บทที่ 252 พวกเจ้าอย่าเข้ามา!!!
บทที่ 252 พวกเจ้าอย่าเข้ามา!!!
เหตุอันตรายที่มิรู้ว่าเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อใดก็เป็นอันจบลงด้วยวิธีพิลึกพิลั่น
จนถึงตอนนี้ใครหลายคนยังอยู่ในอาการสับสนกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่
กลับเป็นหนานกงสือเยวียนที่สงบสติอารมณ์ได้เป็นผู้แรก เขาหรี่นัยน์ตามองดูเสือสองตัวที่กำลังเดินวนไปมารอบม้าของเขา และใช้อุ้งเท้าตะปบขาสั้นป้อมของบุตรสาวเป็นครั้งคราว
คนอื่น ๆ ที่ขี่ม้าตามมาต่างตกใจอ้าปากค้างเมื่อได้เห็นเสือสองตัว หนานกงจ้านกำดาบที่ห้อยอยู่ข้างเอวไว้แน่น
“อย่าขยับ”
หนานกงสือเยวียนบอกพวกที่อยู่ด้านหลัง พร้อมกับมองใบหน้าไร้เดียงสาของเจ้าก้อนแป้งในอ้อมแขน
“มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”
อันที่จริง นี่ก็เป็นคำถามที่หนานกงฉีเฉินและคนอื่น ๆ อยากถามเหมือนกัน
บางทีคงเป็นเพราะตอนนี้มีคนอยู่มากจึงรู้สึกปลอดภัย หรือไม่ก็เพราะท่าทีที่ดูไม่มีพิษมีภัยของเสือทั้งสอง ความกลัวที่บังเกิดขึ้นก่อนหน้าจึงค่อย ๆ เลือนหายไป จากนั้นสายตาที่พวกเขามองดูเสี่ยวเป่าและเสือก็ปรากฏแววสับสนเล็กน้อย
หรือว่าองค์หญิงรู้จักกับเสือสองตัวนี้?
“น้องหญิง เจ้ารู้จักพวกมันหรือ”
พอเสี่ยวเป่าผละออกจากอ้อมกอดของท่านพ่อและลงจากหลังม้าแล้ว ก็ถูกเหล่าพี่ชายเข้ามามุงล้อมทันที โดยมีเจ้าเสือสองตัวที่สะบัดหางเอื่อยเฉื่อยเดินตามอยู่ข้างหลัง
นัยน์ตาคู่นั้นดูระแวดระวังยามมองไปที่หนานกงสือเยวียน ทั้งยังแยกเขี้ยวขู่เป็นครั้งคราว แต่ยามที่มองเสี่ยวเป่าแววตากลับเป็นมิตรและเปี่ยมไปด้วยความสุข ดูสองมาตรฐานอย่างเห็นได้ชัด
เหล่าพี่ชายเดินเข้าไปหาน้องสาวแม้จะรู้สึกหวาดกลัว อีกทั้งยังถามในสิ่งที่อดกลั้นมานานซึ่งใคร ๆ ล้วนก็อยากรู้
เสี่ยวเป่ากะพริบตาอย่างงงวย “เอ๋? ก็ต้องรู้จักมิใช่หรือ”
หนานกงฉีเฉินสับสนยิ่งกว่าเก่า “พวกมัน…มาจากหนานจ้าวมิใช่หรือ แล้วเจ้ารู้จักเสือสองตัวนี้มาก่อนได้อย่างไร”
เสี่ยวเป่า “พวกท่านก็รู้จักนะ ในงานเลี้ยงวันเกิดของท่านพ่ออย่างไรเล่า”
ทุกคน “…”
นี่เป็นคำตอบที่พวกเขาคาดไม่ถึงว่าจะได้ยิน
“แล้วก่อนหน้างานเลี้ยงล่ะ?”
คราวนี้เสี่ยวเป่าส่ายหัวอย่างเด็ดขาด
ท่าทีเช่นนั้น เจ้ายื่นมือเข้าปากเสือแต่ไม่ถูกมันกัด ยังจะบอกว่าไม่รู้จักอีกหรือ!?
หนานกงฉีจวินมีความสับสนงุนงง “น้องหญิง เจ้าไม่รู้จักพวกมันก่อนหน้างานฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของเสด็จพ่อจริง ๆ หรือ ลองคิดดูให้ดีอีกทีได้หรือไม่”
แววตาของเสี่ยวเป่าเปี่ยมไปด้วยความสัตย์จริง “ไม่รู้จัก เสี่ยวเป่าไม่รู้จักจริง ๆ”
“แล้วเหตุใดพวกมัน…ถึงเชื่องกับเจ้าเพียงนั้นเล่า?”
เสี่ยวเป่าคุยโวอย่างไม่กระดากอาย “เพราะพวกมันชอบเสี่ยวเป่าอย่างไรเล่า”
นางพูดพลางหันไปยิ้มหวานให้เจ้าเสือยักษ์ทั้งสอง
เสือสองพี่น้องนึกว่าเสี่ยวเป่ากำลังเรียกพวกมัน จึงรีบวิ่งเข้ามาหาทันที
“อ๊ากกกกก!!!”
“พวกเจ้าอย่าเข้ามานะ!!!”
พวกที่ยืนล้อมเสี่ยวเป่ากรีดร้องต่อต้านทันควัน พร้อมกับวิ่งไปหลบข้างหลังเสี่ยวเป่า
แม้ในใจจะรู้ดีว่าพวกมันไม่เป็นอันตราย แต่ร่างกายกลับควบคุมไม่อยู่
พวกเขากล้าหาญมากตอนที่เผชิญอันตรายเมื่อครู่ ทว่าบัดนี้…หลบอยู่หลังน้องสาวดูจะปลอดภัยกว่า พวกเขายังไม่พร้อมเผชิญหน้ากับเสือขนาดยักษ์สองตัวในตอนนี้
“เร็วสิน้องหญิง รีบไล่พวกมันไปเร็วเข้า”
“ออกไปสิ ออกไป อย่าเข้ามา!!!”
เสือทั้งสองมีขนาดตัวใหญ่มาก พวกเขารู้สึกว่าตนเองตัวเล็กนิดเดียวยามที่อยู่ใกล้พวกมัน หากถูกย่ำลงกับพื้นก็อย่าหวังว่าจะลุกขึ้นได้
คล้ายกับไม่ได้ยินเสียงตะโกนห้ามของคนพวกนั้น สองเสือยักษ์เดินเข้าไปหาเสี่ยวเป่าโดยไม่สนสิ่งใด จากนั้นก็ใช้หัวคลอเคลียนาง
คลอเคลียจนเสี่ยวเป่าแทบจะล้มหัวคะมำ
เหล่าพี่ชายที่ซ่อนอยู่ข้างหลังเสี่ยวเป่าไม่มิดเลยสักนิด “…”
รีบร้อนประคองเสี่ยวเป่า จากนั้นก็ปล่อยมือและก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็ว…
พวกเขายอมรับว่าเสือสองตัวนี้ชอบเสี่ยวเป่าจริง ๆ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะชอบพวกเขาด้วย
หนานกงสือเยวียนยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน ทั้งยังอุ้มเสี่ยวเป่าไว้ได้ทันก่อนที่จะถูกพวกมันคลอเคลียจนล้มลง
เจ้าเสือขาวกระโจนเข้าใส่และเกือบจะแตะร่างได้ ทว่าหนานกงสือเยวียนเบี่ยงตัวหลบอย่างว่องไว
มันส่ายหัวไปมา หางโค้งงอเป็นรูปตะขอ ดวงตาสีฟ้าเข้มจ้องมองไปที่เขา จากนั้นก็กระโจนเข้าใส่เป็นครั้งที่สอง
หนานกงสือเยวียนหลบได้อีกครั้ง
เจ้าเสือดำเหลือบมองน้องชายขี้เล่นของตนแวบหนึ่ง จากนั้นก็นั่งลงเลียอุ้งเท้าอย่างไม่สนใจ
หนานกงสือเยวียนอุ้มบุตรสาวหลบหลีกอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าเจ้าเสือขาวดูจะตื่นเต้นขึ้นเรื่อย ๆ จึงแน่ใจแล้วว่ามันกำลังเล่นสนุก สีหน้าก็พลันดุดันขึ้นมาทันที
“ถอยไป!”
เมื่อเสียงตำหนิอันเย็นชาเปี่ยมด้วยความน่าเกรงขามของจักรพรรดิดังขึ้น ท่าทางที่กำลังกระโจนเข้าใส่ของเสือขาวก็หยุดชะงัก จากนั้นมันก็แยกเขี้ยวใส่ พร้อมกับส่ายแผงคอไปมาอย่างไม่พอใจ
เจ้าคิดว่ากำลังดุใครอยู่ มนุษย์ตัวกระจ้อยร่อยเช่นเจ้ากล้าดุมันอย่างนั้นหรือ!
เสี่ยวเป่าในอ้อมแขนท่านพ่อรีบโบกมืออย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ทำหน้าดุแบบเด็กน้อยใส่เจ้าเสือขาว
“ต้องเชื่อฟังท่านพ่อนะ!”
เสือขาว “…”
มันวิ่งหูลู่หูตกไปหาพี่ชายอย่างน้อยอกน้อยใจ จากนั้นก็มุดหัวเข้าใต้ท้องเจ้าเสือดำพลางส่งเสียงคร่ำครวญสะอื้นไห้ ฟังไม่ออกว่ากำลังพูดหรือสาปแช่งว่าอะไร
เสือดำก้มมองน้องชายผู้โง่เขลาของตน และใช้อุ้งเท้าตบหัวของมันอย่างขอไปทีพร้อมกับส่งเสียงคำราม
เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ต่อให้โง่ทึ่มก็ต้องทนอยู่ด้วยกันต่อไป จะให้ทิ้งขว้างก็คงไม่ได้
“แฮ่ก ๆ… เกิด เกิดอันใดขึ้น…”
หนานกงหลีที่รู้ข่าวช้าไปหลายก้าวรีบควบม้าเข้ามาอย่างเหนื่อยหอบ รู้สึกไร้เรี่ยวแรงเหมือนคนใกล้ตาย และใช้พี่สี่เป็นเสาหลักพิงกาย แทบจะทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดไปที่เขา
หนานกงจ้านไม่ขยับเขยื้อน แต่พูดได้เพียงว่าสีหน้าจำใจของเขาในตอนนี้เหมือนกับของเจ้าเสือดำอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
“อ๊ะ! แย่แล้ว!”
ในที่สุดเขาก็เห็นเสือร้ายตัวใหญ่ยักษ์สองตัว หนานกงหลีตกใจจนสะดุ้งโหยง ดวงตาเบิกกว้างยิ่ง
“เสด็จพี่ เสี่ยวเป่า!!!
เขากรีดร้องโหยหวนอย่างใจสลาย ดึงดูดสายตาทุกคู่ให้หันไปมอง เสือสองตัวสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงที่เปล่งออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว
“พวกท่าน พวกท่าน…”
รีบมาทางนี้เร็วเข้า!
เขาชะงักประโยคถัดมากลางคัน เพราะว่าบัดนี้เสือทั้งสองตัวกำลังจ้องตรงมาที่เขา
หนานกงหลีกลืนน้ำลายเบา ๆ “คะ…ใครปล่อยพวกมันออกมา”
เสือตัวใหญ่มหึมา ตัวหนึ่งดำ ตัวหนึ่งขาว นอกจากพวกหนานจ้าวก็มิต้องคิดเป็นอื่น สามารถระบุตัวผู้กระทำได้อย่างง่ายดาย
จนกระทั่งพวกมันหันกลับไป หนานกงหลีจึงตบหน้าอกของตนอยู่หลายทีราวกับวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง
“นะ…นี่มันเรื่องอันใดกัน?”
น้ำเสียงของเขาสั่นเครือ แข้งขาไร้เรี่ยวแรง มือเกาะพี่สี่ไว้ไม่ยอมปล่อย
“พี่สี่ ท่านช่วยพยุงข้าที ขาข้า…ไม่ค่อยมีแรง”
หนานกงจ้านพูดอย่างตรงไปตรงมา “ข้าไม่รู้ด้วย”
แต่สุดท้ายก็ยื่นมือไปประคองน้องชายผู้ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวอยู่ดี
“ไปหากรงมาขังพวกมันไว้ก่อน”
แม้เรื่องราวจะดูพิลึกพิลั่น แต่ก็นับว่าโชคดีที่ไม่เกิดเหตุร้ายอันใด หนานกงสือเยวียนสั่งให้คนไปหากรงเพื่อนำมาขังพวกมัน
แต่ในเวลาเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหากรงขังเสือสองตัวที่มีน้ำหนักรวมกันเกินหนึ่งร้อยห้าสิบต้านบนเขาไป่สิงแห่งนี้
หากบุ่มบ่ามนำกลับไปจะต้องก่อให้เกิดความโกลาหลอย่างแน่นอน
ขณะที่กำลังกลัดกลุ้มมิรู้จะทำเช่นไร จู่ ๆ เจ้าเสือดำก็ส่งเสียงคำรามต่ำไปให้เสี่ยวเป่า จากนั้นมันก็พาเจ้าเสือขาวผู้เป็นน้องชายวิ่งเข้าป่าอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรก็หายวับลับไปจากสายตา
ทำให้หนานกงหลีกล้าเดินเข้ามาในที่สุด
“เสด็จพี่ นี่มันเรื่องอันใดกัน?”
หนานกงสือเยวียนไม่ตอบคำถามของเขา แต่มองไปที่เสี่ยวเป่า
“พวกมันไปหาของกินเพคะ”
เสี่ยวเป่าตอบคำถามอย่างว่าง่ายราวกับรู้ว่าท่านพ่อจะถามนางว่าอะไร
หนานกงหลี: …ใครก็ได้ช่วยสนใจข้าหน่อย ตัวข้ารูปงามองอาจถึงเพียงนี้ ไม่อยู่ในสายตาพวกเจ้าเลยหรือ!