บทที่ 174 จ่ายค่าแรงให้พวกเขาเท่าไหร่
บทที่ 174 จ่ายค่าแรงให้พวกเขาเท่าไหร่
ทว่าพระพักตร์ของเสด็จพ่อมักจะเต็มไปด้วยความเย็นชาเรียบนิ่ง ไม่อาจเห็นสีหน้าอื่นใด ราวกับจะไม่มีวันแปรเปลี่ยนเว้นแต่เวลาที่อยู่กับน้องหญิงของเขา
นั่นยิ่งทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกกังวลมากขึ้น
เสี่ยวเป่าจับมือพี่ชายอยู่เงียบ ๆ ดวงหน้าเล็กส่งยิ้มหวานปลอบประโลมเขาจากความหวาดหวั่น
หนานกงฉีอวิ๋นผ่อนคลายลงเล็กน้อย และมองไปทางเสด็จพ่อ รวบรวมความกล้าชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่คิดในหัวออกมา
เมื่อเห็นว่าบิดาฟังอย่างใจเย็นและไม่ได้เอ่ยตำหนิ เขาจึงอธิบายต่อไปเรื่อย ๆ
หลังจากได้ฟังทุกอย่างแล้ว ฝ่าบาทก็รับสั่งกับคนจากกรมโยธาทันที “ก่อนที่การเก็บเกี่ยวข้าวครั้งต่อไปจะเริ่มขึ้น องค์ชายสามจะรับหน้าที่เป็นผู้นำขุนนางกรมโยธารับผิดชอบงานตามแผนการนี้”
ขุนนางกรมโยธาทุกคนตอบรับทันที “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
สิ้นรับสั่งนั้น ทุกสายตาก็จับจ้องไปที่องค์ชายสามเป็นตาเดียว
หนานกงฉีอวิ๋นนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตั้งสติได้แล้วรีบตอบรับเช่นกัน
“พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ!”
องค์ชายสามตื่นเต้นจนใบหน้างดงามเริ่มแดงก่ำ
ไม่ใช่เพราะได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำกรมโยธา แต่เป็นเพราะตอนนี้เขากำลังได้รับการยอมรับจากเสด็จพ่อมากขึ้น
ดวงตาของเด็กหนุ่มแดงก่ำ และมองไปทางน้องสาวตัวน้อยข้างกายอย่างอดไม่ได้
เสี่ยวเป่ายิ้มสดใสให้ นางดูมีความสุขยิ่งกว่าเขาเสียอีก
หนานกงฉีซิวก็ผุดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปากเช่นกัน ก่อนจะเริ่มเอ่ยอย่างชื่นชม ท่ามกลางสายตาเคลือบแคลงของเหล่าขุนนางที่รายล้อมอยู่รอบ ๆ
“น้องสามมีความสามารถในการพัฒนาเครื่องมือมาก นับว่าเป็นพรแก่ราชวงศ์ต้าเซี่ยของเราจริง ๆ”
องค์ชายองค์หญิงทั้งสามชื่นชมกันอย่างดีไม่ได้มีสิ่งใดแอบแฝง แต่การที่ฮ่องเต้มีรับสั่งเช่นนี้ ทำให้ขุนนางทั้งหลายพากันคาดเดาไปว่าองค์ชายสามกำลังเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทเพิ่มขึ้นหรือไม่
หากเสี่ยวเป่าล่วงรู้ความคิดเช่นนี้ของพวกเขา นางคงไม่วายต้องกลอกตามองอย่างไม่พอใจแน่นอน
เดิมทีพี่สามก็ต้องการจะเป็นผู้ออกแบบมันอยู่แล้ว ดังนั้นจะมีใครเหมาะสมกับงานนี้มากกว่าเขาอีก
นาข้าวแปลงนี้ไม่ได้กว้างขวางนัก กินพื้นที่เพียงสามหมู่เท่านั้น หากเทียบกับนาหลวงที่ใหญ่โตกว่าหลายร้อยหมู่แล้วก็เปรียบได้เพียงขนเส้นเล็กของวัวทั้งตัว
ด้วยการร่วมแรงของชาวนาจำนวนมาก ทำให้การเก็บเกี่ยวเป็นไปอย่างรวดเร็ว
วันนี้ตะวันทอแสงแรงกล้าตั้งแต่ยามเช้า ชาวนาผิวคล้ำแดด ใบหน้าเหี่ยวย่นชื้นเหงื่อ ทุกคนทำงานภายใต้อากาศร้อนจัด
แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีแม้สักคนบ่นถึงความเหน็ดเหนื่อย ดวงตาต่างเต็มไปด้วยความแน่วแน่ตั้งใจ เก็บเกี่ยวพืชพรรณอย่างขยันขันแข็ง
ภายใต้พระอาทิตย์ดวงโต ทุกคนเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์เสร็จเรียบร้อยหลังจากเวลาคล้อยบ่าย
เด็ก ๆ ที่มาพร้อมกับผู้ใหญ่ที่บ้านกำลังเก็บเมล็ดข้าวในลานตาก ช่วยกันพลิกเมล็ดข้าวและไล่นกกระจอกที่จะลงมากินอีกด้วย
แม้ว่าชาวบ้านจะทำงานในนาแห่งนี้เพื่อประโยชน์ของตัวเอง แต่ทุกคนก็ยังตั้งใจทำหน้าที่และไม่มีใครหนีกลับไปก่อน
บ่าวรับใช้เตรียมน้ำบ๊วยมาวางไว้ที่ลานตากเมล็ดข้าว หัวหน้าผู้ดูแลนาหลวงเอ่ยเรียกให้บรรดาชาวนาที่มีเหงื่อชุ่ม เดินเข้ามาหยิบถ้วยดินเผาแล้วต่อแถวเพื่อรับน้ำบ๊วยไปดื่ม
พอได้จิบน้ำบ๊วยก็ช่วยให้คลายร้อนได้ อีกทั้งรสชาติหอมหวานยังทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น
ดวงตาของพวกเขาเป็นประกายในทันที เพราะไม่เคยได้ดื่มน้ำบ๊วยเช่นนี้มาก่อน
ยิ่งพวกเด็ก ๆ ดูจะชื่นชอบอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านแม่ นี่มันหวานอร่อยมาก!”
“ท่านปู่ น้ำเปรี้ยวอมหวานนี้ อร่อยมากจริง ๆ”
“ท่านพ่อขอรับ ข้าอยากกินอีก”
พวกผู้ใหญ่เองก็ดูสดชื่นขึ้นเมื่อได้ดื่ม
น้ำบ๊วยเปรี้ยวอมหวาน แม้แต่เสี่ยวเป่ายังชื่นชอบมาก นับประสาอะไรกับคนอื่น ๆ
หัวหน้าผู้ดูแลนาหลวงเอ่ยเสียงดัง “นี่คือรางวัลน้ำใจจากนายท่าน หลังดื่มเสร็จแล้วก็ไปกินมื้อกลางวันกันให้อิ่มหนำ จากนั้นจะได้ไปจับปลาต่อ งานเสร็จเมื่อไหร่จะได้รับค่าแรงทันที”
ทุกคนโห่ร้องด้วยความยินดีและกล่าวขอบคุณซ้ำไปมา บางคนถึงกับขอให้พระโพธิสัตว์อำนวยพรให้นายท่าน มีอายุยืนยาวและอยู่อย่างสงบสุขด้วยความปลาบปลื้มใจ
ใบหน้าของชาวนาทุกคนมีรอยยิ้มพึงพอใจขึ้นมาด้วยเรื่องเรียบง่ายเท่านี้
องค์ชายหลายพระองค์ในห้องได้ยินเสียงโห่ร้องยินดีก็มองออกไปทางหน้าต่าง
ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนเพียงนี้ ระหว่างที่พวกเขาจับปลาในนาข้าวก็ทำให้เกิดอาการคันตามผิวหนัง ซ้ำยังถูกเหงื่อจากการทำงาน ยิ่งทำให้รู้สึกแสบคันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เหล่าชนชั้นสูงผู้ไม่เคยทำงานหนักจึงต้องรีบกลับออกมาตั้งแต่ช่วงเช้า
เวลานี้ ทุกคนอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ และมาทานข้าวกลางวันด้วยกันในห้อง
เมื่อมองไปยังกลุ่มคนผิวคล้ำใบหน้าเปรอะเปื้อนด้านนอก ก็พบว่าพวกเขากำลังดื่มน้ำบ๊วยอย่างมีความสุข จากนั้นก็รับเอาซาลาเปาเนื้อหยาบมากินกับผักดองอย่างเอร็ดอร่อย
ทันใดนั้น ชาวนาบางคนก็อุทานขึ้นมาว่า
“มีเนื้ออยู่ในซาลาเปาด้วย!”
ทุกคนพากันตื่นเต้นทันที บางคนใจร้อนก็แหวกซาลาเปาออกดูไส้ เผยให้เห็นว่ามีเนื้ออยู่ตรงกลางจริง ๆ
“มีเนื้อจริง ๆ ด้วย ขอบคุณท่านผู้ดูแล ขอบคุณนายท่านด้วยขอรับ!”
