เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช – บทที่ 173 หนานกงฉีอวิ๋นคิดค้นเครื่องมือ

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 173 หนานกงฉีอวิ๋นคิดค้นเครื่องมือ

บทที่ 173 หนานกงฉีอวิ๋นคิดค้นเครื่องมือ

หากเป็นเมื่อก่อน หนานกงฉีอวิ๋นคงต้องไปขอความเห็นจากเสด็จพ่อก่อนจะตัดสินใจทำสิ่งใด ทว่าตอนนี้เขากลับคิดว่า เขาต้องรีบทำอะไรสักอย่างเพื่อชาวบ้านเหล่านี้

หลังจากตัดสินใจแล้ว หนานกงฉีอวิ๋นก็เริ่มสังเกตเครื่องไม้เครื่องมือของชาวบ้านอย่างละเอียด ในหัวก็คิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะทำอย่างไรให้เมล็ดข้าวหลุดออกจากรวงได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น

เขาต้องลองใช้เครื่องมือเหล่านั้นด้วยตนเอง เพื่อทำความเข้าใจหลักการ ทั้งยังคอยสอบถามเกี่ยวกับเครื่องมือที่ใช้ทำไร่ทำสวนจากผู้ใช้งานอีกด้วย

หนานกงฉีอวิ๋นผู้มีผิวกายบอบบาง ผู้ใดเห็นก็ต้องคิดว่าเขาเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ พอเหล่าชาวนาเห็นเขามาช่วยงานก็รู้สึกซาบซึ้ง ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ทำงานอย่างระมัดระวังมากขึ้น

“ทำเช่นนี้แล้วเมล็ดข้าวจะหลุดจากรวงหรือ?”

หนานกงฉีอวิ๋นลองใช้ไม้นวดข้าว แม้มันจะทำจากไม้ แต่ก็ยังหนักมากอยู่ดี เขาผู้ไม่เคยทำงานหนัก ทำได้ไม่เท่าไหร่แขนขาก็ถึงกับอ่อนแรง

“ท่านผู้สูงศักดิ์โปรดวางใจ เรื่องพวกนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่พวกข้าน้อยเถิด พวกข้าน้อยคุ้นเคยกับการทำงานหนักเช่นนี้ขอรับ”

หนานกงฉีอวิ๋นพยักหน้าพร้อมปล่อยมือจากไม้นวดข้าวอย่างว่าง่าย จากนั้นเขาก็เดินไปหยิบไม้อันที่เล็กกว่า และเริ่มตีรวงข้าวที่ผ่านการนวดด้วยไม้นวดข้าวแล้วที่ชาวนาหญิงอีกสองสามคนกำลังทำอยู่

“พวกเจ้าใช้เครื่องมือพวกนี้มาตลอดเลยหรือ?”

“เอ่อคือ… ใช่ ใช่แล้วท่านผู้สูงศักดิ์”

คนที่อยู่ข้าง ๆ เขาตอบเสียงตะกุกตะกักด้วยความประหม่า

หนานกงฉีอวิ๋นพูดถึงข้อเสียของเครื่องมือพวกนี้อย่างตรงไปตรงมา “มันทั้งหนักทั้งใช้งานลำบาก ซ้ำยังทำได้ช้านัก”

บางทีอาจเป็นเพราะหนานกงฉีอวิ๋นอายุยังน้อยและดูเข้าถึงง่าย พอได้ทำงานด้วยกันไปสักพัก คนทั้งสองฝ่ายจึงเริ่มพูดคุยกันอย่างไม่เคอะเขิน และกล้าที่จะตอบคำถามเขาอย่างตรงไปตรงมา

“เหนื่อยก็จริงอยู่ แต่พอได้เห็นข้าวพวกนี้พวกเราต่างก็อิ่มอกอิ่มใจ ไม่ว่าจะเหนื่อยเพียงใดก็มีกำลังใจที่จะทำมันต่อไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่เจ้าค่ะ”

