บทที่ 260 ข้าผิดไปแล้วเสด็จพี่
บทที่ 260 ข้าผิดไปแล้วเสด็จพี่
หนานกงสือเยวียนจ้องมองน้องชายที่แสร้งป่วยด้วยสายตาอาฆาต ทำเอาหนานกงหลีหวาดกลัวจนตัวสั่น ก่อนจะคุกเข่าลงอย่างชำนิชำนาญ พลางกอดท่อนขาของเขาพร้อมกับยอมรับผิด
“ข้าผิดไปแล้วเสด็จพี่!”
ทว่าด้วยพฤติกรรมที่น่าเอือมระอาของเขา สำนึกผิดครั้งนี้ก็มีครั้งต่อไปอีกอยู่ดี
“นำตัวไป”
หนานกงสือเยวียนออกคำสั่งเพียงคำเดียว หนานกงจ้านที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มองน้องชายพลางถอนหายใจ จากนั้นก็ลากตัวออกไปโดยไม่เหลือความเป็นพี่น้อง
หนานกงหลี “…ข้าก็แค่ขี้เกียจเท่านั้นเอง…”
เหตุใดถึงได้ยากขนาดนี้นะ เขาเป็นเซียวเหยาอ๋องมิใช่หรือ ทำไมเขาถึงต้องทำงานด้วยเล่า!
เสี่ยวเป่าเอามือปิดหู ไม่มองท่านอาเจ็ดที่กำลังขอความช่วยเหลือ “เสี่ยวเป่าไม่ได้ยิน เสี่ยวเป่าไม่ได้ยิน…”
นางเองก็ไม่อยากเห็นท่านอาเจ็ดต้องทนทุกข์เช่นกัน แต่คนที่จับตัวเขาคือท่านพ่อกับท่านอาสี่ แล้วเด็กตัวเล็ก ๆ อย่างนางจะไปทำอะไรได้!
ภายในเวลาไม่ถึงชั่วลมหายใจ เสี่ยวเป่าที่รู้สึกสงสารท่านอาเจ็ดเมื่อครู่ก็จมอยู่ในก้อนขนฟูฟ่องจนถอนตัวไม่ขึ้น
ขนอันนุ่มฟูหนาเป็นชั้นของเจ้าเสือน่าลูบไล้เป็นที่สุด!
จากนั้นนางก็สั่งให้ชุนสี่ไปหยิบหวีเล่มเล็กของตนมา ทั้งยังสั่งให้เตรียมน้ำร้อน
พวกพี่ชายมองนางทำงานมือเป็นระวิงด้วยความอยากรู้อยากเห็น “น้องหญิง เจ้าจะทำอะไรหรือ”
เสี่ยวเป่าตอบเสียงหวานอย่างมีความสุข “เสี่ยวเป่าจะล้างตัวหวีขนให้พวกมัน”
ภายในกระโจมอากาศอบอุ่น แต่ว่าพวกเสือตัวใหญ่เกินไปจึงไม่เหมาะที่จะอาบน้ำ ดังนั้นเสี่ยวเป่าจึงทำได้เพียงเช็ดตัวให้พวกมันไปก่อน เพราะตอนนี้พวกมันเปรอะเปื้อนคราบเลือดไปทั้งตัว
เหล่าพี่ชายได้ยินเช่นนั้น ดวงตาก็พลันเป็นประกาย “พวกเราขอทำด้วยได้หรือไม่”
พวกเขาก็อยากลูบไล้สัมผัสพวกเจ้าเสือเหมือนกัน เจ้าก้อนขนตัวใหญ่ยักษ์ อีกทั้งยังดูน่าเกรงขาม เด็กผู้ชายชอบเจ้าขนปุกปุยที่ดุร้ายแบบนี้เป็นที่สุด!
เสี่ยวเป่าเอียงคออย่างน่ารักน่าชัง “เช่นนั้นเสี่ยวเป่าขอคุยกับพวกมันก่อนนะเพคะ”
เจ้าตัวน้อยกระโดดดึ๋ง ๆ เข้าไปหาเหมือนลูกกระต่ายสีขาวขนกระเซิง จากนั้นก็ยกอุ้งมือน้อย ๆ วางมือแต่ละข้างลงบนศีรษะของพวกมัน ที่เป็นดั่งเป้าหมายสูงสุดของชีวิตทุกคน!
อย่างไรเสียในสายตาของเหล่าพี่ชายก็เป็นเช่นนั้น ในขณะที่คนอื่น ๆ กอดบุรุษและสตรี แต่น้องสาวของพวกเขากลับกอดเสือตัวใหญ่ยักษ์ถึงสองตัว!
เสี่ยวเป่ายื่นหน้าเข้าไปใกล้หูของพวกมันและพูดบางสิ่ง จากนั้นก็เดินกลับมาพร้อมกับพยักหน้าพลางบอกว่าเสือสองตัวนั้นอนุญาตแล้ว
บรรดาพี่ชาย “??!!!”
เจ้าพูดกับพวกมันว่าอะไร ไม่สิ! เจ้าพูดภาษาสัตว์ได้ด้วยหรือ
บรรดาพี่ชายนิ่งอึ้งพลางมองน้องสาวผู้แสนอ่อนโยนของตน “เจ้า… บอกพวกมันว่าอะไรหรือ”
เสี่ยวเป่า “ก็บอกพวกมันว่าพวกท่านเป็นพี่ชายของเสี่ยวเป่า สนิทกับเสี่ยวเป่ามากที่สุด ห้ามทำร้ายพวกท่าน”
“แล้ว…มันสองตัวเข้าใจด้วยหรือ แล้ว… แล้วพวกมันอนุญาตอย่างไรหรือ”
เสี่ยวเป่ากลอกดวงตากลมโตที่ดูหลักแหลม “ก็พวกมันฉลาดนี่นา พยักหน้าแปลว่าอนุญาต”
เพื่อพิสูจน์ว่าตนเองมิได้พูดปด เสี่ยวเป่าจึงลากบรรดาพี่ชายให้เข้าไปใกล้ จากนั้นก็จับหางของเจ้าเสือขาวและยื่นมาตรงหน้าพวกเขา
“เร็วสิท่านพี่ ลองจับหางของมันดู!”
เจ้าก้อนแป้งตัวน้อยยื่นหางของเจ้าเสือขาวไปตรงหน้าพวกพี่ชายราวกับกำลังมอบสมบัติ นัยน์ตาคู่งามทอประกายวาววับดุจดวงดาราบนฟากฟ้า
เหล่าพี่ชายนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ขณะมองพวงหางฟูฟ่องอันใหญ่โตตรงหน้า
ผู้ใดจะไปคาดคิดว่าคนแรกที่ได้สัมผัสหางเสือจะไม่ใช่องค์ชายห้าผู้กล้าหรือองค์ชายแปดจอมบ้าบิ่น แต่เป็นองค์ชายสาม
ในขณะที่ทุกคนไม่ทันได้ตอบสนอง องค์ชายสามก็จ้องมองหางอันน่าสัมผัสอย่างใกล้ชิด จากนั้นก็ยื่นมือออกไปและคว้าปลายหางของเจ้าเสือขาวที่กำลังสะบัดไปมา
ปลายหางของเสือขาวว่องไวปราดเปรียว มันส่ายไปมาพลางบิดตัวราวกับเป็นไส้เดือน แม้จะถูกจับเอาไว้ แต่ส่วนปลายหางที่เป็นวงแหวนสีดำซึ่งโผล่ออกมา ยังคงบิดพลิ้วดูมีชีวิตชีวาในมือของหนานกงฉีอวิ๋น
หนานกงฉีอวิ๋นบีบหางอันนุ่มฟูในมือเบา ๆ จากนั้นแววตาคู่งามที่ดูห่อเหี่ยวในทีแรกก็พลันเป็นประกาย มีความสุขราวกับสามารถส่องแสงออกมาจากร่างได้
พี่น้องคนอื่น ๆ : แสบตามาก!
พี่สามชอบพวกสัตว์ขนปุกปุยมากที่สุด ตอนที่อุ้มสุนัขจิ้งจอกกับลูกหมาป่าก่อนหน้าก็เหมือนว่าจะเป็นเช่นนี้ สดใสเบิกบานจนคล้ายกับส่องแสง ดูระทมทุกข์น้อยกว่ายามปกติอย่างเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าแตกต่างกันสุดขั้ว
เมื่อเห็นหนานกงฉีอวิ๋นเริ่ม คนที่เหลือก็แทบอดใจรอไม่ไหวอยากสัมผัสหางของเจ้าเสือขาวบ้าง
ไม่น่าเชื่อว่ามันจะไม่โกรธทั้งยังไม่ขัดขืน
เสี่ยวเป่าคอยกำชับอยู่ข้างหูด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“พวกท่านจับเบา ๆ นะ อย่าทำมันเจ็บ”
พวกเขารู้จุดนี้เป็นอย่างดี หากว่าดึงหางแมวจนทำให้มันเจ็บ อย่างมากที่สุดพวกเขาก็แค่โดนตะปบด้วยอุ้งเท้า แต่หากทำเจ้าเสือตัวนี้เจ็บละก็ พวกเขาได้โดนตบจนกระอักเลือดแน่!
ตอนนี้ทั้งน้ำร้อนและหวีพร้อมแล้ว เสี่ยวเป่าคว้าหวีและรีบวิ่งปรี่เข้าไปแปรงขนให้พวกเสือทันที
องค์ชายสาม สี่ และห้าต่างใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำร้อนเช็ดคราบเลือดที่ปากให้เสือทั้งสองตัว
แน่นอนว่าเสี่ยวเป่าเป็นผู้ที่คอยชี้แนะ ไม่อย่างนั้นพวกเขาย่อมไม่มีทางวางใจได้ หากต้องเข้าใกล้ปากของพวกมัน
เจ้าเสือดำให้ความร่วมมือโดยหมอบลงกับพื้น พลางรับการปรนนิบัติด้วยความผ่อนคลาย
องค์ชายห้า หนานกงฉีหลิงกำลังเช็ดขนให้เจ้าเสือก็มิวายบ่นพึมพำ
“เมื่อก่อนคนอื่นต้องคอยรับใช้พวกเรา ตอนนี้เล่า พวกเราดันต้องมาปรนนิบัติลูกพี่ทั้งสองเสียอย่างนั้น”
ก็แน่ล่ะสิ ฐานะอย่างพวกเขามีหรือจะเคยรับใช้ปรนนิบัติผู้อื่น แต่การได้เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เจ้าพวกเสือแบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกัน
เจ้าเสือพวกนี้เป็นสัตว์ป่า บนตัวมีขนที่ผลัดออกอยู่ไม่น้อย เสี่ยวเป่าใช้หวีสางจนหลุดออกมาเป็นกอง
ทุกครั้งที่ลงหวี ขนของพวกมันก็จะพลิ้วไหวราวกับทุ่งข้าวสาลีที่ถูกลมพัด ดูเรียบตรงและนุ่มฟูยิ่งกว่าเดิม
เสือสองตัวรู้สึกสบายเป็นอย่างยิ่ง ถึงขั้นนอนหมอบบนอุ้งเท้า หลับตาพริ้มพลางส่งเสียงกรนอย่างผ่อนคลาย
เพราะว่าพวกมันตัวใหญ่เกินไป จึงใช้น้ำปริมาณมาก เส้นขนที่ได้รับการแปรงอยู่นานจนสะอาดเอี่ยมอ่องทำให้เจ้าเสือดูสง่าผ่าเผยยิ่งขึ้น แต่ก็ทำเอาพวกเขาหมดแรงเช่นกัน
หนานกงสือเยวียนที่ออกไปแล้วกลับมาที่กระโจมของตนอีกครั้ง สิ่งที่เห็นคือขนเสือที่ปลิวว่อนไปทั่ว ไม่เว้นแม้แต่บนตัวของลูกชายและลูกสาว
กระทั่งปลิวมาติดบนจมูก บนไหล่ และบนหัวของเขาอยู่หลายเส้น
หนานกงสือเยวียน “(▼ヘ▼#)”
เขาเดินตรงเข้าไป จากนั้นก็อุ้มตัวลูกสาวที่นอนเกาะอยู่บนหลังเสือด้วยความเหน็ดเหนื่อยจนแขนไร้เรี่ยวแรงดูราวกับลูกเจี๊ยบตัวน้อย
“ไปล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาด”
เขาทิ้งคำพูดเย็นชาให้เหล่าลูกชายเพียงไม่กี่คำ จากนั้นก็พาตัวลูกสาวออกไป
“เปลี่ยนกระโจมให้ข้าด้วย”
ฝูไห่รีบรับคำสั่ง เมื่อเห็นกระโจมที่ถูกเหล่าองค์หญิงและองค์ชายทำเละจนอยู่ในสภาพเหลือทนก็พลันริมฝีปากกระตุกอย่างเสียมิได้
ฝ่าบาทค่อนข้างเป็นโรคกลัวเชื้อโรค แต่สามารถทนกับขนปลิวว่อนมากมายเพื่อเข้าไปคว้าตัวลูกสาวออกมาได้ ล้วนเป็นเพราะความรักอันลึกซึ้งที่มีต่อตัวบุตรสาว
แขนและขาของเสี่ยวเป่าห้อยต่องแต่ง ท่านพ่ออุ้มนางเอาไว้ขณะเปลี่ยนกระโจมหลังใหม่ จากนั้นก็ส่งตัวไปให้พวกชุนสี่จัดแจงถอดชุดบนตัวออก ผลัดเปลี่ยนมาสวมเสื้อตัวในสีแดงปักลายจิ๋นหลี่ จากนั้นก็แช่ตัวในน้ำร้อน
เสี่ยวเป่ายกแขนขึ้นคิดจะว่ายน้ำเล่นในอ่าง แต่เมื่อนึกได้ว่าตัวเองเหนื่อยเพียงใดจึงนอนพิงราบปล่อยให้ชุนสี่กับพวกนางกำนัลขัดสีฉวีวรรณจนทั่วตัว