บทที่ 209 ลงมือหนึ่งได้สองทาง
บทที่ 209 ลงมือหนึ่งได้สองทาง
เสี่ยวเป่าและหนานกงสือเยวียนได้เข้าร่วมพิธีฝังพระศพขององค์หญิงไท่จ่างด้วยกัน
ในวันนี้ กระทั่งผู้ที่ตัดความสัมพันธ์กับจวนเซวียผิงโหวไปแล้ว ต่างก็พากันมาด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า สีหน้าของแต่ละคนล้วนเสแสร้งจอมปลอม
คนจวนเซวียนผิงโหวพลันมีสีหน้าน่าเกลียดเล็กน้อย ทว่าพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องฝืนยิ้มต้อนรับคนเหล่านี้ โดยที่ภายในใจลอบสาบานว่า ภายภาคหน้าหากตระกูลของพวกเขากลับเข้าไปมีความสำคัญในสายตาของฮ่องเต้อีกครั้ง คนเหล่านี้ทั้งหมดจะต้องถูกเหยียบย่ำจนจมพสุธาแน่!
พวกเขายังมีองค์ชายรองอยู่!
“ฮ่องเต้เสด็จ องค์ชายทุกพระองค์เสด็จ องค์หญิงเจาเสวี่ยเสด็จ…”
ทันทีที่ขันทีร้องป่าวออกมา ทุกคนก็พลันได้สติแล้วรีบเร่งแยกกันออกเป็นสองฝั่ง จากนั้นก็คุกเข่าลงอย่างเรียบร้อย
“ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
หนานกงสือเยวียนพาพระโอรสธิดาของตนเดินเข้ามา บนใบหน้าเย็นชาของเขายังคงไร้อารมณ์ใดแสดงออกมาเช่นเคย
เขาเดินเข้าไปยังโถงเคารพพระศพ หยิบธูปสามดอกขึ้นมาจุดไฟ จากนั้นก็ประสานมือทำความเคารพโลงศพสีดำ
เสี่ยวเป่ากับเหล่าพี่ชายก็จุดธูปทำความเคารพตามอยู่ด้านข้าง
“ลุกขึ้นได้”
หลังจากทำความเคารพเสร็จสิ้น หนานกงสือเยวียนก็หันกลับมาเอ่ยกับคนอื่น ๆ ที่คุกเข่าอยู่ด้วยเสียงเรียบเฉย
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ปรายตามองกลุ่มคน เมินเฉยต่อสายตาเปี่ยมความคาดหวังอย่างแรงกล้าจากคนของจวนเซวียนผิงโหว และสายตาลึกซึ้งหยาดเยิ้มของหลี่เซียงอี๋
เมื่อเขาเดินออกไป หลี่เซียงอี๋และเซวียนผิงโหวก็รีบตามไปทันที
“ฝ่าบาท…”
หลี่เซียงอี๋ร้องเรียกออกมาอย่างอดไม่ไหว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและน่าเวทนา
“ฝ่าบาท หม่อมฉันทำสิ่งใดผิดไปหรือเพคะ พระองค์ถึงได้ลงโทษเช่นนี้ แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอันใดก็ตาม การลงโทษจนมาถึงตอนนี้ก็สมควรเพียงพอแล้ว เมื่อไหร่หม่อมฉันจะสามารถกลับเข้าไปในวังได้หรือเพคะ”
นางมองบุรุษร่างสูงใหญ่เบื้องหน้าตนเองด้วยสายตาคาดหวัง
สีหน้าของหนานกงสือเยวียนยังคงไม่แปรเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เพียงมองอาภรณ์หรูหราบนร่างของนางแล้วเอ่ยออกมาด้วยเสียงเย็นชา
“เจ้ายังจำได้อยู่หรือไม่ว่าวันนี้เป็นวันฝังศพมารดาของเจ้า?”
สีหน้าของหลี่เซียงอี๋บิดเบี้ยวขึ้นมาโดยพลัน
เพราะนางรู้ว่าวันนี้คือวันฝังศพของมารดา ฝ่าบาทจะต้องเสด็จมายังจวนเซวียนผิงโหวอย่างแน่นอน ดังนั้นนางจึงแต่งองค์ทรงเครื่องเป็นพิเศษ
นางไม่เพียงแต่สวมเสื้อผ้าหรูหรางดงาม ประดับประดาเครื่องหัวบนศีรษะอย่างสวยสด ใบหน้ายังถูกผัดแป้งแต้มชาดเต็มที่ เพราะใบหน้าของนางนับวันยิ่งซีดเซียวและซูบผอมลงเรื่อย ๆ มองแล้วประหนึ่งบุปผาที่กำลังโรยราเหี่ยวเฉาลง
นางจะปรากฏตัวต่อหน้าฝ่าบาทด้วยสภาพเช่นนั้นได้อย่างไร
ทว่า…วันนี้ก็เป็นวันฝังศพของมารดานาง
“หม่อมฉัน…”
นิ้วของหลี่เซียงอี๋กำอยู่ในแขนเสื้อแน่น สมองรีบคิดหาเหตุผลข้ออ้างที่จะทำให้ฮ่องเต้ไม่รู้สึกเกิดความไม่พอพระทัยในตัวนาง
ทว่าหนานกงสือเยวียนไม่ต้องการฟังคำพูดอันใดของนาง พลันเดินจากไปทันที
“ฝ่าบาท ได้โปรดฟังหม่อมฉันอธิบายก่อนเพคะ มิใช่ว่าหม่อมฉันไม่เคารพมารดา ทว่าหลายวันมานี้หม่อมฉันคิดถึงฝ่าบาทเป็นอย่างมากจนใบหน้าซีดเซียวผ่ายผอม ด้วยเหตุนี้ หม่อมฉันจึงไม่อยากให้พระองค์เห็นหม่อมฉันในสภาพเช่นนั้น…ฝ่าบาท ฝ่าบาท…”
เมื่อเซวียนผิงโหวเห็นว่านางไม่มีประโยชน์อันใดแม้แต่น้อย ฝ่าบาทไม่มีทีท่าจะใจอ่อนกับนางสักนิด ภายในใจก็อดผิดหวังขึ้นมาไม่ได้
“น่าอับอายขายหน้าผู้คนยิ่งนัก ข้าบอกเจ้าตั้งแต่ก่อนหน้าแล้วว่าไม่ให้ใส่เสื้อผ้าสีสดระหว่างการไว้ทุกข์ เจ้าก็ไม่ฟัง คราวนี้ถูกฝ่าบาทรังเกียจเข้าให้แล้ว เรื่องของข้ากับเจ้าไม่จบสิ้นแค่นี้แน่”
หลังจากสั่งสอนน้องสาวของตนเองเสร็จ เขาก็รีบเดินตามฮ่องเต้ไปอย่างไม่กล้ามีปากมีเสียงทันที
หลี่เซียงอี๋ตื่นตะลึงพรึงเพริดอย่างถึงที่สุด แต่เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมองเซวียนผิงโหวผู้เป็นพี่ชายของนางอีกครั้ง ภายในแววตาก็เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นล้ำลึก
พี่ชายคนดีของนาง นับตั้งแต่ท่านแม่จากไป สองสามีภรรยาคู่นั้นก็มีความกล้าที่จะดุด่าเอ่ยวาจาเสียดสีนาง ทั้งที่เมื่อก่อนยามพึ่งพานางไม่เคยกระทำเช่นนี้มาก่อน ทว่าเมื่อนางหมดสิ้นความโปรดปราน กระทั่งคนตัวเล็ก ๆ ในจวนเซวียนผิงโหวก็ยังไม่ไว้หน้านางแม้แต่น้อย!
สารเลว คนสารเลว พวกมันทั้งหมดล้วนเป็นคนสารเลว!
ขบวนแห่พระศพองค์หญิงไท่จ่างออกจากจวนเซวียนผิงโหว และเดินเวียนรอบเมืองภายใต้สภาพอากาศขมุกขมัว ก่อนจะมุ่งไปยังจุดหมายปลายทาง
สุดท้ายพิธีฝังพระศพที่กรมพิธีการเป็นผู้รับผิดชอบก็เริ่มขึ้น ท่ามกลางเสียงร่ำไห้เศร้าโศกเสียใจ และสายฝนที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้ามืดครึ้ม
ขั้นตอนธรรมเนียมพิธีการฝังศพซับซ้อนยุ่งยากเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการคุกเข่าคำนับที่ต้องทำอยู่หลายครั้ง
เสี่ยวเป่ากับเหล่าพี่ชายคุกเข่าครั้งสุดท้ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้ก็มีเพียงแต่ต้องประสานมือคารวะธรรมดา ๆ
ทว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่เสี่ยวเป่าที่เพิ่งเคยสัมผัสพิธีงานศพอันยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้เป็นครั้งแรกก็เมื่อยล้าจนต้องคอยนวดคลึงขาสั้น ๆ ของตนเอง
เมืองหลวงกว้างใหญ่ทำให้ใช้เวลาเดินนานเป็นอย่างมาก
“เข้ามาพิงพี่ใหญ่มา”
หนานกงฉีซิวดึงให้นางมาพิงตักของตนเอง ก่อนจะแอบบีบนวดขาน้อย ๆ ให้อย่างแผ่วเบา
ท่ามกลางเสียงร้องไห้คร่ำครวญในพิธีศพ เสี่ยวเป่าโน้มตัวเข้าไปหาพี่ใหญ่แล้วกล่าวขอบคุณด้วยเสียงอ่อนหวาน
เนื่องจากสายฝนโปรยปรายลงมาอย่างแผ่วเบา เส้นผมสีดำเรียบลื่นของเสี่ยวเป่าจึงมีหยดน้ำเกาะอยู่ทั่ว ทำให้ราวกับมีขนปุกปุย ดูแล้วซุกซนน่ารักเป็นอย่างยิ่ง
“หนาวหรือ?”
เสี่ยวเป่าส่ายหัว “ไม่หนาว พี่ชายหนาวหรือ?”
กล่าวแล้วนางก็วางมือน้อย ๆ ลงบนเข่าของพี่ใหญ่ พร้อมส่งพลังวิญญาณออกมาด้วยความเคยชิน
อากาศหนาวเหน็บขึ้นมาเล็กน้อย ขาที่ยังบาดเจ็บของหนานกงฉีซิวไวต่อสภาพอากาศเป็นอย่างยิ่ง จับแล้วเย็นยิ่งกว่าอุณหภูมิของคนปกติ ทว่าเมื่อเสี่ยวเป่าวางมือลงไปก็ราวกับมีกระแสน้ำอุ่นไหลหลากออกมาอย่างกะทันหัน ความรู้สึกครั้งนี้เขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนยิ่งกว่าครั้งใด
รูม่านตาของหนานกงฉีซิวหดตัวลง มือเรียวขาวดังหยกคว้ามือน้อย ๆ ของนางทันที
เสี่ยวเป่ากะพริบตาปริบ ๆ มองเขาด้วยดวงตาใสกระจ่างปราศจากสิ่งเจือปน ประหนึ่งกำลังถามว่า ‘พี่ชาย ท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่หรือ?”
หนานกงฉีซิวกุมมือนางแน่นขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
“พี่ชายไม่เป็นอันใด พี่ชายอยากลองดูเสียหน่อยว่ามือของเจ้าจะเย็นหรือไม่”
เสี่ยวเป่าไม่สงสัยในตัวเขาเลยแม้แต่น้อย ทำเพียงแค่กุมมือเรียวของพี่ใหญ่กลับด้วยสีหน้าจริงจัง
“เสี่ยวเป่าไม่หนาว ตอนนี้เสี่ยวเป่าอุ่นสบายดี แต่มือของพี่ใหญ่เย็นมาก ข้าจะช่วยอุ่นมือของพี่ใหญ่เอง”
แววตาของหนานกงฉีซิวปรากฏความสลับซับซ้อน ทว่าเขาก็ไม่ได้ดึงมือของตนเองออกมา
“ได้สิ”
เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างสองพี่น้องไม่มีผู้ใดรับรู้
เมื่อพิธีศพองค์หญิงไท่จ่างจบลงก็ถึงเวลาแยกย้ายกลับ ทว่าสถานการณ์กลับแปรเปลี่ยนไปในพริบตา ผู้มาร่วมพิธีทั้งหมดถูกองครักษ์ในชุดเกราะสีทองล้อมรอบเอาไว้
สถานการณ์ที่แปรเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ทำให้ในใจของผู้คนต่างอดสั่นสะท้านขึ้นมาไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนจวนเซวียนผิงโหว
“นะ นี่…นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น”
“องครักษ์จินอู่มาด้วยเหตุใด!”
“นี่คือพิธีฝังพระศพขององค์หญิงไท่จาง แล้วเหตุใดองครักษ์จินอู่ถึงมาที่นี่กัน”
ทุกคนหันไปมองชายผู้ยืนอยู่หน้าหลุมศพด้วยท่าทางที่ดูแล้วสงบนิ่งไม่มีคลื่นอารมณ์ใด
“…ฝ่าบาท พระองค์หมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
เซวียนผิงโหวปาดเหงื่อเย็นเยียบที่ไหลอาบใบหน้า ขาทั้งสองข้างอ่อนแรงจนแทบไม่อาจทรงตัวได้ ซวนเซพร้อมล้มลงไปทุกเมื่อ
หนานกงสือเยวียนเอามือไพล่หลัง ให้ความรู้สึกราวกับกระบี่คมตั้งตระหง่าน
สายลมพัดชายเสื้ออาภรณ์ เส้นผมสีหมึกพลิ้วไหว เห็นได้ชัดว่าเขายืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน แต่กลับให้ความรู้สึกอันตรายจนคนมองเห็นว่าเขากำลังยืนอยู่ท่ามกลางทะเลเลือดและซากศพ
ตึง!
เซวียนผิงโหวทนรับแรงกดดันไม่ไหวจนต้องคุกเข่าลง ใบหน้าของเขาซีดเซียว เหงื่อหลั่งรินดั่งสายพิรุณ
แม้ว่า…หนานกงสือเยวียนจะไม่ได้พูดสิ่งใดออกมาเลยก็ตาม
บรรยากาศพิธีเมื่อครู่ที่ยังเต็มไปด้วยเสียงร่ำไห้ แต่ตอนนี้กลับเงียบสนิทอย่างถึงที่สุด
พายุคล้ายกำลังจะมา ท้องฟ้าที่ครึ้มอยู่แล้วก็มืดลงเรื่อย ๆ ละอองฝนที่มีเพียงแผ่วบางก็เริ่มตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ
หนานกงฉีโม่นำเสื้อคลุมสีขาวตัวเล็กที่ไม่รู้เอามาจากที่ใดสวมให้กับเสี่ยวเป่า ส่วนขอบที่เป็นขนสัตว์ปกคลุมศีรษะของนาง ทำให้ใบหน้าเด็กน้อยเล็กลงไปอีก
เสี่ยวเป่าเงยหน้าขึ้นพร้อมกับส่งรอยยิ้มให้พี่รอง เขี้ยวเล็ก ๆ น่ารักสองซี่โผล่ออกมาจากมุมปากเล็กน้อย
ทว่าไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นหรือสนใจการเคลื่อนไหวอันเงียบงันนี้ ทุกคนต่างพากันจับจ้องไปทางองค์จักรพรรดิและองครักษ์จินอู่ที่ล้อมรอบอยู่ด้วยความกังวล ไม่เข้าใจว่าเรื่องเหล่านี้มีที่มาเช่นไร
ในที่สุด หนานกงสือเยวียนก็ทอดสายตาสีดำลึกล้ำไปทางเซวียนผิงโหวและคนในครอบครัวที่กำลังตัวสั่นคุกเข่าอยู่บนพื้น
“ในเมื่อองค์หญิงไท่จ่างถูกฝังลงไปแล้ว เช่นนั้นก็มาสะสางเรื่องความผิดของจวนเซวียนผิงโหวกันเถิด”
สีหน้าของเซวียนผิงโหวพลันแปรเปลี่ยนไปในทันที เขาวิงเวียนศีรษะจนแทบจะหมดสติ ไม่คาดคิดว่าฝ่าบาทจะเลือกเวลานี้มาจัดการพวกเขา
“ฝ่าบาท ได้โปรดทบทวนอีกครั้งด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ แม้ว่าจวนเซวียนผิงโหวจะมีความผิดใหญ่หลวง แต่การสะสางเรื่องนี้ต่อหน้าหลุมศพองค์หญิงไท่จ่างก็ดูจะไม่เหมาะสมเท่าใดนัก”
เหล่าขุนนางต่างรีบออกมาห้ามปราม ทว่าไม่ได้มีเจตนาจะช่วยให้จวนเซวียนผิงโหวรอดพ้นไปแต่อย่างใด
ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างองค์หญิงไท่จ่างกับฮ่องเต้จะเป็นเช่นไร ทว่านางก็ยังนับเป็นพระญาติ
ร่างขององค์หญิงไท่จ่างเพิ่งจะถูกฝังลงไป ทว่าพระองค์กลับจะจัดการบุตรชายของนางต่อหน้าหลุมศพเช่นนี้ นับว่าเหมาะสมแล้วหรือ?
ต่อให้ต้องการลงโทษมากเพียงใดก็ควรแยกแยะให้ดี!
เซวียนผิงโหวกวาดตามองหาร่างขององค์ชายรองอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือราวกับกำลังคว้าฟางเส้นสุดท้ายที่สามารถช่วยรักษาชีวิตของเขาเอาไว้ได้
“องค์ชายรอง องค์ชายรอง ท่านช่วยข้าด้วยเถิด ช่วยจวนเซวียนผิงโหวด้วย พวกเราเป็นญาติกันนะ!”
เขาเป็นชายร่างใหญ่คนหนึ่ง แต่ยามนี้กลับมากองลงพื้นที่เริ่มกลายเป็นโคลน อีกทั้งยังมีน้ำตาน้ำมูกไหลอาบใบหน้า ตัวสั่นระริกไม่น่าชม
“ข้าคิดว่า การที่จับผู้สังหารนางต่อหน้าหลุมศพนาง แม้ว่านางจะถูกฝังอยู่ใต้ดินก็ควรจะขอบคุณข้าเสียด้วยซ้ำ”
เมื่อได้ยินถ้อยวาจาเสียงเย็นชาของหนานกงสือเยวียน มีบางคนงงงวย บางคนตื่นตระหนก และก็มีบางคนมองไปยังเซวียนผิงโหวกับฮูหยินของเขาด้วยสีหน้าครุ่นคิด หลังจากนั้นก็แสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา
“ไปพาคนมา”
องครักษ์จินอู่พาตัวคนสองคนออกมาด้านหน้า เมื่อเซวียนผิงโหวฮูหยินได้เห็นสองคนนั้นแล้ว สีเลือดบนใบหน้าก็พลันจางหายไปทันที ในแววตาปรากฏความสิ้นหวังออกมา
ฝ่าบาท…ฝ่าบาทต้องทราบเรื่องราวแล้วอย่างแน่นอน
“บ่าวถวายพระพรฝ่าบาท”
หนานกงสือเยวียนยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับแม้แต่น้อย เพียงแค่เอ่ยออกมาด้วยเสียงเรียบเฉยว่า “พูดออกมา”
“บ่าวมีนามว่าหงกู เป็นหมัวมัวข้างกายองค์หญิงไท่จาง บ่าวต้องการมาเพื่อชี้ตัวว่าเซวียนผิงโหวและเซวียนผิงโหวฮูหยินเป็นผู้วางยาองค์หญิงไท่จ่าง พวกเขามีเจตนาไม่บริสุทธิ์!”
ฮือฮา…
ฝูงชนที่เดิมทีเงียบสงบพลันคึกคักขึ้นมาทันที ทุกคนต่างคิดไม่ถึงว่า จวนเซวียนผิงโหวจะยังมีความลับเช่นนี้ซ่อนเอาไว้อยู่!
สิ่งนี้ทำให้พวกเขาไม่อยากจะเชื่อหูเลยสักนิด องค์หญิงไท่จ่างไม่ได้ตายจากการอาการประชวร ทว่าถูกวางยาพิษจนตาย!
“ไร้สาระ บ่าวรับใช้ต้อยต่ำนี่เอ่ยวาจาไร้สาระ! เห็นชัด ๆ ว่าท่านแม่สิ้นชีพด้วยอาการป่วย!”
ภายในใจของเซวียนผิงโหวตอนนี้สับสนยุ่งเหยิงเป็นอย่างมาก จนไม่รู้ว่าควรจะแก้ไขปัญหาเช่นไร ทว่าเซวียนผิงโหวฮูหยินยืนกรานปฏิเสธที่จะยอมรับ ภายในใจนางยังหวังที่จะรอดอยู่
“มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้เรื่องนี้ ยามท่านแม่อยู่ในวังนั้นได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจมากจนหมดสติ อีกทั้งนางก็อายุมากแล้ว หลังจากกลับมาบ้านอาการก็ไม่ดีขึ้น อีกทั้งไม่มีเหตุผลอันใดที่พวกเราจะต้องลงมือกระทำเช่นนั้น ในเมื่อนางก็คือท่านแม่ของพวกเรา!”
เมื่อได้ฟังคำพูดของเซวียนผิงโหวฮูหยินแล้ว หลายคนก็พลันเกิดความลังเลใจ
ใช่แล้ว ไม่มีเหตุผลอันใดให้ต้องลงมือเลย
แม้ว่าจวนเซวียนผิงโหวจะโดดเดี่ยว แต่ก็ได้องค์หญิงไท่จ่างช่วยประคับประคองมาโดยตลอด แล้วเหตุใดพวกเขาจะต้องวางยาพิษนางจนสูญเสียเสาหลักนี้ไปกัน?
“นั่นเป็นเพราะพวกเจ้าไม่พอใจ จึงอาฆาตแค้นองค์หญิงไท่จ่าง!”
ในฐานะผู้คอยติดตามข้างกายองค์หญิงไท่จ่าง หงกูนั้นรู้เรื่องราวต่าง ๆ ไม่น้อยเลย
“ครานั้นที่องค์หญิงเจาเสวี่ยตกน้ำ เห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือของอี๋กุ้ยเฟย หากดูเผิน ๆ แล้วหงฉินเหมือนจะเป็นคนของคุณหนู แต่แท้จริงแล้วเป็นคนของกุ้ยเฟย องค์หญิงไท่จ่างเองก็น่าจะสามารถคาดเดาเรื่องนี้ได้เช่นกัน แต่สุดท้ายนางก็ยังเลือกที่จะเสียสละหลานสาวเพื่อปกป้องลูกสาวของตนเองเอาไว้ อีกทั้งเรื่องนี้ยังทำให้ทั้งจวนเซวียนผิงโหวต้องทนรับโทสะจากฝ่าบาท เมื่อพวกเจ้ารู้เรื่องนี้จึงกระทำการลงมืออย่างถึงที่สุด ทางหนึ่งก็เพื่อระบายความโกรธโดยการวางยาองค์หญิงไท่จ่าง อีกทางหนึ่งได้ใช้พิธีศพช่วยยื้อเวลาหาหนทางรอดให้กับจวนเซวียนผิงโหว”
หลี่เซียงอี๋ที่สวมชุดไว้ทุกข์สีขาวพลันมีสีหน้าบิดเบี้ยวขึ้นมาทันที นางแทบจะควบคุมตนเองไม่ให้วิ่งไปฉีกปากบ่าวรับใช้ต่ำต้อยผู้นั้นไม่ได้
กล้าดีเช่นไร ถึงพูดเรื่องนี้ออกมาต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้!
ทุกคนไม่ได้รู้เพียงว่าองค์หญิงน้อยตกน้ำ ทว่ายังรู้เรื่องที่หลังจากนางตกลงไปในน้ำแล้ว ไม่เพียงแต่องค์หญิงน้อยจะไม่เป็นอันใด นางยังได้รับการช่วยเหลือจากปลาจิ๋นหลี่อีกด้วย เรื่องนิมิตหมายอันเป็นมงคลเช่นนี้แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงนานแล้ว ถึงกับมีชาวบ้านบางส่วนแอบสักการะองค์หญิงเป็นการส่วนตัวเสียด้วยซ้ำ
เรื่องนี้พวกเขาล้วนรู้ แต่ก็คาดไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวเบื้องหลังจะมีมากมายเพียงนี้
อย่างแรกเริ่มจากอี๋กุ้ยเฟยมีส่วนเกี่ยวข้องพัวพันกับเรื่องนี้ อย่างที่สองคือสาเหตุการตายที่แท้จริงขององค์หญิงไท่จ่าง กลับกลายเป็นฝีมือของบุตรชายและลูกสะใภ้ที่วางยาพิษนาง
สวรรค์! ช่างน่าตื่นเต้นเหลือเกิน
ทว่าก็เป็นเรื่องที่ชวนให้ทอดถอนใจเช่นกัน
“เจ้าพูดจาไร้สาระ นี่เป็นเพียงความข้างเดียวจากเจ้า เจ้ามีหลักฐานอันใดมาพิสูจน์ว่าพวกข้าวางยาพิษองค์หญิงไท่จ่างหรือไม่?”
ฮูหยินเซวียนผิงโฮวยืนกรานไม่ยอมรับ ตอนที่พวกนางวางยานั้นมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าไล่คนทั้งหมดออกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่หงกูจะรู้เรื่องนี้!
“บ่าวไม่มีหลักฐานอันใด แต่อาการป่วยขององค์หญิงไท่จ่างดีขึ้นแล้วภายใต้การรักษาของหมอ เรื่องนี้นอกจากข้า บ่าวรับใช้องค์หญิงไท่จ่างทุกคนล้วนสามารถเป็นพยานได้ นับตั้งแต่ฮูหยินเข้ามาดูแลองค์หญิงไท่จ่าง อาการของนางก็เริ่มแย่ลงทันที”
“นั่นเป็นเพียงแค่การคาดเดาของเจ้า สิ่งที่เจ้าพูดถึงไม่รู้ว่าเป็นอาการแสงสายัณห์ก่อนตะวันรอน*[1]ของท่านแม่หรือไม่!”
ทั้งสองฝ่ายโต้เถียงกันอย่างไม่รู้จบ
“หุบปาก”
เพียงแค่หนานกงสือเยวียนเอ่ยออกมา ทั้งสองคนก็เงียบไปโดยพลัน
“เจ้าพูด”
เขาชี้ไปยังพยานอีกคนหนึ่ง
“ข้าน้อยเป็นหมอประจำจวนรับหน้าที่ดูแลอาการป่วยขององค์หญิงไท่จาง องค์หญิงไท่จ่างป่วยจริง ๆ แต่ข้าก็สามารถควบคุมอาการได้อย่างแน่นอนแล้ว ขอเพียงหลังจากนี้ไม่มีความสุขหรือโกรธมากเกินไป นางจะค่อย ๆ ดีขึ้นเอง กรณีเลวร้ายสุดก็ไม่มีอันใดไปมากกว่าการที่ร่างกายจะเป็นอัมพาต
ส่วนองค์หญิงไท่จ่างถูกวางยาพิษจนสิ้นชีพหรือไม่นั้น ข้าน้อยไม่รู้แน่ชัด เนื่องจากมีคนมาบอกข้าน้อยว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับครอบครัวที่บ้านเกิด ข้าน้อยจึงไปหาเซวียนผิงโหวเพื่อขอลากลับบ้าน และท่านโหวเองก็ยินยอม เมื่อข้าได้ทราบข่าวของจวนเซวียนผิงโหวอีกครา องค์หญิงไท่จ่างก็สิ้นลมไปแล้ว ด้วยเหตุนี้ ข้าน้อยจึงสับสนเป็นอย่างมาก อีกทั้งตอนกลับมาจวนยังต้องเผชิญหน้ากับการลอบสังหาร”
ขณะที่เอ่ยสายตาของเขาก็จับจ้องไปทางเซวียนผิงโหวและเซวียนผิงโหวฮูหยินด้วยความโกรธเกรี้ยว “หากไม่ใช่เพราะข้าน้อยมีคนมาช่วยเหลือเอาไว้ คงหลงเหลือเพียงแค่ร่างไร้วิญญาณเสียแล้ว ฝ่าบาท ตอนนี้ข้าน้อยเองก็สงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าองค์หญิงไท่จ่างสิ้นชีพเพราะถูกวางยาพิษ เนื่องจากข้าน้อยเป็นผู้รักษาอาการขององค์หญิงไท่จ่าง ย่อมตระหนักได้ถึงสภาพร่างกายของนางเป็นอย่างดี เซวียนผิงโหวกลัวว่าเรื่องนี้จะถูกเปิดเผยออกไป ดังนั้นจึงคิดจะกำจัดข้าน้อยทิ้งเสีย!”
หนานกงสือเยวียนมองสองสามีภรรยาที่แสดงสีหน้าตื่นตระหนก “พวกเจ้ายังต้องการจะพูดสิ่งใดอีกหรือไม่”
เซวียนผิงโหวตัวสั่นระริกไม่กล้าเอ่ยวาจาใด
เซวียนผิงโหวฮูหยินมองท่าทางขี้ขลาดด้วยสายตาชิงชัง “ฝ่าบาท สิ่งที่เขาเอ่ยออกมาล้วนเป็นเพียงแค่การคาดเดา ไม่มีหลักฐานว่าพวกหม่อมฉันวางยาพิษแต่อย่างใด ตอนนี้หม่อมฉันเกิดความสงสัยขึ้นมาว่าพวกเขาทั้งสองสมรู้ร่วมคิดกันวางยาพิษองค์หญิงไท่จ่าง เพื่อใส่ร้ายพวกหม่อมฉันสองคน!”
[1] แสงสายัณห์ก่อนตะวันรอน (回光返照) หมายถึง เป็นการอุปมาถึงสีหน้าท่าทางและอาการดีขึ้น ก่อนที่จะตายลงไป