บทที่ 206 องุ่นป่า
บทที่ 206 องุ่นป่า
หนานกงฉีซิวได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มในดวงตาก็ยิ่งชัดเจนขึ้น เขาวางหมากในมือลงและตบบ่าน้องชาย
“โตขึ้นแล้วนะ”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูชื่นใจอย่างมาก
หูของหนานกงฉีโม่แดงก่ำ เขาตอบกลับอย่างแช่มช้าว่า “ท่านก็ไม่ได้โตไปกว่าข้าสักเท่าไหร่หรอก”
สองพี่น้องเล่นหมากล้อมพลางพูดคุยกันสนุกสนาน โดยที่ไม่รู้เลยว่าคนที่จวนเซวียนผิงโหวกำลังรอข่าวจากเขาใจจดใจจ่อจนจะกลายเป็นบ้าอยู่รอมร่อ
ชายหนุ่มเอ้อระเหยลอยชายกว่าจะมาถึง แต่ว่านอกจากหลี่เซียงอี๋แล้ว ไม่มีผู้ใดกล้าสู้หน้าเขาเลยสักคน
“องค์ชายรอง!”
“องค์ชายรองมาได้เสียที รีบเข้ามานั่งข้างในเถิด”
หนานกงฉีโม่กึ่งยิ้มมองดูพวกเขา “ทุกท่านมาล้อมข้าทำอันใด? โถงไว้ทุกข์ขององค์หญิงไท่จ่างต้องการคนดูแลนะ”
เซวียนผิงโหวตัวแข็งทื่อ “อืม…ไปสิ ข้าจะสั่งให้คนไปคอยดูแลเดี๋ยวนี้”
หลี่เซียงอี๋นั่งอยู่บนที่นั่งของเจ้าบ้าน ใบหน้าบึ้งตึงดูไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่หนานกงฉีโม่เหลือบมองนางเพียงแวบเดียว จากนั้นก็ไม่หันไปมองอีก ยิ่งทำให้นางรู้สึกหงุดหงิดกว่าเดิม
“องค์ชายรอง ท่านกราบทูลฝ่าบาทได้ความเช่นไรบ้าง?”
หนานกงฉีโม่ยกชาขึ้นจิบเพื่อปิดซ่อนรอยยิ้มเหยียดหยามที่มุมปาก
“เสด็จพ่อตรัสว่า เขาตัดสินพระทัยแล้ว”
เขาไม่พูดส่วนที่เหลือ เซวียนผิงโหวกระวนกระวายเอาแต่ซักไซ้ว่ามันหมายความเช่นไรกันแน่
“ท่านลุง ท่านไม่ออกไปที่เรือนหน้าหรือ อย่าทำให้องค์หญิงไท่จ่างคิดว่าท่านไม่กตัญญูจนลุกออกจากโลงมาบีบคอท่านเชียว”
เซวียนผิงโหวที่รู้สึกละอายใจต่อองค์หญิงไท่จ่างเป็นทุนเดิมตกใจกลัวจนเหงื่อท่วม “ข้า…ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
มีแต่ผีเท่านั้นที่รู้ว่าเขาไม่กล้าแม้แต่จะเฝ้าร่างของมารดาในเวลากลางคืน ร้อนรุ่มกลุ้มใจกลัวว่าจะเจอผีเข้าจริง ๆ
ในเวลาเช่นนี้ ยังมาโดนหนานกงฉีโม่ขู่ให้กลัวจนไม่มีอารมณ์สนใจเรื่องอื่นอีก ได้แต่ลุกเดินออกไปเหมือนเป็นวัวสันหลังหวะ*[1]
“ข้าจะได้กลับไปเมื่อใด?”
เมื่อเซวียนผิงโหวไปแล้ว หลี่เซียงอี๋ก็เอ่ยถามหนานกงฉีโม่ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
ชายหนุ่มใช้นิ้วแตะขอบถ้วยชาเล่น “เสด็จพ่อตรัสว่าจะจัดการเรื่องของท่านหลังจากที่ฝังร่างขององค์หญิงไท่จ่างแล้ว”
ใบหน้าของหลี่เซียงอี๋บิดเบี้ยวในบัดดล นางคว้าถ้วยชาที่อยู่บนโต๊ะมาเขวี้ยงใส่เขา
หนานกงฉีโม่เพียงเบี่ยงตัวหลบ ถ้วยใบนั้นเฉียดหน้าเขาไปชนเข้ากับเสาจนแตกกระจาย
“เจ้าไม่ได้พยายามเลยหรือ! รู้หรือไม่ว่าคนข้างนอกพูดถึงแม่เจ้าเช่นไร พวกชั้นต่ำนั่นมันบอกว่าข้าถูกฝ่าบาททอดทิ้ง แม้แต่วังหลวงก็ยังไม่ให้ข้ากลับเข้าไป! เหตุใดเจ้าถึงไม่รีบคิดหาวิธีให้ฝ่าบาทพระราชทานอนุญาตให้ข้ากลับไป หรือว่าเจ้าอยากจะเห็นพวกข้างนอกนั่นหัวเราะเยาะข้า? แล้วเจ้าเล่า? เจ้าเป็นลูกชายของข้า พวกเขาเหยียดหยามข้าก็เท่ากับกำลังเหยียดหยามเจ้า!”
หนานกงฉีโม่แค่นหัวเราะเสียงต่ำ นัยน์ตาเรียวยาวคู่นั้นสะท้อนภาพของเสด็จแม่ที่กำลังอาละวาดอย่างบ้าคลั่ง ไร้ซึ่งการหักห้ามใจและไม่หลงเหลือท่วงท่าสง่างามดังก่อนเก่า สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นเพียงเปลือกนอก
“ข้าไม่สน”
จบคำชายหนุ่มก็ลุกเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงหลี่เซียงอี๋ที่สาปแช่งไล่หลังด้วยความอาฆาตพยาบาท ปลดเปลื้องคราบพระสนมจนไม่เหลือชิ้นดี
…
วันนี้เสี่ยวเป่าเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี นางพาคนมาเป็นจำนวนมากและ…สุนัขที่ลักเอามาอีกสองตัว
เด็กหญิงเดินเล่นในทุ่งนาของชาวบ้านละแวกนั้น ขากลับก็ลักพาสุนัขสองตัวของนายพรานกลับมาด้วย
เจ้าของสุนัขตกใจจนร้องไม่ออก สุนัขล่าเนื้อตัวโตดุร้ายที่เขาเลี้ยงไว้ นอกจากเขาแล้ว ยามปกติไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ แต่ผู้ใดจะไปคิดว่าพอพวกมันเห็นเด็กหญิงตัวน้อยก็วิ่งตามติดแจราวกับเห็นกระดูกอันโอชะ และที่สำคัญเจ้านายอย่างเขาเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมกลับมาเสียด้วย
เสี่ยวเป่าเผยรอยยิ้มอ่อนหวานใสซื่อ “ท่านลุงเจ้าคะ สุนัขของท่านชอบเสี่ยวเป่า ข้าขอยืมพวกมันหนึ่งวันได้หรือไม่เจ้าคะ?”
ปากน้อย ๆ พูดไปพลาง ส่วนมือขาวผ่องก็ลูบหัวของเจ้าสุนัขตัวโตทั้งสองไปพลาง
“โฮ่ง ๆ!”
นายพรานผู้นั้นยืนมองสุนัขล่าเนื้อที่มักจะวางท่ามาดขรึมเมื่อเจอผู้คน บัดนี้กลับกระดิกหางเป็นพัลวันให้เด็กน้อย เขาจ้องมองพวกมันโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ
“ข้าขอถามคุณหนูว่าจะพาพวกมันขึ้นเขาหรือ?”
เสี่ยวเป่าพยักหน้า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ”
“ข้าน้อยใคร่ขอถามว่าจะขอขึ้นเขาไปกับพวกของคุณหนูด้วยได้หรือไม่ มิฉะนั้น ข้าน้อยก็มิอาจวางใจได้”
เขารู้ว่าที่นาแถบนี้เป็นของตระกูลขุนนางชั้นสูง การแต่งกายของคุณหนูท่านนี้ก็ดูดีมีชาติตระกูล ซ้ำยังมีคนคอยคุ้มกันอยู่ข้างกาย…
แม้จะไม่อยากหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว แต่ว่าสุนัขของเขา…
พอคิดมาถึงตรงนี้เขาก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ กลับไปเมื่อไหร่จะเฆี่ยนพวกมันให้เข็ดหลาบเลยเชียว!
“ได้เจ้าค่ะ!”
เสี่ยวเป่าจึงมีคนมาเข้าร่วมขบวนเพิ่มอีกหนึ่งและสุนัขล่าเนื้ออีกสอง
เมื่อเห็นต้นซู่เหมย นางก็โบกมือน้อย ๆ ให้คนสองคนรั้งอยู่ที่นี่เพื่อเก็บพวกมัน ส่วนคนที่เหลือมุ่งหน้าไปต่อ
ต้นลูกพลับสูงใหญ่ แต่ละต้นออกดอกผลไขว้กันจนกิ่งที่แน่นขนัดไปด้วยลูกพลับโค้งงอลงมา
ในที่สุดก็เก็บลูกพลับมาจนหมดเหลือเพียงส่วนยอดของต้นเอาไว้
ลูกพลับที่เหลือบนต้นเพียงพอให้พวกนกที่อาศัยในป่าได้กิน ทั้งยังไม่สิ้นเปลืองทรัพยากรด้วย
เมื่อเก็บเสร็จแล้วก็สั่งให้คนลำเลียงพวกมันลงจากภูเขา
เสี่ยวเป่าพาเจ้าสุนัขสองตัววิ่งเล่นในป่าอย่างสนุกสนาน นายพรานกับพวกองครักษ์เองก็รีบตามไปติด ๆ
ในระหว่างนั้นก็ได้พบผลไม้ป่าชนิดอื่นอยู่ไม่น้อย เสี่ยวเป่ากินไปพลางเดินหาไปพลาง จนท้องน้อย ๆ เริ่มรู้สึกอิ่ม
“ว้าว!!!”
แต่แล้วจู่ ๆ พวกองครักษ์ก็ได้ยินเสียงเด็กร้องด้วยความตกใจ จึงรีบเร่งวิ่งตามไปด้วยคิดว่าเกิดเรื่องขึ้นกับองค์หญิง
ทว่าที่ไหนได้ เสี่ยวเป่าในตอนนี้กำลังดีอกดีใจที่ได้เห็นต้นองุ่นป่าทอดยาวอยู่ตรงหน้าทั้งยังไม่มีเจ้าของ นางกระโดดโลดเต้นดีใจเป็นที่สุด
“รีบมาเร็ว มาเก็บองุ่นกัน!”
หากเปรียบกับสุราผลไม้ชนิดอื่นแล้ว ผลไม้ที่เหมาะนำมาหมักสุรามากที่สุดย่อมเป็นองุ่นอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งเหล้าองุ่นมีรสชาติหอมหวาน นางอยากหมักเหล้าองุ่นมานานแล้ว แต่ช่วยไม่ได้ที่องุ่นที่เสี่ยวเป่าปลูกต้องรอจนถึงปีหน้าจึงจะเก็บเกี่ยวได้ ทั้งยังมีไม่มากด้วย
เสี่ยวเป่ามององุ่นป่าที่ขึ้นอยู่ตรงหน้าราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า ทันทีที่นึกถึงเหล้าองุ่น นางก็ฉีกยิ้มกว้างจนแก้มแทบปริ
“คุณหนู องุ่นป่าพวกนี้เปรี้ยวมาก ท่านลองชิมดูก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะเก็บดีหรือไม่?”
นายพรานมีสีหน้าตะลึงงัน คุณหนูผู้นี้เป็นลูกสาวคนใหญ่คนโตไม่ผิดแน่นะ? ก็แค่ผลไม้ป่าเหตุใดต้องดีใจถึงเพียงนี้ด้วย
ทว่าสิ่งที่ไม่เข้าใจที่สุดก็คือนางเพิ่งจะตัวน้อยแค่นี้ ทั้งยังเป็นเด็กผู้หญิง เหตุใดพ่อแม่ถึงได้วางใจปล่อยให้นางขึ้นเขามาได้! ไม่รู้หรือว่าบนเขานี้มีพวกสัตว์ป่าอยู่!
เสี่ยวเป่าเด็ดองุ่นหนึ่งเม็ดหวังจะลองชิม องุ่นนี้มีสีม่วง ลูกเล็กดูแล้วเย้ายวนใจไม่เบา แต่ก็เอาเข้าปากอยู่ดี
องุ่นเปรี้ยวจริงอย่างที่ว่า แม้จะหวานอยู่บ้าง แต่รสเปรี้ยวนำเสียส่วนใหญ่
เสี่ยวเป่ากินเม็ดเดียวก็เปรี้ยวจนตาหยี
“เก็บ!”
เวลาหมักสุราก็เติมน้ำตาลให้มากหน่อย!
นายพราน “…”
เปรี้ยวเสียขนาดนั้นยังจะเก็บอีกหรือ เก็บมาแล้วจะให้ผู้ใดกินเล่า
พวกลูกผู้ดีมีเงินเอาแต่ใจอย่างที่คิดเลย
จากนั้นทุกคนก็เริ่มงานกันอย่างขยันขันแข็ง
อันที่จริง ช่วงนี้ผ่านพ้นฤดูเก็บเกี่ยวองุ่นไปแล้ว บนพื้นดินจึงมีองุ่นป่าสุกงอมที่หล่นจากต้นอยู่มากมาย
แต่องุ่นป่าก็มีขนาดเล็กและมีน้ำหนักไม่มาก ทั้งยังมีองุ่นอีกมากมายห้อยอยู่บนเถาของต้นองุ่น อีกอย่างผลไม้นี้มีรสเปรี้ยว พวกสัตว์ป่าจึงไม่ใคร่จะกินเท่าใด องุ่นที่เหลืออยู่บนต้นจึงถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี
พวกเขาเก็บองุ่นป่าได้สี่ถึงห้าตะกร้าเลยทีเดียว
[1] วัวสันหลังหวะ หมายถึง ร้อนตัว กลัวว่าผู้อื่นจะรู้ความผิดที่ตนก่อไว้