ครั้งนี้หัวหน้าหมู่บ้านเป็นคนเลือกพวกเขามาทำงานนี้ ตอนแรกเพียงคิดว่าค่าจ้างยี่สิบอีแปะก็เหมือนได้รับโชคก้อนใหญ่แล้ว แต่นี่ยังได้กินน้ำบ๊วยหวานอร่อยกับซาลาเปาไส้เนื้ออีก!
นายท่านบ้านนี้ต้องเป็นเทพเซียนมาโปรดพวกเขาแน่นอน
ไม่เพียงแต่พวกเด็ก ๆ เท่านั้นที่โห่ร้องด้วยความดีใจ ทว่าพวกผู้ใหญ่ก็ยังหน้าแดงก่ำด้วยความยินดีอย่างไม่ปกปิด
ภาพที่เห็นนั้นเต็มไปด้วยความสุข แต่เหล่าองค์ชายกลับรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อยขณะที่มอง
“พวกเขามีความสุขกับเนื้อชิ้นเล็ก ๆ เพียงนั้นเชียวหรือ… นี่ต้องไม่ได้กินเนื้อมานานแค่ไหนกัน”
“เราจ่ายค่าแรงพวกเขาเท่าไหร่นะ”
“ยี่สิบอีแปะต่อคน” หนานกงฉีอวิ๋นตอบทันที เขารู้เรื่องพวกนี้จากการพูดคุยกับเหล่าชาวนาก่อนหน้า
“ว่าไงนะ!!!”
องค์ชายห้าตกใจมากจนอุทานขึ้น “เพียงยี่สิบอีแปะเท่านั้นเองหรือ”
เหรียญทองแดงแค่นั้นจะไปเพียงพอสำหรับใช้จ่ายอะไรได้ เฉพาะขนมที่เขากินเล่นก็ยังมีมูลค่ามากกว่ายี่สิบอีแปะแล้ว
นี่มันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
“พวกเขายอมอาบเหงื่อต่างน้ำทำงานใต้แดดร้อนจัด แต่กลับได้ค่าแรงเพียงยี่สิบอีแปะเท่านั้นเองหรือ เหตุใดจึงน้อยเพียงนี้”
องค์ชายพระองค์อื่นพากันพยักหน้าเห็นด้วย
หลีรุ่นมององค์ชายที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองด้วยสายตาเที่ยงธรรม และส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“องค์ชาย พระองค์ทรงทราบหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ว่าเงินเพียงยี่สิบอีแปะที่น้อยนิดสำหรับพระองค์ คือค่าแรงที่บุรุษในครอบครัวชาวบ้านต้องออกไปทำงานราวสี่ถึงห้าวันเพื่อแลกมา”
“สี่…สี่ห้าวันเชียวหรือ”
เหล่าองค์ชายแทบจะทำเสียงหายไปในลำคอ เงินยี่สิบอีแปะมีค่ามากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ
“ไพร่ฟ้านับสิบล้านในอาณาจักรต้าเซี่ยแห่งนี้อาจมีปัญญาชนอยู่สักหนึ่งในร้อยคน น้อยกว่าห้าคนได้ทำงานราชการ น้อยกว่าสิบคนได้ทำการค้า พ่อค้าเหล่านี้ยังรวมเหล่าพ่อค้าเร่เข้าไปแล้วด้วย ชาวบ้านค้าขายตามท้องถนนที่เหลือส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือ คนที่มีแรงและได้ทำนาก็เป็นเพียงชาวไร่ชาวนาในหมู่บ้านหรือเมืองเล็ก ๆ เท่านั้น ส่วนที่เหลือก็จะถูกขายเป็นทาสด้วยสาเหตุต่าง ๆ
ไม่ว่าจะราชวงศ์ต้าเซี่ยของเราหรือเมืองเล็ก ๆ ที่อื่นโดยรอบนี้ก็ไม่ต่างกัน นอกจากการลงแรงทำไร่ทำนาซึ่งเป็นอาชีพหลักของคนส่วนมากแล้ว ก็ไม่ได้มีงานอื่นให้เลือกทำมากนัก ในสภาพการณ์เช่นนี้ ค่าแรงกำลังคนจึงมีราคาถูกมาก
ชาวนาเหล่านี้อาศัยอยู่ในบ้านใกล้กับนาหลวง มีงานให้พวกเขาทำมากกว่าคนที่อยู่ห่างไกลออกไปเสียด้วยซ้ำ ในที่อื่น ๆ ยังมีคนที่ไม่มีงานให้ทำอยู่อีกมากพ่ะย่ะค่ะ”
แม้ว่าสถานะทางชนชั้นที่ประกอบด้วย ปัญญาชน ชาวนา พ่อค้า จะนับว่าชาวนาเป็นชนชั้นลำดับสอง แต่พวกเขาก็ยังเป็นชนชั้นที่ตรากตรำทำงานหนักอย่างยากลำบากที่สุดอยู่ดี