท่านมากกว่า!
ทำตัวเช่นนี้ช่างเหมือนกับนังย่าชั่วของนางอย่างไรอย่างนั้น!
ตู๋กูซิงหลันขยับเก้าอี้รถเข็นถอยหลังออกไปห่างๆ กลิ่นเครื่องหอมที่อยู่บนร่างของเจียงเหม่ยหยู่ฉุนเกินไปแล้ว นางทนไม่ไหวจนต้องจามออกมายกใหญ่ ถูจมูกอยู่หลายครั้ง พอเงยหน้ามองดูเจียงเหม่ยหยู่ ก็ตกกระใจจนแทบจะจำไม่ได้
นี่ใครแต่งหน้าให้กับนางกัน? ก้าวออกมาซะ นางสัญญาว่าจะตีให้ถึงตาย!
บุรุษทั้งสี่ที่พึ่งจะเข้ามาในห้อง เห็นนางจามยกใหญ่ก็พากันตื่นตัวขึ้นมา
ครั้งนี้ท่านปู่ฉลาดขึ้นมาแล้ว เขาชิงเข้ามาอยู่ด้านหน้าสุด คุกเข่าลงไปตรงเบื้องหน้าตู๋กูซิงหลันจับมือของนางเอาไว้ ถูเบาๆ พร้อมกับเป่าลมหายใจลงไป สีหน้าก็เปี่ยมไปด้วยความรักและความห่วงใย
“ดวงใจเอ๋ย เจ้าเป็นหวัดแล้วหรือ?”
——
ตอนต่อไป “ฝ่าบาท ทรงเข้าพระทัยหรือไม่?”