เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช – บทที่ 217 เสี่ยวเป่าไม่ใช่เทพธิดา

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 217 เสี่ยวเป่าไม่ใช่เทพธิดา

บทที่ 217 เสี่ยวเป่าไม่ใช่เทพธิดา

นาหลวงถูกใช้เป็นแปลงนาทดลองปุ๋ย ผลลัพธ์ที่ได้คือผลผลิตมากขึ้นถึงสองร้อยจินต่อหมู่ พิสูจน์ให้เห็นถึงความสำคัญของปุ๋ยที่มีต่อพืชพรรณ

ทันทีที่ได้รับรายงานความคืบหน้า ทั้งราชสำนักก็ถึงกับสั่นสะเทือน

เหล่าขุนนางเริ่มตั้งคำถามว่าปุ๋ยนี้ทำมาจากสิ่งใด ไยถึงสามารถเพิ่มผลผลิตได้เกือบเท่าตัว!

ข่าวแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว เพราะชาวบ้านให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากกว่าพวกขุนนางบางประเภทเสียอีก

ปุ๋ยใดจะวิเศษถึงเพียงนั้น สามารถเพิ่มผลผลิตได้มากเพียงนี้ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าข้าวปลาอาหารจะอุดมสมบูรณ์มากขึ้น!

เมื่อผลงานจากการคิดค้นปุ๋ยหมักประจักษ์แก่สายตาผู้คนเป็นวงกว้าง ก็เป็นเหตุให้ชื่อเสียงขององค์หญิงเจาเสวี่ยเริ่มเป็นที่โจษจันกันอีกหน

คราวนี้เหล่าเสนาบดีส่วนหนึ่งถึงขั้นยกย่ององค์หญิงน้อยออกหน้าออกตา จนทำให้นับวันยิ่งมีคนอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับองค์หญิงน้อยมากขึ้นเรื่อย ๆ

แน่นอนว่าองค์หญิงผู้อาศัยอยู่อย่างสันโดษในวังหลวงนั้น ไม่ใช่ว่าผู้ใดอยากพบก็พบได้ตามต้องการ ทว่านับวันก็ยิ่งมีข่าวลือเกี่ยวกับนางหนาหูขึ้นเรื่อย ๆ ซ้ำยังเป็นข่าวลือในทางที่ดีเสียส่วนใหญ่ บ้างก็ว่านางเป็นเทพธิดาผู้มีจิตใจเมตตา เมื่อเห็นว่าโลกมนุษย์อาหารไม่เพียงพอ ชาวบ้านอดอยากปากแห้ง จึงลงมาจุติยังโลกมนุษย์เพื่อช่วยให้ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์

ฤดูเก็บเกี่ยวผ่านพ้นไป อากาศก็เหมือนได้รับสัญญาณบางอย่างถึงได้เริ่มเย็นลงทุกวัน ๆ

เสี่ยวเป่าสวมเสื้อผ้าให้หนาขึ้นถึงสองชั้น ทั้งยังสวมเสื้อคลุมขนกระต่ายสีขาวราวหิมะที่พันรอบคอ ทำให้ใบหน้าบอบบางขาวผ่องยิ่งขึ้น นัยน์ตาสีดำแวววาวเหมือนผลึกแก้ว ดูน่ารักซุกซนไม่น้อย

“ไหนมาให้อาเจ็ดดูหน่อย เทพธิดาตัวน้อยของเรางดงามจริง ๆ!”

หนานกงหลีกุมใบหน้างามของหลานสาวตัวน้อยแล้วบีบเข้าหากัน

“คนข้างนอกเล่าลือกันว่าเสี่ยวเป่าของเราเป็นเทพธิดากลับชาติมาเกิด เช่นนั้นเสี่ยวเป่ารีบให้พรอาเจ็ดเร็วเข้า อาเจ็ดจะได้ให้กำเนิดบุตรสาวที่น่ารักเช่นเจ้า”

ใบหน้าของเสี่ยวเป่าถูกสองมือของอาเจ็ดบีบจนบู้บี้

“อื้อ… เสี่ยวเป่าไม่ใช่เทพธิดา แต่เป็นภูตน้อยต่างหากเล่า”

“เหมือนกันนั่นแหละ”

“ท่านอาเจ็ด ท่านพ่อชอบสิ่งใดหรือ?”

“เหตุใดจู่ ๆ ถึงถามเรื่องนี้?”

“ใกล้ถึงวันเกิดท่านพ่อแล้ว เสี่ยวเป่ายังไม่รู้จะให้สิ่งใดเป็นของขวัญท่านพ่อดี”

หนานกงหลีกอดเสี่ยวเป่าไว้บนตัก กางพัดแล้วโบกเบา ๆ ด้วยท่าทางสง่างาม

“นี่ก็ตอบยากอยู่ หากเป็นเมื่อก่อนข้าก็คงไม่รู้ว่าเขาชอบสิ่งใด แต่ตอนนี้…”

เสี่ยวเป่ามองเขาตาเป็นประกายอย่างมีความหวัง ดวงตาจ้องอีกฝ่ายราวกับจะเร่งว่า ‘บอกมาเร็ว…’

“แน่นอนว่าเขาต้องชอบเสี่ยวเป่าของเรามากที่สุด!”

เสี่ยวเป่าที่กำลังคาดหวังในคำตอบ “…”

เสี่ยวเป่าก็อุตส่าห์หวังพึ่งท่าน!

แม่นางน้อยทำหน้าโกรธพองลมจนกลายเป็นปลาปักเป้า พลางส่งสายตาจ้องมองอีกฝ่ายอย่างขุ่นเคืองใจ

“ท่านอาเจ็ดเพ้อเจ้อ”

“เพ้ย! ไยถึงมาว่าอาเจ็ดเช่นนี้เล่า หรือเจ้าจะบอกว่าสิ่งที่อาเจ็ดพูดมันไม่จริง”

เสี่ยวเป่าหันหลังให้ ไม่สนใจเขาอีก

ที่เขาพูดย่อมเป็นความจริง แต่เสี่ยวเป่าจะเป็นของขวัญให้ท่านพ่อได้อย่างไรเล่า!

สุดท้ายนางก็ต้องพึ่งพาสมองน้อย ๆ ของตนเอง

“อย่ากังวลไปเลย ท่านพ่อของเจ้าตอนนี้เป็นถึงโอรสสวรรค์อยู่เหนือคนทั้งปวง ของดีของล้ำค่าอันใดบ้างที่เขาไม่เคยได้ครอบครอง ข้าวของแพง ๆ พวกนั้นเจ้าลืมไปเสียเถอะ หากเจ้าคิดจะซื้อของพวกนั้นมามอบให้เขา มิสู้เจ้าซื้อของกินเพียงไม่กี่ตำลึงให้เขาก็เป็นพอ แต่หากเป็นสิ่งที่เจ้าลงมือทำด้วยตนเอง ไม่ว่าสิ่งที่เจ้าทำให้จะดีหรือไม่ก็ตาม ท่านพ่อของเจ้าก็ยังจะชอบมันอยู่วันยังค่ำ”

ไม่สำคัญว่าจะให้สิ่งใดเป็นของขวัญ แต่สำคัญที่ว่าผู้ใดเป็นคนให้

เสี่ยวเป่าส่งเสียงพึมพำตอบรับเบา ๆ พลางครุ่นคิดว่าจะมอบสิ่งใดให้ท่านพ่อในวันเกิด

สุรา? ก็ดูเข้าท่า สุราที่นางหมักคงจะได้ที่ก่อนถึงวันเกิดท่านพ่อ

แต่นอกจากสุราแล้วยังพอมีสิ่งใดอีก

หลังจากใคร่ครวญอย่างดีแล้ว เสี่ยวเป่าก็ตัดสินใจวิ่งไปหาชุนสี่เพื่อขอให้นางสอนเย็บผ้า เสี่ยวเป่าอยากเย็บถุงมือให้ท่านพ่อ

เมื่องานวันพระราชสมภพใกล้เข้ามา คณะราชทูตจากต่างแดนก็ทยอยเดินทางเข้ามาในเมืองหลวง

เมืองหลวงของอาณาจักรต้าเซี่ยในยามนี้จึงเป็นสถานที่ที่สามารถพบเห็นผู้คนจากต่างแดนได้มากขึ้น

คนจากต่างแดนนั้นสามารถแยกได้ง่ายจากความแตกต่างของส่วนสูง รูปร่างหน้าตา และเสื้อผ้า

บัดนี้เมืองหลวงมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันตา

เสี่ยวเป่าที่อดทนอยู่ในวังมาครึ่งค่อนเดือน ในที่สุดความอดทนอดกลั้นกับความต้องการที่จะออกไปเปิดหูเปิดตาก็หมดลง

พี่ใหญ่ พี่รอง และพี่สามได้รับหน้าที่ต้อนรับคณะราชทูตจากต่างแดน ท่านพ่อเองก็งานยุ่งมากเสียจนเสี่ยวเป่าได้พบหน้าเขาเฉพาะเวลากลางคืน ฉะนั้นวันนี้นางจึงจะออกไปหาท่านอาเจ็ด

เสี่ยวเป่าที่แอบออกจากวังเพียงลำพังแสดงตราผ่านทางที่ท่านพ่อมอบให้ จากนั้นราชองครักษ์หน้าประตูก็เปิดทางให้รถม้าผ่านออกไป

ทันทีที่รถม้าออกไป หัวหน้าองครักษ์ก็รีบสั่งการ “นำความไปแจ้งแก่คนข้างกายฝ่าบาทว่า องค์หญิงน้อยเสด็จออกจากวังเพียงลำพัง”

“ขอรับ”

ผู้คนในวังไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าองค์หญิงน้อยมีความสำคัญต่อฝ่าบาทเพียงใด เวลานี้องค์หญิงเสด็จออกนอกวังโดยไม่มีองค์ชายสักพระองค์คอยดูแล หัวหน้าองครักษ์รู้สึกไม่สบายใจ และคิดว่าควรรีบกราบทูลเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบโดยไว

เสี่ยวเป่าไม่กล้าพอที่จะออกเที่ยวเล่นเพียงลำพัง จึงเลือกมุ่งหน้ามาที่จวนเซียวเหยาอ๋อง

ทันทีที่คนเฝ้าประตูจวนเซียวเหยาอ๋องเห็นแขกผู้สูงศักดิ์ตัวน้อยมา ก็รีบส่งคนไปรายงานนายหญิงของจวนทันที “รีบไปรายงานพระชายาว่าองค์หญิงเสด็จมาที่นี่!”

เสี่ยวเป่า “ท่านอาเจ็ดและญาติผู้พี่อยู่หรือไม่?”

“กราบทูลองค์หญิง ท่านอ๋องและนายน้อยออกไปข้างนอกกันหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ยามนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา บรรยากาศจึงครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้นช่วงเวลาเช่นนี้จะขาดหนุ่มเจ้าสำราญอย่างเซียวเหยาอ๋องและบุตรชายไปได้อย่างไร

ไม่สิ หลายวันมานี้พวกเขาออกจากจวนตั้งแต่เช้า ดึกดื่นกว่าจะกลับ และมักจะกลับมาพร้อมกลิ่นสุราเหม็นหึ่ง

เดิมทีเสี่ยวเป่ามาหาท่านอาเจ็ดก็เพื่อจะให้เขาพาออกไปเดินเล่น แต่ในเมื่อคนไม่อยู่ นางจึงเลือกที่จะหอบของขวัญไปพบท่านอาสะใภ้แทน

“ท่านอาสะใภ้ ๆ เสี่ยวเป่ามาหาท่านแล้ว”

ยังไม่ทันได้เห็นคน เจ้าก้อนแป้งก็ส่งเสียงเจื้อยแจ้วเรียกหาคนก่อนแล้ว

เสี่ยวเป่าที่วันนี้ห่อตัวมาราวกับก้อนแป้งวิ่งไปข้างหน้าด้วยสองขาสั้น ๆ เพราะหอบห่อผ้าอันใหญ่ไว้ในอ้อมแขนจึงมองทางข้างหน้าได้ไม่ถนัดนัก นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองกำลังเดินไปผิดทาง

ด้านพระชายาเซียวเหยาอ๋องก็ได้แต่มองคนตัวเล็กที่กำลังตามหาตน ทว่ากลับวิ่งห่างตนออกไปเรื่อย ๆ

“เสี่ยวเป่า นั่นเจ้ากำลังจะไปที่ใด”

พระชายาเซียวเหยาอ๋องขบขันจวนจะขาดใจกับท่าทางเงอะงะของหลานสาวตัวน้อย

เสี่ยวเป่าหันปลายเท้ากลับมาในทิศทางที่ถูกต้องก่อนจะออกตัววิ่งดุ๊กดิ๊กต่อ

“เสี่ยวเป่าเห็นทางไม่ค่อยชัดเลย”

ในที่สุด นางก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าท่านอาสะใภ้ คนตัวเล็กรีบยื่นของในมือให้คนตรงหน้า

“นี่เป็นของขวัญสำหรับท่านอาสะใภ้ มันคือเสื้อคลุมที่ชุนสี่และคนอื่น ๆ เย็บขึ้นมาเพคะ”

หลังจากจดหมายและเสื้อคลุมถูกส่งไปยังเมืองหน้าด่านแล้ว คนของแม่ทัพเซี่ยก็ดำเนินการส่งขนแกะจำนวนมากมาที่พระราชวังอย่างรวดเร็ว เสี่ยวเป่าจึงมีขนแกะนุ่ม ๆ มากมาย เพียงพอสำหรับทำเสื้อคลุมกันหนาวให้เหล่าพี่ชายครบทุกคน

วันนี้นางจึงนำบางส่วนมามอบให้คนจวนเซียวเหยาอ๋อง มีทั้งของท่านอาเจ็ด ญาติผู้พี่ แน่นอนว่าย่อมต้องมีของท่านอาสะใภ้ด้วย

แต่นางกำนัลข้างกายเพียงไม่กี่คนของเสี่ยวเป่าไม่สามารถเย็บเสื้อคลุมจำนวนมากได้ งานสำคัญนี้จึงถูกส่งต่อไปที่กองภูษา

“ให้ข้าหรือ จะว่าไป อาสะใภ้ก็พอจะได้ยินเรื่องเสื้อคลุมนี้มาบ้างแล้ว อาเจ็ดของเจ้าพูดถึงมันทุกวันเลย”

พระชายาเซียวเหยาอ๋องจูงมือเสี่ยวเป่าเดินเข้าไปข้างใน

“ห้องครัวจวนอ๋องคิดค้นขนมขึ้นมาใหม่ถึงสองชนิด เสี่ยวเป่ากินขนมรออาเจ็ดกับญาติผู้พี่อยู่ที่นี่ก่อนดีหรือไม่”

“ดีเพคะ ท่านอาสะใภ้ดีกับเสี่ยวเป่ามาก เสี่ยวเป่ารักเลย”

เด็กเล็กซุกซนเฉลียวฉลาดทำมือเป็นรูปหัวใจแล้วส่งให้อาสะใภ้ ปากเล็ก ๆ ก็พ่นคำหวานเอาอกเอาใจพระชายาเซียวเหยาอ๋องจนนางยิ้มไม่หุบ

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

Status: Ongoing
จากลูกเป็ดขี้เหร่สู่การเป็นองค์หญิงคนสุดท้องแห่งราชวงศ์ ความน่ารักของซูเสี่ยวเป่าพร้อมจะพิชิตใจทุกคนแล้ว!หลังจากภูตพฤกษาตัวน้อยตายลง นางก็มาเกิดในยุคสมัยโบราณ และหลงคิดไปว่าตนเองเป็นเพียงเด็กลูกชาวบ้านแถบชนบทธรรมดา ๆ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าท่านพ่อที่นางไม่เคยพบหน้ามาก่อนจะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่ปานนี้เขา…ถึงกับเป็นราชาของแผ่นดิน!เสี่ยวเป่าที่อายุเพียงสามขวบถูกพาตัวไปยังพระราชวังทันทีหลังจากที่แม่ของนางสิ้นชีพลง แล้วนางก็กลายเป็นองค์หญิงน้อย สตรีเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางพี่ชายแปดคน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท