เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช – บทที่ 171 ผลสำเร็จ

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 171 ผลสำเร็จ

บทที่ 171 ผลสำเร็จ

เด็กน้อยพิงร่างท่านพ่อหลับไปตลอดทางจนถึงนาหลวง แต่เมื่อลงจากรถม้าแล้วเห็นพี่ใหญ่ เสี่ยวเป่าก็วิ่งไปหาทันทีแม้จะยังง่วงงุนอยู่บ้าง

“พี่ใหญ่!”

ทว่าเด็กน้อยถูกบิดาอุ้มเอาไว้เสียก่อน ขาสั้น ๆ แกว่งไปมาอย่างต้องการจะลง ทำให้ถูกท่านพ่อตีเข้าที่ก้น

“ทำตัวดี ๆ หน่อย”

เสี่ยวเป่า: ทำตัวดี ๆ ทันที.jpg

หนานกงฉีซิวยังคงนั่งอยู่บนรถเข็น แต่ตอนนี้สภาพจิตใจดูแล้วดีเป็นอย่างยิ่ง

ในตอนนี้เขามีความหวังที่จะลุกขึ้นยืนได้ ดวงตาจึงเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ทำให้ชายหนุ่มที่เดิมทีก็ดูอ่อนโยนราวกับหยกยิ่งโดดเด่นสะดุดตามากขึ้นอีก

“เสด็จพ่อ”

หนานกงสือเยวียนพยักหน้ารับอย่างสงบนิ่ง

องค์ชายใหญ่มีมารยาทรู้จักถ่อมตน อีกทั้งการช่วยเขาตรวจฎีกายังแสดงให้เห็นถึงความละเอียดรอบคอบและรอบรู้เรื่องสถานการณ์บ้านเมือง นับได้ว่ามีคุณสมบัติเป็นผู้สืบทอดที่ดีของเขาอย่างไร้ข้อกังขา

รอหลังจากสามารถยืนขึ้นได้แล้ว ข้อบกพร่องเดียวบนร่างก็จะหายไป

ตอนนี้หนานกงสือเยวียนเกิดความคิดที่จะปลูกฝังเขาขึ้นมา

เหล่าองค์ชายที่เหลือก็ยืนอยู่ด้านข้างของหนานกงฉีซิว แม้ว่าพวกเข้าต่างมีใบหน้าและลักษณะนิสัยแตกต่างกันไป แต่ท่าทีและรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ที่มีต่อกันนั้นไม่เลวเลย

หลังจากเสี่ยวเป่าถูกวางลง นางก็จับนิ้วของท่านพ่อพาเดินไปหาเหล่าพี่ชาย เด็กน้อยแย้มยิ้มเริงร่าให้กับเหล่าพี่ชายทุกคน

รอยยิ้มของเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่ดูนุ่มนิ่มน่ารักสามารถส่งต่ออารมณ์ให้คนรอบข้างได้อย่างง่ายดาย

อันที่จริงแล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเสด็จพ่อ ทุกคนต่างอดประหม่าไม่ได้ ทว่าหลังจากได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเสี่ยวเป่าแล้วมุมปากของพวกเขาก็พลันยกขึ้นเล็กน้อย

เพียงได้เห็นรอยยิ้มเล็ก ๆ อันแสนมีความสุขนั้น รอยยิ้มของพวกเขาก็ยิ่งกว้างขึ้นเรื่อย ๆ

หนานกงสือเยวียนถามบุตรชายคนโตเรื่องการฟื้นฟูขาด้วยใบหน้าเย็นชา ดูไม่เหมือนการถามไถ่ระหว่างพ่อกับลูก แต่เหมือนกับอาจารย์กำลังถามคำถามจากลูกศิษย์ ช่างดูไร้อารมณ์เป็นอย่างยิ่ง

เขาพบว่านอกจากบุตรชายคนโตแล้ว บุตรชายคนที่เหลือต่างพากันยิ้มโง่งมไปทางเสี่ยวเป่า

ใบหน้าของหนานกงสือเยวียนพลันมืดมน เหตุใดจึงไม่มีใครดูเฉลียวฉลาดสักคน

หัวหน้าผู้ดูแลและบ่าวรับใช้ที่อยู่ในนาหลวงต่างพากันออกมาต้อนรับพวกเขา ตามด้วยขุนนางกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาคำนับฮ่องเต้ เหล่าองค์ชายและองค์หญิง

หนานกงสือเยวียนโบกมืออย่างสงบนิ่ง “ลุกขึ้นได้”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท”

ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงปลาในนาข้าว หรือเรื่องที่ข้าวพร้อมเก็บเกี่ยวเร็วกว่าปกติทั้งยังอุดมสมบูรณ์ นับว่าไม่ใช่เพียงเรื่องของนาผืนนี้ แต่เป็นเรื่องใหญ่ระดับบ้านเมือง

ในยุคสมัยที่ชาวบ้านทั่วไปกินได้ไม่อิ่มท้อง การรายงานวิธีเพิ่มผลผลิตต่อราชสำนักสมควรได้รับรางวัลและการเชิดชูเกียรติ

“เหล่าอ้ายชิง*[1]ทุกท่านตามข้าไปดูกันเถิด”

หนานกงสือเยวียนเอ่ยเข้าประเด็นทันทีโดยไม่พูดอันใดให้มากความ ก่อนจะพาโอรสและธิดาตัวน้อยไปยังนาข้าว

หนานกงหลีที่สวมชุดสีแดงเดินออกจากกลุ่มขุนนางเงียบ ๆ มากระซิบกระซาบกับเสี่ยวเป่าว่า

“เสี่ยวเป่า เสี่ยวเป่า เจ้าคิดถึงท่านอาเจ็ดหรือไม่ ไม่พบพานเพียงหนึ่งวันประหนึ่งผ่านไปสามสารทฤดู”

เขาลดเสียงลงราวกับกำลังกระซิบกระซาบความลับอันใด เปลือกตาของขุนนางที่อยู่ด้านข้างกระตุกยิก ๆ เซียวเหยาอ๋องผู้นี้กำลังทำสิ่งใดกันแน่

เสี่ยวเป่าตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่ม

“เสี่ยวเป่าคิดถึงท่านอาเจ็ดทุกวันเลย”

“ไม่ว่าจะภายในใจหรือในความคิด”

เสี่ยวเป่าเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ปากของเสี่ยวเป่าก็คิดถึง คิดถึงน้ำแกงเม็ดบัวที่ท่านอาหญิงเจ็ดทำ”

“พรืด…”

ผู้ที่ได้ยินรีบปิดปากกลั้นเสียงหัวเราะอย่างรวดเร็ว พวกเขาอดกลั้นเอาไว้ไม่ไหวจริง ๆ

องค์หญิงน้อยช่างกล่าวได้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!

หนานกงหลี “…”

เขารู้สึกแห้งเหี่ยวในทันที

หนานกงหลีมองหลานสาวตนเองด้วยสายตาตัดพ้อ

เสี่ยวเป่าเอียงศีรษะพร้อมรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะจับมือท่านอาเจ็ดมาลูบหัวตัวเอง

“เสี่ยวเป่าย่อมคิดถึงท่านอาเจ็ดอยู่แล้ว คิกคิก”

ระหว่างที่เดินไปจนถึงปลายขอบนา เหล่าขุนนางก็มองรวงข้าวสีทองอร่ามอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

“นี่ นี่…”

หลายคนตื่นเต้นจนใบหน้าแดงก่ำ รีบก้าวขึ้นไปด้านหน้าโดยลืมมารยาทที่พึงมีต่อหน้าฮ่องเต้และเหล่าขุนนางท่านอื่น มือคว้ารวงข้าวเอาไว้แล้วเอ่ยออกมาด้วยเสียงติด ๆ ขัด ๆ

“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมมาก!”

หัวหน้าผู้ดูแลและเหล่าชาวนาที่อยู่ด้านหลังรู้สึกตื่นเต้นดีใจมากกว่าเดิม เมื่อเห็นการแสดงออกของขุนนางผู้ใหญ่หลายท่าน

พวกเขาดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ทรงอำนาจเหล่านี้มาเป็นสักขีพยานมองดูข้าวที่ดีขนาดนี้

ในนาข้าวยังมีน้ำ ขอเพียงแค่แหวกต้นข้าวออกดูเล็กน้อย ก็จะเห็นปลาตัวอ้วนน่ากินว่ายไปมาอยู่ด้านใน

เหล่าขุนนางต่างถูกรวงข้าวสีทองอร่ามดึงดูดความสนใจเอาไว้ ส่วนองค์ชายห้านั้นเป็นผู้แรกที่นึกถึงลูกปลาที่ใส่ลงไปในนาข้าวได้ จึงอดใจตรงไปแหวกดงต้นข้าวไม่ไหว เผยให้เห็นปลาไนแหวกว่ายอยู่ในน้ำ

“หืม ปลาตัวใหญ่ยิ่งนัก”

เดิมที่องค์ชายห้าก็อยู่ในวัยกำลังซุกซนอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อหนานกงฉีหลิงได้เห็นปลาก็เกิดความต้องการที่จะลงมือในทันที ปลาแหวกว่ายอยู่ในน้ำตื้น หากไม่จับ เขาก็ไม่ใช่หนานกงฉีหลิงแล้ว!

ด้วยเหตุนี้ ก่อนที่ผู้ใดจะทันได้ตอบสนอง เขาก็กระโจนลงไปทำให้น้ำจนสายธารสาดกระเซ็น จากนั้นก็รีบคว้าจับปลาตัวใหญ่ที่เล็งเอาไว้ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“ฮ่าฮ่าฮ่า…ปลาตัวนี้มีขนาดใหญ่ยิ่งนัก!”

