บทที่ 258 ข้าจะพาพวกเจ้าไปหานางเอง
บทที่ 258 ข้าจะพาพวกเจ้าไปหานางเอง
เจ้าเสือขาวยื่นหัวเข้ามา มันมองคนตรงหน้าแวบหนึ่ง จมูกนั่นสูดดมกลิ่นไปมาพลางเงยหน้าขึ้นสูงเพื่อมองไปรอบ ๆ ดวงตาคู่โตเต็มไปด้วยความสงสัย
อะไรกัน กลิ่นข้างในนี้เข้มข้นมาก แต่เหตุใดตัวคนถึงไม่อยู่?
บัดนี้จี้หนานอ๋องยืนห่างจากหัวของเจ้าเสือขาวไม่ถึงหกจั้ง เขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ เพราะกลัวว่าลมหายใจของตนจะดึงดูดความสนใจของบรรพบุรุษท่านนี้เข้า และกลายเป็นอาหารของมันในที่สุด
โดยเฉพาะปากของเสือขาวที่ชุ่มไปด้วยเลือดซึ่งยังสดใหม่ ยิ่งเพิ่มความน่าสยดสยองมากขึ้นไปอีก
เจ้าเสือขาวเพียงยื่นหัวเข้ามา ทว่าลำตัวที่เหลือยังอยู่ด้านนอก
บัดนี้ด้านนอกกำลังส่งเสียงเอะอะโวยวาย เจ้าเสือดำรู้สึกรำคาญ มันจึงดันน้องชายเข้าไปข้างในกระโจม จากนั้นก็มุดตามเข้าไปด้วย
หากเทียบกับเสือขาวที่ดูมีชีวิตชีวา เห็นได้ชัดว่าเจ้าเสือดำดูน่ายำเกรงทั้งยังสุขุมมากกว่า นัยน์ตาสีทองจ้องมองไปรอบ ๆ จากนั้นก็ส่งเสียงคำรามต่ำเมื่อไม่เห็นคนที่มันกำลังตามหา
เสียงคำรามนั่นทำเอาทั้งคนข้างในและนอกกระโจมต่างหวาดกลัวจนอกสั่นขวัญแขวน
เจ้าเสือขาวสะบัดหางไปมา จากนั้นก็หันไปถูไถเจ้าเสือดำ พลางส่งเสียงฟึดฟัดคล้ายกับกำลังพูดบางสิ่ง
สุดท้ายหนานกงฉีซิวก็ทำลายบรรยากาศที่แสนตึงเครียดนี้ลง
“พวกเจ้ามาหาเสี่ยวเป่าใช่หรือไม่?”
เขาพยายามใช้น้ำเสียงที่ดูสงบนิ่งมากที่สุด ชายหนุ่มเผชิญหน้ากับเสือขนาดมหึมาถึงสองตัว ใช่ว่าจะไม่กลัวในยามที่ต้องเผชิญความเป็นความตาย เพียงแต่เขาเลือกจะเชื่อใจน้องสาวและเชื่อในตัวเสด็จพ่อ
ไม่รู้ว่าเสือสองตัวนั้นมีปฏิกิริยากับคำว่า ‘เสี่ยวเป่า’ หรือไม่ พวกมันกระดิกหู ดวงตาสองคู่หันมามองเขาอย่างพร้อมเพรียง
จี้หนานอ๋อง “…”
องค์ชายใหญ่แห่งต้าเซี่ยผู้นี้ช่างใจกล้ายิ่งนัก
“ข้าจะพาพวกเจ้าไปหานางเอง”
หนานกงฉีซิวลุกจากรถเข็นและค่อย ๆ ก้าวเดินไปหาพวกมัน
บัดนี้จี้หนานอ๋องรู้สึกใจไม่เป็นสุข ขณะมองอีกฝ่ายเดินเข้าไปหาเสือสองตัวนั้นด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“ช่วยหลบไปหน่อยได้หรือไม่? ข้าจะนำทางให้พวกเจ้า”
เสือทั้งสองมองหน้าเขาเป็นตาเดียว
เวลานี้จี้หนานอ๋องกลัวเหลือเกินว่าองค์ชายใหญ่จะถูกกัดขึ้นมาจริง ๆ
ทว่าที่ไหนได้ หลังจากมองอยู่อึดใจ พวกมันก็หลีกทางให้อย่างว่าง่าย
หนานกงฉีซิวกำนิ้วเรียวยาวแน่น แม้จะเดินอย่างเชื่องช้า แต่ว่าก็เดินนำหน้าพวกมันไป
รูปร่างเพรียวบางของเขานับว่าดูเล็กจ้อยยามที่อยู่ต่อหน้าสัตว์ร้ายทั้งสอง ทว่าก็สามารถประจันหน้ากับมันได้โดยไร้ความหวั่นเกรง นับว่ามีจิตใจที่แข็งแกร่งทีเดียว
ทหารด้านนอกต่างถืออาวุธและคบเพลิงไว้ เฝ้าระวังแต่ไม่กล้าเคลื่อนไหวโดยพลการ
ไม่ต้องพูดถึงคำสั่งก่อนหน้า ตอนนี้ ‘ตัวประกัน’ อย่างองค์ชายใหญ่ก็ยังตกอยู่ในกำมือของพวกมัน
ชั่วอึดใจถัดมา ก็เกิดรูปขบวนอันแปลกประหลาด
หนานกงฉีซิวเดินอยู่ข้างหน้าสุดในฐานะคนนำทาง พยัคฆ์ขาวดำคล้ายเนินเขาสองตัวเดินตามเขาอย่างเอื่อยเฉื่อย ในปากคาบซากสัตว์โชกเลือด ให้ความรู้สึกน่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง
ข้างหลังพวกเสือคือทหารที่ถืออาวุธและคบเพลิงกลุ่มหนึ่ง กำลังเดินตามด้วยอาการตัวสั่นงันงก จี้หนานอ๋องท่าทางเซ่อซ่าก็เป็นหนึ่งในนั้น
มิหนำซ้ำสมาชิกยังเพิ่มเข้ามาในขบวนอย่างไม่หยุดหย่อน และเมื่อได้เห็นว่าใครถูกเสือสองตัวนั้น ‘จับเป็นตัวประกัน’ พวกเขาก็แทบสิ้นสติในทันที
ช่างอายุสั้นนัก! เหตุใด…เหตุใดถึงเป็นองค์ชายใหญ่ไปได้!
เมื่อเผชิญกับผู้คนที่ตื่นตระหนกราวกับกระต่ายตื่นตูม หนานกงฉีซิวกลับสงบนิ่งดังเดิม และนำทางต่อไปอย่างเชื่องช้า
สาเหตุเพราะเขาเดินได้ไม่เร็วนัก…
“ไปทูลองค์หญิงเจาเสวี่ยว่าสหายของนางมาหา”
แม้จะเตรียมใจมาแล้ว แต่หลินเจิ้งชิงก็ยังตื่นตกใจอยู่ดีเมื่อเห็นเสือยักษ์สองตัวอยู่ในค่าย ทว่าเขาก็สงบสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว
“พ่ะย่ะค่ะ!”
จากนั้นก็รีบเร่งไปเรียกกำลังเสริม องค์หญิงท่านรีบมาเร็ว ๆ เถิดพ่ะย่ะค่ะ!
เสือสองตัวสูดจมูกในอากาศ เมื่อมั่นใจว่ามีกลิ่นของเสี่ยวเป่าจริง ๆ พวกมันก็ไม่สงสัยในตัวเขาอีก
ที่พวกมันไม่ได้ตามหาด้วยตัวเอง สาเหตุหลักเป็นเพราะว่าทั่วทุกหนแห่งในค่ายล้วนมีกลิ่นของเสี่ยวเป่า พวกมันตามหาอยู่นานก็ยังไม่พบ จึงเป็นเรื่องดีที่มีคนมาช่วยนำทาง
พอเสี่ยวเป่ารู้ข่าวก็รีบแต่งเนื้อแต่งตัวจนดูคล้ายกับก้อนแป้งทรงกลม จากนั้นก็รีบวิ่งมาพร้อมกับท่านพ่อและพวกพี่ชาย
“พี่ใหญ่ เจ้าเสือยักษ์!” นัยน์ตาสีดำขลับของเจ้าก้อนแป้งขาวผ่องทอประกายวาววับ เสียงอ่อนหวานลอยมาตามลมหนาวฟังดูสดใสร่าเริงยิ่ง ราวกับเป็นนกติ๊ดสีขาวขนปุยกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจท่ามกลางผืนหิมะ
เจ้าตัวน้อยตื่นเต้นมาก รีบเร่งกระโจนวิ่งฝ่าหิมะหนา แต่อนิจจา หิมะหนามากจนขาสั้นป้อมจมลงไปจนเกือบมิด
คล้ายกับคาดเดาผลลัพธ์ได้ราง ๆ หนานกงสือเยวียนไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว เพียงใช้แขนคว้าเจ้าก้อนแป้งขึ้นมา
เสี่ยวเป่าได้คืบจะเอาศอก กอดแขนของท่านพ่อและเกาะอยู่อย่างนั้น ใบหน้าประณีตงดงามแต้มรอยยิ้มที่ดูซื่อบื้อ
“ท่านพ่อ พวกเรารีบไปกันเถอะ”
เสี่ยวเป่าเร่งรัดท่านพ่อโดยห้อยตัวทั้งแบบนั้น
ทว่าจังหวะก้าวของหนานกงสือเยวียนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ค่อย ๆ เดินตรงไปยังเสือสองตัวอย่างเชื่องช้า
เจ้าเสือขาวกระตือรือร้นมาก เมื่อเห็นตัวคน มันก็รีบลากซากหมีควายพร้อมกับวิ่งเข้าไปหาท่าทางมีความสุข
แต่เพราะซากหมีควายนั้นหนักเกินไป จึงออกแรงจนใบหน้าบิดเบี้ยว
มันลากซากหมีตัวใหญ่มาตลอดทางจนหมดแรง
หนานกงสือเยวียนขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นซากสัตว์ที่ตัวใหญ่เสียยิ่งกว่าเสือ
หากเขาจะฆ่าหมีได้สักตัวก็ยังต้องพึ่งอาวุธ ไม่ง่ายเลยที่เจ้าเสือสองตัวนี้จะเจอหมีควายและสามารถฆ่ามันได้โดยใช้เวลาเพียงไม่นาน
แม้พยัคฆ์จะถูกขนานนามว่าเป็นราชันแห่งสัตว์ทั้งปวง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหมีที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวของมัน ก็ไม่แน่ว่าใครจะแพ้ ใครจะชนะ
ต่อให้สองรุมหนึ่ง แต่การที่สามารถล่าและนำกลับมาได้ภายในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้ก็พิสูจน์แล้วว่าเสือสองตัวนี้ไม่ธรรมดา
เสี่ยวเป่ากะพริบตาปริบ ๆ ขณะมองดูซากหมีที่อยู่ตรงหน้า
“ให้เสี่ยวเป่าหรือ”
เจ้าเสือขาวกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจพลางส่งเสียงครวญครางคล้ายกับกำลังออดอ้อน ทั้งยังสะบัดหางไปมาบนพื้นหิมะ
เมื่อกิเลนคู่ตัวใหญ่ยักษ์*[1]เจอเสี่ยวเป่า สัตว์สองขาตัวอื่น ๆ ก็ไม่อยู่ในสายตาของพวกมันอีกต่อไป
เสี่ยวเป่าซึ่งถูกท่านพ่ออุ้มเอาไว้มีความสูงเท่ากับหัวของเจ้าเสือขาวที่กำลังเชิดสูงพอดิบพอดี นางจึงยกแขนน้อย ๆ โอบกอดหัวใหญ่โตของมันและใช้สองมือเกาใบหูฟูฟ่อง
การกระทำที่อาจหาญเช่นนี้ทำเอาผู้พบเห็นต่างรู้สึกเป็นกังวล ดวงตาแแทบถลนออกจากเบ้า
แต่นอกจากเจ้าเสือขาวที่ถูกลูบหัวเกาหูจะไม่อารมณ์เสียแล้ว มันกลับดีใจเสียยิ่งกว่าเก่า และเป็นฝ่ายใช้หัวอันน่ากริ่งเกรงของตัวเองคลอเคลียท้องน้อย ๆ ของนาง ดูไม่ต่างอะไรกับแมวที่ถูกขยายร่างจนตัวใหญ่ยักษ์
ทุกคน “…”
สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ก่อนหน้านี้พวกเขายังคิดว่าข่าวลือฟังดูเกินจริงไปหน่อย ทว่าตอนนี้พวกเขากลับรู้สึกว่า…ข่าวลือยังไม่ได้ครึ่งกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าเลย
[1] กิเลนคู่ตัวใหญ่ยักษ์ (一对招子) คือ ตุ๊กตากิเลนคู่สีทอง ในที่นี้ใช้เปรียบเทียบเสือ