เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช – บทที่ 216 พวกเจ้าทิ้งข้าไว้ได้อย่างไร

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 216 พวกเจ้าทิ้งข้าไว้ได้อย่างไร

บทที่ 216 พวกเจ้าทิ้งข้าไว้ได้อย่างไร

เหล่าองค์ชายเสด็จลงนาไปช่วยฟาดข้าวที่เพิ่งเกี่ยวเสร็จใหม่ ๆ ทว่าผ่านไปไม่นานพวกเขาก็ทนทำต่อไปไม่ไหว สะบัดตูดหนีอย่างรวดเร็ว

“คันไปหมดแล้ว ข้าจะรีบไปล้างตัว”

“ไยข้าถึงรู้สึกว่าวันนี้พระอาทิตย์ดวงใหญ่เป็นพิเศษ ไม่ไหวแล้ว ๆ”

“เสี่ยวเป่ารีบขึ้นมาเร็วเข้า ประเดี๋ยวผิวเจ้าก็ถูกแดดเผาเอาหรอก”

ผิวเด็กน้อยนั้นบอบบางมาก เสี่ยวเป่าที่ตามมาช่วยเก็บรวงข้าวกับเขาทั้งหน้าและแขนแดงเถือกไปหมด แล้วเริ่มแสบคันตามตัว จนเหล่าพี่ชายทนดูไม่ได้ จึงรีบอุ้มคนตัวเล็กขึ้นมาล้างเนื้อล้างตัว

เสี่ยวเป่าเอาแต่เกาหน้าเงียบ ๆ ไม่มีบ่นสักคำ

หลังจากล้างเนื้อล้างตัวกันแล้ว พวกเขาพลันรู้สึกสบายตัวขึ้นไม่น้อย

หนานกงสือเยวียนไม่ยอมให้นางไปที่ทุ่งนาอีก คนตัวเล็กจึงต้องจำใจอยู่ดื่มชาเป็นเพื่อนท่านอาเจ็ดกับเสี่ยวไป๋ที่ห้องพัก

หนานกงหลีไขว่ห้างวางมาดราวกับผู้อาวุโส ก่อนจะหยิบเอาเม็ดบัวทองคำขาวจากเสี่ยวเป่ามาสองเมล็ด นำหนึ่งเม็ดไปแช่น้ำไว้ กลิ่นหอมของเม็ดบัวล้ำค่าตลบอบอวลชวนหลงใหล

เสี่ยวเป่าตีหน้าเศร้ารีบกอดถุงผ้าใบเล็กของนางไว้อย่างหวงแหน นางพกเม็ดบัวมาเพียงห้าเม็ด ซึ่งสองในห้าถูกอาเจ็ดฉกไปแล้ว

“อย่าขี้งกไปหน่อยเลย อาเจ็ดเอามาเพียงสองเมล็ดเอง วันหน้าจะคืนให้เจ้ามากกว่านี้อีก”

เสี่ยวเป่าชงชาเม็ดบัวสำหรับตนเองพลางบ่นพึมพำ

“เสี่ยวเป่าจะเก็บไว้ให้ท่านพ่อ”

“ฮึ่ม! เจ้าเด็กใจแคบ ในใจเจ้าคงมีเพียงท่านพ่อสินะ อาเจ็ดอย่างข้าคงไม่คู่ควรกับเม็ดบัวนี่ใช่หรือไม่?”

เสี่ยวเป่ายกชาขึ้นจิบและแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

“ข้ารู้อยู่แล้วว่าบุตรของผู้ใด ในใจย่อมมีเพียงท่านพ่อของตนเท่านั้น แต่อาเจ็ดก็ยังปวดใจมากอยู่ดี”

ท่านอ๋องผู้หนึ่งกำลังทำการแสดงแสร้งทำเป็นน้อยอกน้อยใจ ทั้ง ๆ ที่อายุอานามก็ไม่น้อยแล้ว แย่งของเด็กกินแล้วยังจะให้เด็กเอาใจอีก หน้าไม่อายเลยสักนิด!

หนานกงหลียกชาเม็ดบัวที่ตนแช่ไว้ขึ้นดื่มจนหมด ก่อนจะผุดลุกสำรวจความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้าผม จากนั้นก็หันไปอุ้มหลานสาวตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินออกมาข้างนอก

“อยากไปเที่ยวเล่นบนเขามิใช่หรือ อาเจ็ดพาไปดีหรือไม่”

“ดีเพคะ ไปหาท่านพ่อกัน”

“ก็ยังหนีไม่พ้นท่านพ่อของเจ้าอีกสินะ เราจะไปเที่ยวเล่นบนเขากัน แล้วเหตุใดต้องไปหาเขาด้วย เวลานี้เขาคงกำลังยุ่งอยู่”

“ต้องไปบอกท่านพ่อเสียก่อน ไม่เช่นนั้นท่านพ่อจะเป็นกังวลหากหาเสี่ยวเป่าไม่พบ พวกพี่ ๆ ก็ด้วย”

หนานกงหลีบีบแก้มนุ่มของนางด้วยความมันเขี้ยว “ก็ได้ ๆ ไปบอกท่านพ่อของเจ้าก่อนก็ได้ เฮ้อ! ห่างกันเพียงชั่วครู่ก็ไม่ได้เลยสินะ”

เจ้าก้อนแป้ง “เสี่ยวเป่าจะทำชาเม็ดบัวไปให้ท่านพ่อด้วย ท่านอาเจ็ดรออีกเดี๋ยวนะ…”

ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวของทุกปีหนานกงสือเยวียนจะยุ่งเป็นพิเศษ เพราะเขาจะมาร่วมลงมือลงแรงกับชาวนาทั้งหลายด้วย

ในสายตาของเสนาบดี การที่ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ก็เพื่อเฉลิมฉลองฤดูเก็บเกี่ยวร่วมกับราษฎรเพื่อเป็นขวัญกำลังใจ

แต่สำหรับหนานกงสือเยวียน การที่เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อเตือนตัวเองไม่ให้ลืมความยากลำบากที่เคยได้รับ

ในเมื่อตอนนี้เขาไม่สามารถออกไปรบเองได้ เขาจึงเลือกมาที่นาหลวงเพื่อเก็บเกี่ยวข้าวแทน ซ้ำยังเป็นการออกกำลังกายไปในตัว

แม้ยามนี้ผู้ที่ได้ชื่อว่าโอรสสวรรค์จะอยู่ในเสื้อผ้าอาภรณ์ที่เรียบง่ายไม่หรูหรา แต่ร่างกายกำยำสูงโปร่ง รวมถึงใบหน้าหล่อเหลา ตลอดจนกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง ดูรวม ๆ แล้วก็จัดว่าดูดีเป็นพิเศษ

ทางด้านองค์ชายห้าก็เผลอมองร่างของเสด็จพ่อด้วยสายตาอิจฉานับครั้งไม่ถ้วน จนถือเอาเป็นต้นแบบของตนไปแล้ว

หนานกงหลีเพ่งมองกล้ามเนื้อแขนที่ขึ้นลายเส้นจนเด่นชัดของเสด็จพี่อย่างอิจฉาไม่แพ้กัน

ตัวเขาเพียงอุ้มเสี่ยวเป่าได้พักเดียว แขนก็ล้าแล้ว แต่หากเป็นเสด็จพี่ คงอุ้มหลานสาวตัวน้อยเดินขึ้นเขาได้สบาย ๆ

“ท่านพ่อ”

แสงตะวันแผดเผาราวกับหมายจะทำให้ผู้คนละลาย ทุกคนในทุ่งนาเหงื่อแตกพลั่กกันถ้วนหน้า แต่ก็ไม่มีผู้ใดหยุดพัก

วันนี้ท้องฟ้ามีเมฆมาก ทั้งยังร้อนอบอ้าว ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้ฝนอาจจะตก การทำนานั้นจำเป็นต้องคอยสังเกตสีหน้าของเหล่าเทียนเย่*[1] ยิ่งเป็นฤดูเก็บเกี่ยวอากาศก็ยิ่งแปรปรวน เอาแน่เอานอนไม่ได้ ต้องคอยแข่งขันกับอารมณ์ของเหล่าเทียนเย่ จนกว่าข้าวเปลือกทั้งหมดจะเข้าไปอยู่ในยุ้งฉางแล้วเท่านั้น ชาวนาทั้งหลายจึงจะเบาใจได้

สภาพอากาศร้อนเช่นนี้ ในยามที่เสี่ยวเป่าเรียกหาท่านพ่อด้วยน้ำเสียงเล็ก ๆ ของเด็กวัยฟันน้ำนม ทั้งสดใสและนุ่มนวลชวนให้หัวใจผู้ฟังชุ่มฉ่ำราวกับมีสายลมเย็นพัดผ่าน ช่วยคลายความร้อนในกายได้หลายส่วน

“ทุกท่านรีบขึ้นมาดื่มน้ำบ๊วยกับน้ำถั่วเขียวกันเร็วเข้า”

นอกจากเสี่ยวเป่าและหนานกงหลีแล้ว ก็ยังมีคนของนาหลวงที่นำน้ำคลายร้อนมาให้ด้วย

ยิ่งร้อนผู้คนยิ่งกระหายน้ำ น้ำถั่วเขียวเย็น ๆ หรือน้ำบ๊วยเปรี้ยว ๆ สักถ้วยจะทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนได้ดื่มยาชูกำลัง และรู้สึกเย็นกายสบายตัวขึ้น

เสี่ยวเป่าชูกาน้ำชาที่ตั้งใจเตรียมมา “ท่านพ่อรีบมาดื่มชาเร็วเข้า”

ชาเม็ดบัวนี้นางตั้งใจชงมาให้ท่านพ่อโดยเฉพาะ สรรพคุณของมันนั้นทั้งช่วยดับร้อน ล้างสารพิษ และคลายร้อน นางตั้งใจทำมาให้ท่านพ่อเพียงผู้เดียว!

แต่พอได้เห็นเนื้อตัวชุ่มเหงื่อของท่านพ่อที่กำลังเดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ เสี่ยวเป่าก็พลันปวดใจ

นางอาศัยช่วงเวลาที่ท่านพ่อกำลังดื่มชาเม็ดบัว ดึงผ้าเช็ดหน้าสะอาดในกระเป๋าออกมาเช็ดเหงื่อให้เขา

“ท่านพ่อไม่ต้องทำแล้วดีหรือไม่? ท่านดูเหนื่อยล้ามากเลย”

หนานกงสือเยวียนเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบนางเพียงสั้น ๆ “ไม่เหนื่อย”

“แต่ท่านพ่อเหงื่อออกเต็มเลย”

“ปกติ”

“ท่านพ่อหันมาหน่อย เสี่ยวเป่าจะเช็ดอีกข้างให้”

เจ้าก้อนแป้งวิ่งวนรอบตัวท่านพ่อราวกับผึ้งงานขยันขันแข็ง คอยเช็ดเหงื่อรินชา หรือแม้กระทั่งแย่งพัดในมือท่านอาเจ็ดไปพัดให้เขา

คนที่เฝ้ามองระหว่างพักดื่มน้ำเช่นเดียวกัน รู้สึกเศร้าปนอิจฉา

โดยเฉพาะผู้ที่มีบุตรชายบุตรสาวอยู่ที่บ้าน

“เห็นเช่นนี้แล้วข้าชักอยากจะรีบแต่งภรรยามาให้กำเนิดบุตรสาวสักคนเสียแล้วสิ ไยถึงน่าเอ็นดูเพียงนี้”

“ท่านยังไม่มีภรรยาก็ยังดีกว่าข้าที่มีบุตรชายคนหนึ่ง อย่าว่าแต่หาน้ำหาชามาให้ข้าเลย เพียงโผล่หน้ามาก็มักยั่วโมโหข้าแล้ว ไม่ยั่วโมโหข้าสักวันคงเหมือนจะขาดใจ”

“ส่วนข้ามีบุตรสาว เหอะ ๆ หากบุตรสาวข้าอยู่ที่นี่ด้วย นางก็คงจะเช็ดเหงื่อและชงชาให้ข้าเป็นแน่ นางก็เป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายเช่นกัน”

บรรดาผู้ที่มีเพียงบุตรชาย…

จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าบุตรชายไม่น่าพิศวาสเอาเสียเลย!

นางตั้งใจพัดให้ท่านพ่อจนสุดแรงแขน กระทั่งผู้คนเริ่มเดินลงไปในนากันอีกครั้ง เสี่ยวเป่าถึงได้เดินจากไปพร้อมท่านอาเจ็ด

สองอาหลานค่อย ๆ เดินขึ้นเขา แต่จู่ ๆ เสี่ยวเป่าก็เงยหน้าขึ้นถาม

“ท่านอาเจ็ด เหตุใดท่านถึงไม่ไปเกี่ยวข้าวเหมือนคนอื่นเล่า”

หนานกงหลีแบมือให้หลานสาวดู “ดูมือ ดูแขน ดูขาที่แสนบอบบางของอาเจ็ด หากลงนาไปเกี่ยวข้าว ป่านนี้คงเป็นลมแดดไปแล้วแน่ ๆ เจ้าเป็นห่วงท่านพ่อของเจ้า แต่ไม่เป็นห่วงอาเจ็ดเช่นนั้นหรือ”

เสี่ยวเป่าส่ายหัว “ไม่ใช่เสียหน่อย เป็นท่านอาเจ็ดที่ขี้เกียจเองชัด ๆ ยังจะมาโทษเสี่ยวเป่าอีก!”

หนานกงหลี “เหลวไหล ท่านอาเจ็ดของเจ้า ‘บอบบาง’ เหลือทนต่างหากเล่า”

ผู้เป็นอาตั้งหน้าตั้งตาปฏิเสธเสียงแข็ง ไม่ยอมรับว่าตนเกียจคร้าน

ทั้งเด็กเล็กและเด็กโค่งเดินเถียงกันไปเรื่อย ๆ ก็บังเอิญพบหนานกงฉีซิวกับพวกพ้องเข้า

ยกเว้นองค์ชายสี่ผู้เกิดมาพร้อมกับพละกำลังเหนือธรรมชาติที่ยังคงช่วยเหลือหนานกงสือเยวียนที่นาข้าว คนอื่น ๆ ต่างก็ได้รับมอบหมายให้ช่วยงานอย่างอื่น

บางคนก็เป็นลูกมือช่วยคนงานชั่งน้ำหนักแล้วจดบันทึก ถือเป็นการออกกำลังกายสำหรับพวกเขา

“พี่ใหญ่ เสี่ยวเป่ากับท่านอาเจ็ดกำลังจะไปเดินเล่นบนเขา”

หนานกงฉีซิวที่กำลังนั่งทำบัญชีพยักหน้าตอบรับ “พาองครักษ์ไปเยอะ ๆ หน่อย”

“ทราบแล้วเพคะ”

“น้องหญิงรอข้าด้วย ข้าไปด้วย”

เมื่อใคร่ครวญดูแล้ว องค์ชายห้าผู้ปราดเปรียวก็ทิ้งปากกากับกระดาษในมือ ก่อนจะอุ้มเสี่ยวเป่าวิ่งหายไปไม่เห็นแม้แต่เงาก่อนที่จะมีคนได้ตอบโต้

หนานกงหลี “???”

หลานสาวแสนดีของข้าหายวับไปกับตา!

“แล้วข้าเล่า? พวกเจ้าทิ้งข้าไว้ได้อย่างไร!!!”

[1] เหล่าเทียนเย่ (老天爷) คือ เง็กเซียนฮ่องเต้ หรือผู้ปกครองสวรรค์

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

Status: Ongoing
จากลูกเป็ดขี้เหร่สู่การเป็นองค์หญิงคนสุดท้องแห่งราชวงศ์ ความน่ารักของซูเสี่ยวเป่าพร้อมจะพิชิตใจทุกคนแล้ว!หลังจากภูตพฤกษาตัวน้อยตายลง นางก็มาเกิดในยุคสมัยโบราณ และหลงคิดไปว่าตนเองเป็นเพียงเด็กลูกชาวบ้านแถบชนบทธรรมดา ๆ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าท่านพ่อที่นางไม่เคยพบหน้ามาก่อนจะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่ปานนี้เขา…ถึงกับเป็นราชาของแผ่นดิน!เสี่ยวเป่าที่อายุเพียงสามขวบถูกพาตัวไปยังพระราชวังทันทีหลังจากที่แม่ของนางสิ้นชีพลง แล้วนางก็กลายเป็นองค์หญิงน้อย สตรีเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางพี่ชายแปดคน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท