บทที่ 178 อาเจ็ดของพวกเจ้าถูกรังเกียจแล้ว
บทที่ 178 อาเจ็ดของพวกเจ้าถูกรังเกียจแล้ว
เช้าวันถัดมา ณ ท้องพระโรง เดิมทีทุกคนในที่แห่งนี้ควรจะเปี่ยมไปด้วยความปีติยินดี เพราะผลผลิตที่ได้จากการเก็บเกี่ยวนั้นดีไม่น้อย ทว่ากลับมีบางคนที่ไม่ว่าจะเกิดสิ่งดีงามอันใดขึ้นก็มิอาจเป็นเช่นนั้นได้
เซียวเหยาอ๋องดูดีที่สุดเมื่อยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มชายชราในชุดขุนนางสีเลือดหมู แน่นอนว่าเป็นเขาที่จงใจเอาตนเองไปยืนอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้น เพื่อให้ชายชราในชุดขุนนางแบบเดียวกันส่งเสริมให้ตนดูดีขึ้น
แม้จะง่วงสักเพียงใด เขาก็ไม่ลืมที่จะรักษาภาพลักษณ์ของตัวเอง
หนานกงหลีป้องปากหาวหนึ่งที ก่อนจะยืนประสานมือภายใต้แขนเสื้อกว้าง พลางชำเลืองมองเจ้ากรมพิธีการที่กำลังยืนหน้าตึงอยู่ข้าง ๆ
“เป็นอันใดไปท่านเจ้ากรมพิธีการ ที่จวนเกิดเรื่องขึ้นหรือ? สีหน้าท่านดูเศร้าหมองยิ่งนัก ผู้ใดเห็นก็คงคิดว่าท่านโดนเบี้ยวหนี้”
หนานกงหลีรู้อยู่เต็มอกว่า เหตุใดชายชราถึงได้ทำหน้าอมทุกข์ ได้ชื่อว่าคนของกรมพิธีการย่อมต้องรักษากฎเกณฑ์เป็นที่สุด แต่เมื่อวานนี้ เสด็จพี่กลับออกปากว่าจะแต่งตั้งหลานสาวตัวน้อยของเขาเป็นเจิ้งอีผิน นามองค์หญิงเจาเสวี่ย ตาแก่นี่คงกระวนกระวายใจจนนอนไม่หลับทั้งคืนเป็นแน่
“มิใช่ว่าเซียวเหยาอ๋องทรงทราบอยู่แล้วหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เจ้ากรมพิธีการใต้ตาคล้ำอย่างเห็นได้ชัด เรื่องที่ว่าเมื่อคืนเขานอนไม่ค่อยหลับย่อมเป็นความจริง ยามนี้เขาจึงหงุดหงิด เข้าหน้าผู้ใดก็ไม่ติด
หนานกงหลีหัวเราะเสียงต่ำในลำคอ เห็นอีกฝ่ายใต้ตาดำคล้ำถึงเพียงนี้ เห็นทีงานนี้เขาคงต้องออกโรงสู้รบตบมือกับอีกฝ่ายเพื่อเสี่ยวเป่าหน่อยแล้ว
ยิ่งท่านไม่เห็นด้วย ข้ายิ่งต้องเห็นด้วย หึ ๆ
“โอ้! เหตุใดใบหน้าท่านเจ้ากรมชิวถึงได้มีรอยเช่นนี้เล่า?”
เจ้ากรมมหาดไทย ชิวหมิงร่างได้แต่ทำหน้าถมึงทึงพลางตอบเฉไฉว่า เดินไม่ระวังจึงชนเข้ากับบางสิ่ง
ทว่าต้นเหตุที่แท้จริงกลับเป็นยายแก่ที่บ้าน เหตุเพราะเขานอนพลิกตัวทั้งคืน ฮูหยินจึงอารมณ์เสีย และพลอยนอนไม่หลับไปด้วย จนกระทั่งนางหมดความอดทนจึงลุกขึ้นมาถามเขาว่า เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ จากนั้นเขาก็เล่าเรื่องที่ฝ่าบาททรงพระราชทานพระอิสริยยศแก่องค์หญิงน้อยให้นางฟัง
เดิมทีเขาเพียงอยากขอความเห็นจากภรรยา แต่ผู้ใดเลยจะคิดว่ามันจะนำไปสู่เหตุไม่คาดฝันที่ทำให้เขาต้องอับอายไปอีกนานอย่างการที่จู่ ๆ เขากับภรรยาก็เกิดมีปากเสียงกัน จนเรื่องจบลงที่เขาถูกภรรยาที่กำลังโกรธจัดตบหน้าและถีบลงจากเตียง
นับวันยิ่งกำเริบเสิบสานเข้าไปทุกที!
มาวันนี้รอยตบบนใบหน้าก็ยังไม่จางหาย เป็นเช่นนี้แล้ว เขาจะยังมีหน้าออกมาไปพบปะผู้คนได้อย่างไร!
หนานกงหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “วันนี้ท่านช่างดูโดดเด่นยิ่งกว่าผู้ใด แต่เหตุใดรอยบนใบหน้าท่านถึงได้ดูเหมือนถูกสตรีตบหน้าอย่างไรอย่างนั้น ไม่ทราบว่าท่านเจ้ากรมชิวไปทำเรื่องอันใดให้ภรรยาไม่พอใจอย่างนั้นหรือ?”
ผู้ใดจะไม่รู้ว่าชิวหมิงร่างเป็นพวกกลัวเมีย
ชิวหมิงร่างทั้งโกรธทั้งอายจนหน้าดำหน้าแดง จึงตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีนัก
“เซียวเหยาอ๋องสายตาแหลมคมยิ่งนัก ดูท่าท่านคงถูกผู้หญิงตบหน้าบ่อย ๆ เป็นแน่”
ด้านหนานกงหลีเองก็ไม่ยอมให้อีกฝ่ายเอ่ยวาจาถากถางอยู่ฝ่ายเดียว “หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ สตรีทั้งหลายต่างเฝ้าฝันอยากสัมผัสใบหน้ารูปงามของข้าอย่างทะนุถนอมกันทั้งนั้น ข้าผู้นี้เพียงเคยเห็นผู้อื่นถูกตบมาก่อน ไม่เคยประสบด้วยตนเองเลยสักครา ฉะนั้นรอยบนใบหน้าเจ้ากรมชิวนี้ ข้าจึงดูออกได้อย่างไม่ยากเย็นนัก”
หลังจากยั่วโมโหเจ้ากรมชิวสำเร็จแล้ว หนานกงหลีก็เดินไปก่อกวนคนอื่น ๆ ที่กำลังทำสีหน้าไม่สู้ดีอยู่ จนทำให้ทุกคนมองเขาเหมือนโรคระบาด และรีบหลีกหนีทันทีที่เห็นว่าเขากำลังเดินเข้ามาใกล้
หนานกงหลีส่ายหัวพลางถอนหายใจ ก่อนจะตัดสินใจเดินไปหาองค์ชายใหญ่และองค์ชายสาม
องค์ชายใหญ่มาเข้าร่วมประชุมขุนนางได้ เพราะขาไม่เจ็บแล้ว ส่วนองค์ชายสามนั้นถูกเรียกมาเป็นกรณีพิเศษ เพราะต้องร่วมงานกับกรมโยธา
สองพี่น้องเห็นเสด็จอาเจ็ดเที่ยวเดินเตร่ไปก่อกวนผู้นั้นผู้นี้ โดยไม่มีท่าทีว่าจะสำนึกหรืออับอายต่อการกระทำของตน ผู้เป็นหลานก็ถึงกับมุมปากกระตุก
“เจ้าใหญ่ เจ้าสาม อาเจ็ดของพวกเจ้าถูกผู้คนรังเกียจเสียแล้ว”
หลานชายทั้งสอง “…”
เหตุใดท่านถึงถูกผู้อื่นรังเกียจ ท่านย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจมิใช่หรือ?
“โธ่เอ๊ย! ตาแก่พวกนั้นไม่ชอบใจที่เห็นข้าดูดีกว่า พวกเขาอิจฉาข้า!”
เหล่าตาแก่ที่เขากล่าวถึงได้ยินเช่นนั้น “…”
แต่ละคนได้แต่กำหมัดแน่น!
“ช่างเถิด เป็นข้าเองที่ไม่ยอมมายืนกับพวกเจ้าตั้งแต่แรก แต่หากข้ายืนกับพวกเจ้าแล้ว คงไม่มีผู้ใดหันมาสนใจใบหน้าอันหล่อเหลาของข้าเป็นแน่”
กล่าวจบเขาก็เดินกลับเข้าไปอยู่ท่ามกลางชายชราอีกหน
ทุกคน “…”
อ๊าก! เหตุใดคนผู้หนึ่งถึงไม่รู้จักอายได้ขนาดนี้!
ในขณะที่เหล่าขุนนางเฒ่าใกล้จะสำลักความโกรธเต็มที ฝ่าบาทก็เสด็จมาได้จังหวะพอดิบพอดี
หลังจากถวายความเคารพตามพิธีการแล้ว ทุกคนก็เริ่มหารือเรื่องกิจการบ้านเมือง ปัญหาทั้งหลายไม่ว่าน้อยหรือใหญ่ต่างก็ถูกฮ่องเต้แก้ไขในทันที
“องค์ชายสาม”
หนานกงฉีอวิ๋นก้าวไปข้างหน้า “พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้าร่วมการประชุมขุนนาง องค์ชายสามมีนิสัยขี้อาย ชอบเก็บตัวและไม่ชอบการเข้าสังคมที่ต้องพบปะผู้คนมากหน้าหลายตาเป็นทุนเดิม บัดนี้ กลับต้องมายืนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายที่กำลังจับจ้องเขาเป็นตาเดียว หากบอกว่าตนไม่ประหม่านั้นก็คงเป็นเรื่องโกหก หนานกงฉีอวิ๋นในยามนี้จึงต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไม่ทำการอันใดให้ตนเองต้องขายหน้า
“เนื่องจากองค์ชายสามคิดค้นเครื่องมือที่สามารถนวดข้าวได้เร็วขึ้น เราจึงอยากจะให้เจ้ากรมโยธาร่วมมือกับองค์ชายสามสร้างเครื่องมือดังกล่าวขึ้นมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
เจ้ากรมโยธาก้าวออกไปรับบัญชาทันที “กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
“ลูกน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อถอยกลับมายืนตำแหน่งเดิมแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาของหนานกงฉีอวิ๋นก็เริ่มซีดเซียวลงเล็กน้อย
ทันใดนั้น มืองามประดุจหยกเนื้อดีก็ประทับลงบนหลังมือเขา
“ไม่ต้องกลัว”
น้ำเสียงอ่อนโยนของหนานกงฉีซิวปลอบโยนให้เขาดึงความมั่นใจของตนกลับมาได้สำเร็จ
“ขอบคุณพี่ใหญ่”
เมื่อเห็นว่าการประชุมใกล้จะสิ้นสุดลง ฮ่องเต้ก็ตรัสแจ้งว่าผลผลิตจากการเก็บเกี่ยวข้าวในนาหลวงนั้นได้ผลผลิตดีไม่น้อย เป็นเหตุให้ผู้คนในท้องพระโรงต่างก็รู้สึกปลาบปลื้มยินดี
โดยเฉพาะฝ่ายขุนนางบู๊และขุนนางหนุ่มจิตใจเร่าร้อนฮึกเหิม
ขุนนางบู๊เหล่านี้ต่างก็เคยร่วมเป็นร่วมตายกับหนานกงสือเยวียนมาแล้ว แต่ละคนต่างก็มีข้อดีข้อเสียมากน้อยแตกต่างกันไป ทว่าพวกเขาล้วนห่วงใยทหารในการปกครองของตนเองกันทั้งนั้น
ปกติแล้ว ผลผลิตที่ได้จากการเก็บเกี่ยวข้าวและข้าวสาลีจะส่งผลต่อเสบียงของกองทัพ เมื่อได้ผลผลิตดีเช่นนี้ก็ย่อมเป็นผลดีต่อพวกเขา
สำหรับขุนนางรุ่นใหม่ที่ผ่านเข้ามาจากการสอบจอหงวน และเพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้เพียงไม่กี่ปี ด้วยหนานกงสือเยวียนเป็นฮ่องเต้ที่เอาการเอางาน การคัดเลือกขุนนางจึงไม่ได้มุ่งหาบัณฑิตที่ทำได้เพียงแต่งกาพย์กลอน เขียนบทกวีได้เท่านั้น แต่ต้องเป็นคนหนุ่มที่กระตือรือร้น รู้และเข้าใจกิจการบ้านเมือง การปกครอง รวมถึงการเกษตร
พวกเขายังไม่คล้อยตามอำนาจทั้งหลายในราชสำนักนี้ ทั้งหมดล้วนมีความปรารถนาอันแรงกล้าเช่นเดียวกันคือการทำประโยชน์เพื่อราษฎร พอรู้ว่าประชาชนสามารถเพิ่มผลผลิตสร้างรายได้ได้มากขึ้น พวกเขาย่อมต้องร่วมยินดีเป็นธรรมดา
เดิมที เสนาบดีเฒ่าทั้งหลายควรจะร่วมชื่นชมยินดีด้วยเช่นกัน ทว่าผู้ใดใช้ให้เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับองค์หญิงน้อยเล่า? อีกทั้งวันก่อนฮ่องเต้ยังรับสั่งว่าจะแต่งตั้งองค์หญิงน้อยขึ้นเป็นองค์หญิงเจาเสวี่ยขั้นหนึ่ง
บัดนี้ ฝูไห่กางม้วนพระราชโองการ และประกาศให้ผู้คนในท้องพระโรงรับรู้โดยทั่วกัน
เจ้ากรมพิธีการผู้คร่ำครึไม่ยอมเปิดใจรับสิ่งใหม่ขยิบตาให้ขุนนางผู้หนึ่ง
ทันทีที่ได้สัญญาณ ขุนนางผู้นั้นก็ก้าวออกไปทันที
“ฝ่าบาท แต่ไหนแต่ไรมายังไม่เคยมีองค์หญิงได้รับพระราชทานพระอิสริยยศตั้งแต่ยังไม่อภิเษกนะพ่ะย่ะค่ะ พระราชประสงค์ของฝ่าบาทไม่เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาล ฝ่าบาทโปรดถอนรับสั่งด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
หนานกงสือเยวียนยังคงนิ่งเฉย “เช่นนั้นวันนี้ก็มีแล้ว”
“ฝ่าบาท บ้านเมืองมีกฎหมาย บ้านเรือนมีกฎบ้าน องค์หญิงจะได้รับการแต่งตั้งก็ต่อเมื่ออภิเษกสมรสแล้วเท่านั้น ทว่ายามนี้องค์หญิงเก้าทรงเจริญพระชนมายุเพียงสามปี จะแต่งตั้งเป็นองค์หญิงเจาเสวี่ยได้อย่างไร กระหม่อมเห็นว่าไม่เหมาะสม ฝ่าบาทโปรดถอนรับสั่งด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงหลีเป็นคนแรกที่ก้าวออกมาโต้เถียง
“เหตุใดจะไม่เหมาะสม? แม้ผู้ที่เสนอกลยุทธ์ทุ่งนาอุดมสมบูรณ์เพิ่มพูนผลผลิตนี้เป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดา ก็ยังสมควรได้รับรางวัล แต่พอเป็นองค์หญิงเก้าแล้วเหตุใดถึงไม่เหมาะสม? ท่านก็อายุปูนนี้แล้วยังคิดรังแกเด็กสามขวบ ไม่อายบ้างหรือ”
“เซียวเหยาอ๋องอย่าได้พยายามเถียงข้าง ๆ คู ๆ เลย กระหม่อมไม่ได้บอกว่าฝ่าบาทไม่ควรพระราชทานรางวัลให้แก่องค์หญิงเก้า เพียงแต่กฎมณเฑียรบาลกำหนดไว้ว่า องค์หญิงจะได้รับพระราชทานพระอิสริยยศก็ต่อเมื่ออภิเษกสมรสแล้วเท่านั้น นี่มันผิดกฎมณเฑียรบาล!”
“มีกฎมณเฑียรบาลข้อใดที่บัญญัติไว้ว่า องค์หญิงจะได้รับพระอิสริยยศก็ต่อเมื่ออภิเษกสมรสแล้วเท่านั้น หากเจ้าสามารถหากฎข้อนั้นมายืนยันได้ ข้าจะไม่เถียงท่านอีกแน่นอน”
“นี่ท่าน…”