ทั้งเสียงหัวเราะ ทั้งการเคลื่อนไหวของเขาดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ในทันที ผู้คนที่มองไปยังของในมือเขาต่างก็ตกตะลึง

เป็นปลาตัวใหญ่จริง ๆ ด้วย

เสี่ยวเป่าน้ำลายไหลด้วยความอยากกิน “น่าอร่อยยิ่งนัก”

องค์ชายแปดรีบวิ่งตรงเข้าไปหาทันที มิหนำซ้ำ องค์ชายเจ็ดและองค์ชายหกที่ยามปกติค่อนข้างจะสงบนิ่งยังอดวิ่งเข้าไปหาด้วยไม่ได้

อย่างไรเสียพวกเขาทั้งหมดก็ยังเป็นเด็กในวัยซุกซน เมื่อเห็นพี่ชายจับปลาตัวใหญ่ขนาดนี้ได้ พวกเขาจะอดใจได้อย่างไร

“พี่ห้า พี่ห้า ท่านจับมาอีกได้หรือไม่”

เสี่ยวปาวิ่งตรงไปด้านหน้า ต้องการจะลงไปในนาด้วย ทว่ากลับถูกองค์ชายสี่จับเอาไว้

เขาส่ายหัว มองเสี่ยวปาด้วยสายตาที่ราวกับกำลังมองคนโง่

“น้องแปด ด้านในนาเต็มไปด้วยน้ำ เจ้าเตี้ยถึงเพียงนี้ลงไปคงเดินไม่ได้หรอก”

เสี่ยวปา “…”

ขอบคุณ แต่พี่สี่ ท่านไม่ต้องพูดออกมาก็ได้!

“ว้าว มีปลาเยอะยิ่ง!”

“ตรงนั้นเองก็มี ข้าเพิ่งเห็นว่ามีปลาอีกหลายตัวเลย”

เหล่าเด็กวัยซุกซนตามหาปลาด้วยความตื่นเต้น ทำให้ปลาในริมฝั่งนี้ตื่นกลัวจนว่ายหนีไปหมด

องค์ชายห้านำปลาขึ้นฝั่ง ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์ รองเท้าล้วนแต่เปียกปอนไปหมด

ส่วนขุนนางท่านอื่น ๆ ที่ยังคงจดจ่ออยู่ที่ต้นข้าวก็เพิ่งสังเกตเห็นปลาด้านในนา พลันดวงตาของพวกเขาทอประกายขึ้นมา

“เลี้ยงปลาในนาข้าว วิธีนี้ช่างได้ผลดียิ่งนัก”

ขุนนางหลายท่านอดส่งสายตาชื่นชมไปทางหนานกงฉีซิวไม่ได้ พวกเขายังไม่ลืมว่าผู้ที่แสดงความคิดนี้ออกมาเมื่อครั้งนั้นคือองค์ชายใหญ่

“จิ้นอ๋องช่างมีสายตากว้างไกลยิ่งนัก”

“ความคิดของจิ้นอ๋องยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก ตอนนี้ผลลัพธ์ก็ออกมาแล้ว หากทดลองอีกสักครั้งสองครั้งแล้วยังได้ผลเช่นเดิม ก็จะสามารถเผยแพร่วิธีการนี้ออกไปอย่างแพร่หลาย ด้วยวิธีนี้แล้ว กระทั่งชาวบ้านธรรมดายังสามารถมีเนื้อสัตว์ให้กินเป็นประจำ”

ในยุคสมัยที่ขาดแคลนเนื้อสัตว์เช่นนี้ ปลาเองก็เป็นเนื้อสัตว์ที่ไม่ได้มีมากมายเช่นเดียวกัน

[1] อ้ายชิง (爱卿) เป็นคำเรียกที่ฮ่องเต้ใช้เรียกขานขุนนาง

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

Status: Ongoing
จากลูกเป็ดขี้เหร่สู่การเป็นองค์หญิงคนสุดท้องแห่งราชวงศ์ ความน่ารักของซูเสี่ยวเป่าพร้อมจะพิชิตใจทุกคนแล้ว!หลังจากภูตพฤกษาตัวน้อยตายลง นางก็มาเกิดในยุคสมัยโบราณ และหลงคิดไปว่าตนเองเป็นเพียงเด็กลูกชาวบ้านแถบชนบทธรรมดา ๆ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าท่านพ่อที่นางไม่เคยพบหน้ามาก่อนจะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่ปานนี้เขา…ถึงกับเป็นราชาของแผ่นดิน!เสี่ยวเป่าที่อายุเพียงสามขวบถูกพาตัวไปยังพระราชวังทันทีหลังจากที่แม่ของนางสิ้นชีพลง แล้วนางก็กลายเป็นองค์หญิงน้อย สตรีเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางพี่ชายแปดคน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท