บทที่ 202 ทำออดอ้อนเสียได้
บทที่ 202 ทำออดอ้อนเสียได้
หนานกงฉีโม่จ้องมองสตรีที่จับแขนของตนไว้ เสด็จแม่ของเขาไม่เคยจนตรอกและมีสภาพย่ำแย่เช่นนี้มาก่อน
นางสวมชุดไว้ทุกข์สีขาวเรียบง่าย เพราะถูกกักบริเวณ ถูกถอดพระยศกุ้ยเฟย และถูกส่งตัวกลับมายังจวนเซวียนผิงโหว โดนกระทำเป็นลูกโซ่เช่นนี้ทำให้นางไม่หลงเหลือความทะนงตนอีก
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าบทลงโทษที่เสด็จพ่อประทานให้แก่นาง ล้วนแต่เป็นการพุ่งเป้าไปที่จุดอ่อนของนางทั้งสิ้น ทำลายความหวังของนางทีละน้อย
สิ่งที่หลี่เซียงอี๋ให้ความสำคัญมากที่สุดคืออำนาจ ฐานะและความภาคภูมิใจ และบัดนี้นางไม่หลงเหลือสิ่งใดแล้ว ทุกอย่างล้วนสูญสลายไปจนสิ้น
“เสด็จแม่ พวกเราเข้าไปข้างในก่อนเถิด”
นัยน์ตาเรียวยาวของหนานกงฉีโม่แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มราวกับว่าเป็นคนใจกว้าง แต่นั่นก็เป็นแค่รอยยิ้มเสแสร้ง ต่อให้คนตรงหน้าจะเป็นเสด็จแม่ของเขาก็ตาม
“ได้ ๆ เจ้าเข้าไปหาท่านยายนะ เสร็จแล้วพวกเราก็รีบไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทกัน”
หลี่เซียงอี๋พยักหน้าถี่ ๆ ทั้งยังจับแขนหนานกงฉีโม่ไว้แน่นไม่ยอมปล่อยราวกับคว้าต้นหญ้า*[1]ก็ไม่ปาน
ช่างเป็นความรักที่เห็นแก่ตัวเสียจริง…
มุมปากของหนานกงฉีโม่เผยรอยยิ้มเย็นชา ยามนี้ในสายตาของนางสนเพียงว่าจะกลับคืนสู่ตำแหน่งกุ้ยเฟยได้อย่างไร ไม่สนแม้กระทั่งมารดาที่นอนไม่ไหวติงอยู่ภายในห้องโถง
สมกับเป็นสายเลือดสกุลหลี่ สืบทอดความชั่วช้าเลวทราม ทั้งยังเห็นแก่ตัวได้อย่างไร้ที่ติ
ขณะที่หนานกงฉีโม่กำลังเดินไปยังโถงเคารพพระศพ ข่าวที่องค์ชายรองกลับมาถึงเมืองหลวงก็ราวกับติดปีก เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วยามคนทั้งตระกูลก็รู้เรื่องกันทั่ว
ทุกคนต่างพากันตั้งความหวัง ไม่รู้ว่าพอองค์ชายรองกลับมาแล้ว จวนเซวียนผิงโหวจะเป็นเช่นไรต่อไป
หลังจากคำนับไท่จ่างกงจู่แล้ว หนานกงฉีโม่ก็ถูกลากไปยังเรือนด้านในทันที
ในเวลาเช่นนี้ จวนเซวียนผิงโหวไม่ได้สนใจดูแลแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน อย่างไรเสียด้วยสถานการณ์ของพวกเขาในตอนนี้เองก็ไม่ใช่คนสำคัญอะไรอีกแล้ว
เซวียนผิงโหวเก็บงำความแค้นนี้อยู่ในใจ รอดูไปเถิด จวนเซวียนผิงโหวผงาดขึ้นอีกครั้งเมื่อไหร่ เขาจะตอบแทนความอัปยศอดสูที่ตนต้องเผชิญอย่างสาสม!
“องค์ชายรอง ท่านต้องขอความเมตตาให้พวกเรานะ ที่องค์หญิงถูกผลักตกน้ำไม่ได้เป็นฝีมือของพวกเรา แม้ญาติผู้น้องของท่านจะโอหังไปบ้าง แต่นางไม่มีทางกล้าทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าเช่นนั้นแน่!”
พูดไปก็พลางลอบมองน้องสาวของตนไปด้วย เขากัดฟันกรอดอย่างเคียดแค้น หากไม่ใช่เพราะน้องสาวตัวดีของเขาเป็นคนก่อเรื่อง จวนเซวียนผิงโหวจะมีสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร!
ทว่าหลี่เซียงอี๋ไม่เห็นสายตามุ่งร้ายของเขาเลยสักนิด ไม่แม้แต่ปรากฏท่าทางร้อนตัวให้เห็น บัดนี้นางสนเพียงว่าตนเองจะได้กลับเข้าวัง และกลับสู่ฐานะเดิมอย่างที่เคยเป็นมาหรือไม่
“ลูกแม่ เจ้ารีบไปทูลเสด็จพ่อเร็วเข้าเถิด ข้าต้องกลับวัง ข้าเป็นพระสนม มาอาศัยอยู่บ้านมารดานาน ๆ มันผิดธรรมเนียม”
เนื่องจากนางใช้การออกคำสั่งกับบุตรชายของตนมาโดยตลอด แม้ยามนี้นางจะตกต่ำลง แต่ก็มิอาจเปลี่ยนนิสัยนี้ได้
หลี่เซียงอี๋คิดว่าบุตรชายจะเชื่อฟังตนเองเหมือนเดิม
หนานกงฉีโม่กวาดสายตามองการแสดงของพวกเขาทุกคน “ได้พ่ะย่ะค่ะ วันนี้ข้าจะกลับวังไป ‘ทูล’ กับเสด็จพ่อให้”
พวกเขาต่างนึกว่าหนานกงฉีโม่รับปากจะช่วยเหลือ แต่กลับไม่เห็นว่าสายตาของเขานั้นน่าหวาดหวั่นเพียงใด
หลังจากนั้น ทุกคนในจวนเซวียนผิงโหวก็เอาแต่ประจบสอพลอเขาด้วยวิธีต่าง ๆ นานา
หนานกงฉีโม่ดื่มสุราไปสองจอก ดวงตาฉายแววรำคาญ
เขารอจนครบหนึ่งชั่วยาม จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนพร้อมพูดว่า “ข้าขอตัวก่อน”
พูดจบ เขาก็จากไปอย่างไม่เหลียวหลังโดยไม่สนใจคำทักท้วงให้อยู่ต่อ เมื่อพ้นจากจวนเซวียนผิงโหวแล้วก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ บรรยากาศข้างในทำเอาเขารู้สึกอึดอัดจนน่าหงุดหงิด
“กลับจวนจิ้นอ๋อง”
ชายหนุ่มก้าวขึ้นรถม้า เมื่อนึกถึงพี่ใหญ่กับเสี่ยวเป่าที่รออยู่ที่จวนจิ้นอ๋อง หนานกงฉีโม่ก็พลันอารมณ์ดีขึ้นทันตา
เขานั่งพิงหน้าต่างอย่างเกียจคร้าน ทันใดนั้นก็มองเห็นถังหูลู่และเกาลัดคั่วที่ขายอยู่ริมทาง จึงเรียกให้คนขับรถม้าลงไปซื้อ
เสี่ยวเป่าชอบกินขนมพวกนี้ที่สุด
เจ้าก้อนแป้งนั่งอยู่บนม้านั่งหน้าทางเข้าจวนจิ้นอ๋อง มือจ้ำม่ำน้อย ๆ ทั้งสองข้างเท้าคาง ดวงตากลมโตสดใสมองไปที่ถนนอย่างรอคอย ทำปากจู๋พลางเป่าลมเล่นไปด้วย
เจ้าลูกหมาสองตัวนอนหมอบแทบเท้านาง ตัวหนึ่งดูน่ารักไม่มีพิษมีภัย ส่วนอีกตัวมีท่าทางดุร้ายและไม่เป็นมิตร
สิ่งมีชีวิตตัวน้อย ๆ น่ารักปุกปุยทั้งสามดึงดูดสายตาของผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาราวกับภูตหิมะก็ไม่ปาน
รูปร่างหน้าตาของเด็กหญิงตัวน้อยราวกับสวรรค์ประทานพร ให้ความรู้สึกคล้ายกับเด็กน้อยบนภาพวาดวันปีใหม่
“องค์หญิง พวกเราเข้าไปรอข้างในเถิดเพคะ”
ชุนสี่ในชุดสาวใช้ยืนอยู่ด้านหลังเสี่ยวเป่า องค์หญิงรออยู่ด้านนอกมาสักพักแล้ว ตอนนี้อากาศเริ่มเย็นแล้วหากเป็นหวัดขึ้นมาคงไม่ดีแน่
“รอก่อน เสี่ยวเป่าจะรอต่ออีกหน่อย”
เด็กน้อยเอามือลูบเจ้าก้อนขนทั้งสองตัว พลางเอียงคอทอดมองไปยังสุดปลายถนน และครั้งนี้นางมองเห็นรถม้าอันคุ้นเคย นัยน์ตาพลันฉายประกายสดใสขึ้นมาทันที
“พี่รองกลับมาแล้ว!”
เสี่ยวเป่าลุกขึ้นยืนด้วยความรวดเร็ว และวิ่งก้าวสั้น ๆ ตรงเข้าไปหา
“องค์ชายรอง องค์หญิงน้อยวิ่งมาทางนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“หยุดรถ”
ยังไม่ทันจะถึงจวนจิ้นอ๋อง เมื่อได้ยินว่าเสี่ยวเป่ากำลังวิ่งเข้ามา เขาก็รู้แน่ชัดแล้วว่าน้องสาวกำลังรอตนอยู่
ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปาก นัยน์ตาเรียวยาวปรากฏรอยยิ้มฉายชัด ครานี้เป็นรอยยิ้มชวนหลงใหลที่ออกมาจากส่วนที่ลึกที่สุดในดวงตา
“พี่รอง พี่รอง~~~”
เสี่ยวเป่าวิ่งไปพลางร้องตะโกนไป เสียงนุ่มนิ่มอ่อนหวานไพเราะน่าฟังยิ่ง
หนานกงฉีโม่ก้าวลงจากรถม้า และคว้าเจ้าก้อนแป้งที่พุ่งมาทางเขาราวกับลูกระเบิดน้อย ๆ เอาไว้
“รอนานหรือไม่?”
เขาบีบแก้มขาวนวลทั้งสองข้างจนริมฝีปากบางยืดออก เผยให้เห็นฟันซี่ขาวที่เรียงตัวเป็นระเบียบ
“ไม่นานเยย”
เสี่ยวเป่าพูดไม่ชัดเพราะกำลังถูกดึงแก้มเล่น
แล้วหนานกงฉีโม่ก็หยิบถังหูลู่สามไม้กับเกาลัดคั่วอีกหนึ่งห่อออกมา
“ถังหูลู่กับเกาลัดคั่ว!”
เด็กน้อยรู้สึกประหลาดใจ ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับจ้องมองขนมในมือพี่ชาย พร้อมกับเขย่งเท้าเพื่อเอื้อมไปหยิบมัน
หนานกงฉีโม่คิดอยากจะแกล้งนางเล่น พอนางเขย่งตัวเขาก็ชูมันให้สูงขึ้นอีก
“ท่านพี่ พี่รองนิสัยไม่ดี!”
ทันใดนั้น เจ้าก้อนแป้งนุ่มนิ่มก็กลายร่างเป็นปลาปักเป้าตัวน้อย นางจับนิ้วมืออีกข้างของเขา จากนั้นก็กัดเข้าไป
เด็กเล็กงับนิ้วมือของพี่ชายราวกับลูกหมาน้อย แววตาดุดันแบบเด็กน้อยจ้องเขม็ง
น่าเสียดายที่ดวงตากลมโตคู่งามนี้ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกลัวเลยสักนิด
“เหตุใดถึงอ้อนเสียเล่า?”
หนานกงฉีโม่เลิกคิ้วพลางยิ้มกริ่ม
เสี่ยวเป่า: ไม่ได้อ้อนเสียหน่อย ไม่ใช่นะ!!!
“เอ้า เรียกพี่รองแล้วจะให้ถังหูลู่หนึ่งชิ้น”
เสี่ยวเป่าปล่อยนิ้วที่กำลังงับในทันที จากนั้นก็ใช้น้ำเสียงอ่อนหวานน่าฟังเรียกพี่ชายอยู่หลายที
“พี่รอง พี่รอง พี่รอง…”
ให้ทำท่าทางออดอ้อนน่ารักเช่นนี้ เสี่ยวเป่าเชี่ยวชาญที่สุดแล้ว
ร้องเรียกจนพอใจ หนานกงฉีโม่ก็ยื่นถังหูลู่ให้นางหนึ่งไม้
“ใช้ได้ นี่รางวัลของเจ้า”
เสี่ยวเป่าถือถังหูลู่พลางยิ้มแป้นอย่างมีความสุข นางก้มหน้าก้มตาเลียน้ำตาลเคลือบบนถังหูลู่อย่างขะมักเขม้นสุดขีด ส่ายหัวน้อย ๆ ด้วยความดีอกดีใจ ดูมีความสุขยิ่งกว่าผู้ใดในโลกนี้
ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้กิน แต่นางกินเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักเบื่อ ขอแค่มีของกินอยู่ในมือ นางก็จะกินมันด้วยความตั้งอกตั้งใจ ทั้งยังไม่เสียของแม้แต่นิดเดียว
หนานกงฉีโม่ดึงหัวน้อย ๆ ของนาง “ไม่มีใครแย่งเจ้ากินเสียหน่อย”
เสี่ยวเป่าส่งสายตาให้เขาเป็นเชิงว่า ‘ท่านไม่เข้าใจหรอก’
ลองให้ท่านได้แต่น้ำลายไหลเพราะอยากกินของอร่อย แต่ก็กินไม่ได้ตั้งหลายร้อยปีดูบ้างสิ!
[1] คว้าต้นหญ้า (救命稻草) หมายถึง ความหวังสุดท้ายหรือที่พึ่งสุดท้าย