คำพูดนี้ฟังแล้วน่าเศร้าใจยิ่งนัก แต่วิถีชีวิตของชาวบ้านตาดำ ๆ ก็เป็นเช่นนี้

แม้ในวังหลวง หนานกงฉีอวิ๋นจะดูเหมือนไร้ตัวตน แต่นอกจากการที่เขาต้องใช้ชีวิตโดยไม่มีเสด็จแม่คอยปกป้อง และยังลำบากกว่าองค์ชายคนอื่น ๆ อยู่บ้างนั้น ทว่าเขาก็ไม่เคยขาดแคลนอาหารและเครื่องนุ่งห่ม

แม้เขาจะพอรู้คุณค่าของข้าวปลาอาหารจากเหล่าอาจารย์มาบ้างแล้วก็ตาม แต่เขาก็ไม่ได้เข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง

พอได้มาเห็นคนเหล่านี้เห็นคุณค่าของข้าวทุกเมล็ด คอยเก็บพวกมันไม่มีทิ้งขว้าง จึงทำให้เขาเข้าใจถึงคุณค่าของข้าวปลาอาหารได้อย่างถ่องแท้

ข้าวพวกนี้เป็นดั่งชีวิตของพวกเขา

เมื่อคิดได้อย่างนั้นแล้ว หนานกงฉีอวิ๋นก็ตั้งใจหยิบเมล็ดข้าวที่ติดมือออกให้หมด

“พวกเจ้าคิดอยากจะปรับปรุงเครื่องมือเหล่านี้บ้างหรือไม่?”

หนานกงฉีอวิ๋นทั้งทำงานและพูดคุยกับพวกเขาไปพลาง ทำไปได้ครู่ใหญ่ เหงื่อก็เริ่มออก พอผิวบอบบางถูกละอองข้าวและเหงื่อ ร่างกายก็พลันรู้สึกแสบคัน เขาจึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปเกา ผิวบอบบางบนแขนทั้งสองข้างจึงเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที

“ปรับปรุงเครื่องมือ? เครื่องมือพวกนี้จะปรับปรุงได้อย่างไร?”

“จริงด้วยเจ้าค่ะ มันเป็นหน้าที่ของบัณฑิตผู้มีความสามารถ พวกเราไม่มีความรู้ อักษรแม้แต่ตัวเดียวก็อ่านไม่ออก ยิ่งไม่รู้ว่าจะปรับปรุงเครื่องมือได้อย่างไร”

หนานกงฉีอวิ๋นส่ายหัว “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น บัณฑิตส่วนใหญ่ไม่เคยทำงานในไร่ในสวน พวกเขาเองก็คงไม่รู้ว่าจะปรับปรุงมันอย่างไร หากพวกเจ้าเองที่เป็นผู้ใช้งานยังคิดว่าไม่สามารถเปลี่ยนได้ เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าคงต้องใช้เครื่องมือแสนยุ่งยากนี้ต่อไป”

เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินคำพูดเช่นนี้ ในสายตาพวกเขา บัณฑิตทำได้ทุกอย่าง แต่คุณชายท่านนี้กลับบอกว่า บัณฑิตไม่อาจทำได้ทุกอย่าง

“แต่ว่าพวกเราไม่รู้ว่าจะปรับปรุงเครื่องมือเหล่านี้อย่างไร เครื่องมือที่ใช้อยู่ทุกวันนี้มันก็ใช้กันมาหลายชั่วอายุคนแล้ว”

หนานกงฉีอวิ๋น “การนวดข้าวมีหลักการเพียงว่าต้องทำให้เมล็ดข้าวหลุดจากรวงให้หมด การใช้ไม้นวดข้าวนั้นทั้งหนักและเหนื่อย หากใช้งานเป็นเวลานานมือก็เจ็บหลังก็ปวด ต้องก้ม ๆ เงย ๆ อีกทั้งเมล็ดข้าวเหล่านี้จำเป็นต้องเก็บในภาชนะที่สะอาดมิให้สัมผัสพื้น…”

ในขณะที่พูดถึงข้อบกพร่องของการเก็บเกี่ยวข้าว เขาก็เริ่มร่างแบบเครื่องมือที่เขาคาดว่าจะนำมาใช้ทดแทนแบบเดิมไว้ในใจแล้ว

เครื่องมือที่ทำให้คนสามารถยืนฟาดข้าวได้ หากต้องการป้องกันไม่ให้เมล็ดข้าวหล่นพื้น ก็ต้องมีภาชนะที่มีความจุมากพอมารองรับ…

ทันใดนั้นเขาก็ทิ้งไม้ในมือ แล้วหันไปหยิบกิ่งไม้ที่อยู่ใกล้มือที่สุดมาเริ่มวาดภาพบนพื้น ปากก็พึมพำบางอย่างพลางเกาหลังมือและคอเป็นครั้งคราว

“นั่นมัน… ผู้สูงศักดิ์ ข้าน้อยว่าท่านควรจะไปล้างเนื้อล้างตัวด้วยน้ำสะอาด ยิ่งท่านเกา มือท่านจะยิ่งแดง”

หนานกงฉีอวิ๋นส่ายหัว “ไม่ต้องหรอก”

พูดจบเขาก็ตั้งหน้าตั้งตาวาดรูปบนพื้นเงียบ ๆ

คนรอบข้างหันมองหน้ากัน ก่อนจะตัดสินใจตั้งใจทำงานของตนต่อไป ข้าวปีนี้ให้ผลผลิตดีมาก พวกเขาต้องเก็บไปชั่งให้ครบทุกเมล็ด ถึงจะไม่ใช่ข้าวของตน แต่ก็ได้ค่าตอบแทน อีกทั้งการได้เห็นข้าวเต็มรวง เมล็ดอุดมสมบูรณ์ ต่อให้ไม่ใช่ข้าวของพวกเขาเอง แต่เพียงได้รู้ได้เห็นพวกเขาก็สุขใจแล้ว

มิหนำซ้ำพวกเขายังได้ยินมาว่า ต่อไปพวกเขาจะสามารถนำกลยุทธ์ทุ่งนาอุดมสมบูรณ์เพิ่มพูนผลผลิตนี้ไปใช้ได้เช่นกัน

ส่วนการปรับปรุงเครื่องมือที่คุณชายสูงศักดิ์ผู้นี้พูดนั้น พวกเขาคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าจะปรับปรุงเครื่องมือพวกนี้ได้อย่างไร?

อีกอย่างเขายังดูเด็กนัก จะรู้เรื่องพวกนี้จริง ๆ หรือ? ฉะนั้นทุกคนจึงไม่เก็บมาใส่ใจ

หนานกงฉีอวิ๋นหมกมุ่นอยู่ในโลกของตนเอง ขีด ๆ เขียน ๆ ภาพบนพื้นจนมิได้สังเกตว่ามีคนกลุ่มหนึ่งมาเยือน

หนานกงสือเยวียนรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ที่บุตรชายคนที่สามไม่ไปจับปลากับบุตรชายคนอื่น ๆ นั้นเป็นเพราะเขาเลือกที่จะมาช่วยชาวนานวดข้าว ทว่าหนานกงสือเยวียนก็ไม่คิดจะห้าม

พอเห็นบุตรชายนั่งยอง ๆ ขีดเขียนอยู่บนพื้น เขาก็นึกสงสัยจึงพาเสี่ยวเป่าและบุตรชายคนโตมาสังเกตดู เนื่องจากตนเองนั้นว่างพอดี

เห็นว่าบุตรชายคนที่สามจริงจังมากจนไม่ได้สังเกตว่าพวกเขามา ทั้งสามคนจึงไม่ได้ส่งเสียงรบกวนอะไร ทำเพียงมองจากด้านข้างอย่างเงียบ ๆ

เสี่ยวเป่านั่งยอง ๆ ลงข้างพี่สามพลางชะเง้อคอมอง เห็นพี่สามวาดบางอย่างแล้วก็ลบ แล้วก็วาดใหม่อีก ดวงตากลมโตพลันเปี่ยมไปด้วยความสงสัย

มันค่อย ๆ เริ่มเป็นรูปเป็นร่างจนได้ภาพที่เขาพอใจที่สุด ทันทีที่เสี่ยวเป่าเห็น นางก็เบิกตากว้าง

นี่มัน… เครื่องมือที่คนรุ่นหลังใช้นวดข้าวมิใช่หรือ? และมันก็มีชื่อที่ฟังดูโหดร้ายมากอย่าง…ถังฟาดข้าว

แม้ชื่อจะไม่ไพเราะและฟังไม่รื่นหูไปสักหน่อย แต่เครื่องมือนี้ก็ถือเป็นเครื่องมือนวดข้าวที่ดีที่สุดในยุคสมัยหนึ่ง ก่อนที่มันจะเริ่มไม่ค่อยเป็นที่นิยมในเวลาต่อมา!

นางยังไม่เคยพูดถึงสิ่งนี้ให้พี่ชายได้ยินเลยสักครั้ง แต่เขากลับคิดค้นมันขึ้นมาได้ด้วยตนเอง พี่สามเองก็เก่งไม่น้อยเลยนี่นา!

“วิธีนี้น่าจะได้ผล ลองทำดูก็ไม่เสียหาย”

หนานกงฉีอวิ๋นพึมพำหลังวาดเสร็จก่อนจะเงยหน้าขึ้น ทันใดนั้น สายตาเขาก็ปะทะเข้ากับเสด็จพ่อที่ยืนอยู่เบื้องหน้า เขาตกใจแทบสิ้นสติ พร้อมเดินถอยหลังไปสองสามก้าวแล้วล้มก้นกระแทกพื้น

หนานกงสือเยวียน “…”

เขาดูน่ากลัวถึงเพียงนั้นเลยหรือ?

เสี่ยวเป่ายกมือขึ้นโบกไปมาตรงหน้าพี่ชาย “พี่สาม”

ยามนี้ใบหน้าของหนานกงฉีอวิ๋นซีดเซียวไร้สีเลือดฝาด ท่าทางเหมือนหวาดกลัวบางสิ่ง แต่เมื่อเขาได้สติและเห็นว่าเป็นผู้ใดที่อยู่ตรงหน้า ทั่วทั้งใบหน้าเขาพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง และลุกขึ้นทำความเคารพอย่างรวดเร็ว

“ถวายพระพรเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”

ทำตัวขายหน้าต่อหน้าพระพักตร์เสด็จพ่อแล้ว อยากจะมุดดินหนีจริง ๆ

หนานกงสือเยวียนไม่ถือสาเขา เพียงหลุบมองสิ่งที่เขาวาดบนพื้นแล้วเอ่ยถาม “นี่คือสิ่งใดหรือ?”

หนานกงฉีอวิ๋นยังคงหน้าแดงแจ๋เพราะความอาย เขาจึงตอบเสียงตะกุกตะกัก “ละ ลูกคิดค้นเครื่องมือสำหรับนวดข้าวพ่ะย่ะค่ะ”

พูดจบเขาก็เหลือบมองเสด็จพ่อด้วยท่าทางระแวดระวัง เหมือนกลัวว่าผู้เป็นพ่อจะโกรธ

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

Status: Ongoing
จากลูกเป็ดขี้เหร่สู่การเป็นองค์หญิงคนสุดท้องแห่งราชวงศ์ ความน่ารักของซูเสี่ยวเป่าพร้อมจะพิชิตใจทุกคนแล้ว!หลังจากภูตพฤกษาตัวน้อยตายลง นางก็มาเกิดในยุคสมัยโบราณ และหลงคิดไปว่าตนเองเป็นเพียงเด็กลูกชาวบ้านแถบชนบทธรรมดา ๆ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าท่านพ่อที่นางไม่เคยพบหน้ามาก่อนจะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่ปานนี้เขา…ถึงกับเป็นราชาของแผ่นดิน!เสี่ยวเป่าที่อายุเพียงสามขวบถูกพาตัวไปยังพระราชวังทันทีหลังจากที่แม่ของนางสิ้นชีพลง แล้วนางก็กลายเป็นองค์หญิงน้อย สตรีเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางพี่ชายแปดคน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท