บทที่ 164 องค์ชายแปดลองท่องกวีสักบทเถิด
บทที่ 164 องค์ชายแปดลองท่องกวีสักบทเถิด
เพียงแต่เสี่ยวเป่าโกรธไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด เพราะไม่ว่าอย่างไรท่านพ่อผู้เข้มงวดก็ไม่ยอมผ่อนปรนให้นางอยู่ดี
เสี่ยวเป่าได้แต่พองแก้มป่อง ทำตาปริบ ๆ เกาะหนึบตามตัวท่านพ่อ ดวงตาเล็ก ๆ แฝงด้วยความขุ่นเคือง นางพยายามอ้อนให้ท่านพ่อเปลี่ยนใจแล้วยกเลิกคำสั่งสุดสะเทือนใจนั่นเสีย
ทันใดนั้น นิ้วเรียวยาวก็เคาะลงบนหน้าผากนาง
หนานกงสือเยวียนเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่พาลูกหมาป่าพวกนั้นไปให้พี่ชายของเจ้าแล้วหรือ?”
เสี่ยวเป่า “…”
สุดท้าย นางก็จากไปพร้อมกับเสียงฮึดฮัดขัดใจ ซ้ำแล้วก่อนจากไป นางยังได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ด้วยท่าทางน่ากลัว
“เสี่ยวเป่าโกรธท่านพ่อมาก ฉะนั้นวันนี้จะไม่สนใจท่านพ่อแล้ว”
กล่าวจบนางก็พาลูกหมาป่าจากไปทันที
ฝูไห่เริ่มกังวลถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกคู่นี้เสียแล้ว สุดท้ายคนในตระกูลสูงศักดิ์อย่างเชื้อพระวงศ์ก็มิได้แตกต่างจากสามัญชน แม้เป็นผู้มีฐานะสูงส่งอย่างฮ่องเต้ก็มิอาจหลีกเลี่ยงการถูกผู้อื่นหมางใจ
“ฝ่าบาท องค์หญิงน้อย…”
หนานกงสือเยวียนโบกมือเพื่อหยุดคำพูดที่อีกฝ่ายกำลังจะเอื้อยเอ่ยต่อ จากนั้นเขากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“กินมื้อเที่ยงแล้วเดี๋ยวก็ดีขึ้นเองนั่นแหละ”
ท่าทางไม่กังวลเลยสักนิดว่าคนตัวเล็กจะโกรธตนได้ถึงวันจริง ๆ
อยู่ด้วยกันมาก็นานพอควรแล้ว มีหรือหนานกงสือเยวียนจะไม่รู้นิสัยของบุตรสาว บางครั้งนางก็ฉลาดจนเหนือความคาดหมาย บางครั้งกลับโง่งมจนน่าระอาใจ ทั้งยังเป็นคนที่เอาใจง่ายสุด ๆ ไม่มีปัญหาใดที่แก้ไม่ได้ด้วยของกิน ถ้าอาหารหนึ่งมื้อไม่ได้ผล เช่นนั้นก็ต้องสองมื้อ
พอได้ยินน้ำเสียงของฝ่าบาท ฝูไห่พลันรู้สึกโล่งใจ ฝ่าบาทไม่ทรงกริ้ว เช่นนั้นเขาก็ไม่กังวลเรื่ององค์หญิงน้อยแล้ว
องค์หญิงน้อยติดฝ่าบาทออกปานนั้น หากวันใดไม่ได้เห็นพระพักตร์ฝ่าบาท องค์หญิงน้อยเป็นต้องวิ่งแจ้นตามหา ฉะนั้นแล้วจะกริ้วนานถึงเพียงนั้นได้อย่างไร
ด้านเสี่ยวเป่าที่จากมาพร้อมความโกรธนั้นไม่ได้ไปหาเหล่าพี่ชายแต่อย่างใด ทว่านางกลับมุ่งหน้าไปทางห้องเครื่องเป็นอันดับแรก
ท่านพ่อจะทำกับเสี่ยวเป่าลูกรักได้ลงคออย่างนั้นหรือ นางไม่เชื่อหรอก
แต่ความจริงมักโหดร้าย…
เมื่อเห็นเหล่าอู๋ทำท่าละล้าละหลังไม่กล้ามอบของว่างให้นาง ชั่วขณะนั้นเอง น้ำตาเสี่ยวเป่าเแทบไหลออกมาเป็นสาย
“เสี่ยวเป่าไม่รักท่านพ่อแล้ว วันนี้ทั้งวันจะไม่สนใจท่านพ่อด้วย!”
ทั้งพ่อครัวอู๋ ชุนสี่ และคนอื่น ๆ รอบตัวนางได้ยินเช่นนั้น ถึงกับเหงื่อเย็นผุดตามฝ่ามือ ท่าทางหวาดกลัวยิ่งกว่าเจ้าของวาจาเสียอีก
พ่อครัวอู๋: สวรรค์! ช่วยลูกด้วย หากสองพ่อลูกเกิดหมางใจกันขึ้นมาจริง ๆ เกรงว่าทั้งวังหลวงจะต้องสั่นคลอนแน่นอน
เสี่ยวเป่ามองถุงผ้าที่ว่างเปล่าของตนตาละห้อย เวลานี้ข้างในไม่มีขนมเลยสักชิ้น!
ท่านพ่อนิสัยไม่ดี ท่านพ่อใจร้าย!
เสี่ยวเป่าบ่นพึมพำพลางนึกขึ้นได้ว่าต้องไปหาเหล่าพี่ชาย
นางจึงตัดสินใจมุ่งหน้าไปสำนักศึกษาพร้อมลูกหมาป่าทันที
ห้องโถงสำนักศึกษาในเวลานี้ หลีรุ่นกำลังบรรยายอยู่ด้านหน้า ส่วนบรรดาองค์ชายที่นั่งฟังอยู่ส่วนใหญ่ก็ตั้งใจศึกษา
แต่ก็มีบางคนที่ไม่ตั้งใจศึกษา บางคนก็ไม่มีพรสวรรค์เรื่องอ่านตำรา แม้หลีรุ่นจะพยายามยัดความรู้เข้าหัวให้อย่างไรก็ไม่อาจรับไว้ได้
ตัวอย่างเช่น องค์ชายสี่ที่เกิดมาพร้อมกับร่างกายกำยำพละกำลังมากกว่าผู้ใด เป็นความแข็งแกร่งที่แลกมาจากมันสมอง
ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ตั้งใจเรียนมาก
ไม่เหมือนคนบางคน…
หลีรุ่นชำเลืองมององค์ชายห้าและองค์ชายแปดด้วยสายตาไม่ยินดียินร้ายแฝงด้วยความเย้ยหยัน
องค์ชายห้าสนใจแต่ตำราการทหาร การสงคราม และการฝึกวรยุทธ์ ในเวลาเรียนวิชาเหล่านั้น องค์ชายผู้นี้จะเป็นเหมือนเทพวานรลงมาจุติ พร้อมพุ่งทะยานไปบนอากาศไม่มีหวาดหวั่น ทว่าพอเรียนวิชาวรรณคดีกลับเหมือนปลาขึ้นฝั่ง ดิ้นทุรนทุรายเพราะขาดน้ำ แลดูจะตายในไม่ช้า
ส่วนองค์ชายแปด เหอะ…
องค์ชายผู้นี้นับว่าหัวดีไม่น้อย เพียงแต่เป็นคนไม่ค่อยเอาจริงเอาจัง
นอกจากจะไม่ตั้งใจเรียนแล้วยังนั่งไม่นิ่ง ขยับตัวยุกยิกชวนให้องค์ชายเจ็ดรำคาญอยู่ร่ำไป
หลีรุ่นคลี่ยิ้ม ‘อ่อนโยน’ พร้อมเอ่ยเรียก “องค์ชายแปด…”
หนานกงฉีจวินที่กำลังแอบทำบางสิ่งหยุดชะงัก ก่อนจะรีบซ่อนกรงขนาดเล็กที่มีจิ้งหรีดอยู่ด้านใน ส่วนร่างกายก็ตั้งตรงทันที
“ท่านราชครู ว่าอย่างไรหรือ”
“มิทราบว่าองค์ชายพอจะบอกกระหม่อมได้หรือไม่ว่าเมื่อครู่ท่านทำสิ่งใดอยู่?”
หนานกงฉีจวินนั่งนิ่งไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด
“เอาออกมาเถิด”
องค์ชายแปดที่พอจะมีความฉลาดอยู่บ้างแต่ไม่มากจึงทำเป็นไขสือ
“เอ่อ… ท่านราชครูกำลังพูดถึงสิ่งใดอยู่หรือ?”
หลีรุ่นคลี่ยิ้มอ่อนโยนมากขึ้น
“อืม ในเมื่อท่านไม่รู้ เช่นนั้นองค์ชายแปดลองท่องบทกวีให้กระหม่อมฟังสักบทเถิด”
หนานกงฉีจวินทำหน้าเหยเก ก่อนจะเริ่มเอ่ยเสียงตะกุกตะกักท่ามกลางสายตา ‘อ่อนโยน’ ของผู้เป็นอาจารย์
“จวินจื่อ*[1] กล่าวว่า การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด อันสีครามนั้นกลั่นจากต้นคราม ทว่าสีสันนั้นเข้มยิ่งกว่าต้นคราม น้ำแข็งเกิดจากน้ำ ทว่าเย็นกว่าน้ำ*[2] …ไม้ตรงได้เพราะถูกดัดฉันใด ดาบคมได้เพราะถูกลับฉันนั้น*[3] จวินจื่อ จวินจื่อ…”
จบสิ้นแล้ว เขาจำได้เพียงเท่านี้ ประโยคต่อจากนี้กล่าวไว้ว่าอย่างไรเขาหาได้คิดออกไม่
หนานกงฉีจวินเกาท้ายทอย พลางขยิบตาให้พี่ชายคนดีของตนอย่างองค์ชายเจ็ด
เร็วเข้าท่านพี่ ช่วยเหลือข้าทีเถอะ
ด้านหนานกงฉีรุ่ยได้แต่กลอกตา แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
ผู้ใดจะไปโง่เง่าอย่างเจ้าเล่า ช่วยเจ้าใต้จมูกท่านราชครู คนที่จะเดือดร้อนคงไม่พ้นต้องเป็นข้า
เพื่อนตาย เราไม่เห็นต้องตายตามเพื่อน แม้ข้าเป็นพี่ชายก็มิควรเอาความสุขของตนไปแลกกับความทุกข์ของเจ้า!
เสี่ยวปา “…”
คนแล้งน้ำใจ!
เขาทำได้เพียงสารภาพออกไปตรง ๆ ว่า “ส่วนหลัง ส่วนหลังจำไม่ได้แล้ว”
หลีรุ่นไม่ได้ต่อว่าหรือลงโทษใด ๆ เขาทำเพียงพยักหน้าและกล่าวชื่นชม
“ไม่เลว ท่องได้มากกว่าคราวที่แล้วถึงสองประโยค”
เสี่ยวปาไม่นึกไม่ฝันว่าตนจะได้รับคำชมก็หลงดีอกดีใจ หุ ๆ ท่านราชครูนี่สมกับเป็นปัญญาชนจริง ๆ ไม่เหมือนท่านอาจารย์คนอื่นที่มักว่าเขาเป็นไม้ผุแล้วแกะสลักไม่ได้*[4]
ฮึ่ม!!! ไม่เสียเปล่าเลยที่เขาถูกลงโทษให้คัดบทกวีส่งเสริมการศึกษาบทนี้ รวมทั้งสิ้นแล้วก็สามสิบกว่ารอบ มันทำให้เขาจดจำได้เยอะขึ้นทีเดียว
หนานกงฉีจวินทำหน้าภาคภูมิใจ
ทว่าชั่วพริบตาต่อมา เขากลับได้ยินหลีรุ่นกล่าวต่อว่า “เห็นทีคราวก่อนที่กระหม่อมให้องค์ชายแปดคัดบทกวีสิบรอบจะได้ผลดีทีเดียว เช่นนั้นองค์ชายแปดคัดอีกสิบรอบก็แล้วกัน คราวหน้าจะได้ท่องได้มากขึ้นอีกสองประโยค”
น้ำเสียงที่ท่านราชครูใช้เอื้อนเอ่ยยังคงอ่อนโยน ดูไม่มีพิษมีภัย
แต่หนานกงฉีจวินที่ได้ฟังถึงกับหน้าถอดสี
เขาขอถอนคำพูดที่เคยบอกว่าท่านราชครูเป็นปัญญาชนที่แท้จริง เพราะมันหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ แท้จริงแล้วคนผู้นี้มีจิตใจโหดเหี้ยม!
ท่านกล่าววาจาแสนโหดร้ายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นนี้ได้อย่างไร ท่านทำได้อย่างไรกัน!
ในขณะที่เสี่ยวปาทำตัวน่าสงสารเพื่อขอความเห็นใจ จู่ ๆ หลีไท่ฟู่ผู้มองการณ์ไกลก็หันกลับมา
“วันพรุ่ง องค์ชายแปดทรงอย่าลืมนำบทกวีทั้งสิบรอบมาด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรเสียวันพรุ่งก็ถึงกำหนดที่ฝ่าบาทจะทรงตรวจสอบการศึกษาขององค์ชายทุกพระองค์แล้ว กระหม่อมจะรวบรวมบทกวีที่องค์ชายแปดทรงคัดทั้งสิบรอบ มอบให้ฝ่าบาททราบถึงความอุตสาหะขององค์ชายแปด”
เสี่ยวปา “…”
สวรรค์กลั่นแกล้งข้า!
หากยามนี้ไม่ได้อยู่ในเวลาเรียน พี่น้องคนอื่น ๆ ที่เห็นเสี่ยวปาทำหน้าซังกะตายคงระเบิดหัวเราะเสียงดังแล้วกระมัง
แต่ก็สมควรแล้ว! พอได้เห็นท่าทางสุดแสนจะหดหู่ของเสี่ยวปา พวกเขาถึงกับหลงลืมความกังวลที่จะถูกเสด็จพ่อตรวจสอบผลการเรียนไปชั่วขณะ
ฉะนั้น…
ในเวลานี้จึงมีเพียงองค์ชายแปดที่ตกอยู่ในห้วงความขมขื่น
หลีรุ่นเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะของตนพลางยกยิ้มชอบใจ ทันใดนั้น หางตาเขาก็เหลือบไปเห็นหัวเล็ก ๆ ที่ปกคลุมด้วยเส้นผมดำสนิทตรงประตู
เขานึกว่าตนเองตาฝาด แต่พอหันไปมองชัด ๆ ดวงตาเขาพลันสบเข้ากับดวงตากลมของเจ้าของหัวเล็ก ๆ ที่เพิ่งโผล่ออกมาจากหลังประตูด้วยท่าทางระแวดระวัง
ดวงตากลมใสของเสี่ยวเป่ามองอีกฝ่ายปริบ ๆ อย่างไร้เดียงสา พอเห็นว่าตนเองถูกจับได้แล้ว นางก็หดหัวกลับทันที พร้อมยกนิ้วขึ้นมากัดด้วยท่าทางรู้สึกผิด
นางไม่ได้ตั้งใจมารบกวนการเรียนการสอนของท่านราชครูเสียหน่อย
เสี่ยวเป่าเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย ปกติแล้วนางจะไม่ทำให้อาจารย์ที่กำลังสอนพี่ ๆ ต้องลำบากใจ หากจะมานางก็จะมาตั้งแต่เช้าและนั่งฟังบรรยายกับพี่ ๆ อย่างตั้งใจ ไม่ส่งเสียงเอะอะโวยวายรบกวนการสอน เป็นศิษย์ที่อายุน้อยที่สุดและเชื่อฟังมากที่สุด แม้นางจะฟังไม่เข้าใจก็ตาม
หรือไม่นางก็จะรอจนพี่ ๆ เรียนเสร็จแล้วถึงจะมา
แต่วันนี้เสี่ยวเป่าที่โกรธจัดจนกลายเป็นปลาปักเป้าลืมถามเวลาจากชุนสี่เสียก่อน นางถึงได้พาลูกหมาป่ามาที่นี่ในตอนที่หลีไท่ฟู่กำลังสอน
เสี่ยวเป่ายืนอุ้มลูกหมาป่ารออยู่หน้าประตูสักพักแล้ว แต่พอเห็นว่าท่านราชครูให้พี่แปดท่องบทเรียน นางจึงแอบโผล่หัวเข้าไปดู เป็นเหตุให้นางถูกจับได้ในที่สุด
แย่แล้ว… นางมารบกวนเวลาเรียนของพี่ ๆ
[1] จวินจื่อ หมายถึง สุภาพชน ปัญญาชน ผู้ที่มีคุณธรรมดีงาม
[2] อันสีครามนั้นกลั่นจากต้นคราม ทว่าสีสันนั้นเข้มยิ่งกว่าต้นคราม น้ำแข็งเกิดจากน้ำ ทว่าเย็นกว่าน้ำ อุปมาว่า ศิษย์เหนือกว่าอาจารย์ คนรุ่นหลังย่อมเหนือกว่าคนรุ่นก่อน
[3] ไม้ตรงได้เพราะถูกดัดฉันใด ดาบคมได้เพราะถูกลับฉันนั้น หมายถึง คนประพฤดีด้วยการอบรมสั่งสอน คนจะเก่งต้องผ่านการฝึกฝน เรียนรู้ และพัฒนา
[4] ไม้ผุแล้วแกะสลักไม่ได้ หมายถึง สอนแล้วไม่จำ ไม่เชื่อฟัง