บทที่ 266 มีความสุขคนเดียวไม่สู้มีความสุขกับทุกคน
บทที่ 266 มีความสุขคนเดียวไม่สู้มีความสุขกับทุกคน
ทั้งท้องพระโรงต่างตกตะลึงกับการลงดาบอย่างกะทันหันของฮ่องเต้
ใบหน้าของเจ้ากรมคลังซีดเผือด พลันคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมร้องตะโกนขอฝ่าบาทให้ใคร่ครวญอีกครั้ง
“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่เคยทำสิ่งใดให้ต้าเซี่ยต้องเสื่อมเสีย เหตุใดพระองค์ถึงปลดกระหม่อม กระหม่อม…มิอาจยอมรับพ่ะย่ะค่ะ!”
เจ้ากรมคลังโขกศีรษะลงพื้นอย่างแรง
“ฝ่าบาท หากพระองค์ทำเช่นนี้อาจทำให้ขุนนางเก่ากระด้างกระเดื่องได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท โปรดเมตตาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางหลายคนก้าวออกมาช่วยร้องขอ ส่วนใหญ่ล้วนมีความสัมพันธ์อันดีกับเจ้ากรมคลัง
หนานกงสือเยวียนหลุบตามองผู้ที่คุกเข่าอยู่ เขาไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงแค่โยนจดหมายกับฎีกาลงไป
“ไปดูกันเอาเอง”
คนอยู่ใกล้ที่สุดรีบหยิบจดหมายพวกนั้นขึ้นมาดู เมื่อเห็นเนื้อหาและลายมือ สายตาของเขาก็พลันมืดครึ้ม ก่อนจะหันไปมองเจ้ากรมคลังอย่างไม่เชื่อสายตา
ครั้นเห็นสถานการณ์กลายเป็นเช่นนี้ เจ้ากรมคลังก็หลั่งเหงื่อเย็นเยียบ พอเห็นจดหมายชัด ๆ ดวงตาพลันกลอกกลับจวนเจียนจะหมดสติอยู่รอมร่อ
นี่คือจดหมายที่เขาติดต่อกับราชทูตของหลายอาณาจักรเป็นการส่วนตัว ซึ่งในหลายฉบับเขาได้รับสินบนและใช้ตำแหน่งของตนเปิดประตูหลังให้คนเหล่านี้เข้าใกล้องค์ชายใหญ่กับองค์ชายรองเพื่อหว่านเมล็ดพันธุ์ความขัดแย้ง
มีแม้กระทั่งจดหมายระหว่างอาณาจักรหนานจ้าว ที่คนจากอาณาจักรหนานจ้าวหลบหนีออกจากเมืองหลวงได้ เขาก็มีส่วนรู้เห็นด้วย
สาส์นลับเหล่านี้ยังรวบรวมหลักฐานมากมายเกี่ยวกับการทุจริตและฝ่าฝืนกฎหมาย ความผิดทั้งหมดนี้นับว่าเป็นความผิดฐานกบฏได้แล้ว
ผู้ที่ร้องขอให้เจ้ากรมคลังก่อนหน้านี้ พลันกลับลำร้องขอความเมตตาให้ตนเองในพริบตาถัดมา
“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่ทราบมาก่อนว่าเจ้ากรมคลังได้กระทำความผิดร้ายแรงเช่นนี้ ขอพระองค์โปรดประทานอภัยให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ในยามนี้พวกเขาต่างตื่นตระหนก เมื่อหลักฐานถูกนำออกมาในที่แจ้ง เจ้ากรมคลังก็สิ้นหวังโดยสมบูรณ์ พวกเขาเป็นคนโง่เง่าเช่นใดกันถึงได้มาร้องขอให้อีกฝ่าย นี่เกือบลากทั้งตระกูลไปตายด้วยแล้ว!
ร่างของเจ้ากรมคลังอ่อนยวบ สีหน้าในตอนนี้เต็มไปด้วยความเสียใจ ทว่ามันสายเกินไปแล้ว
ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพราะความละโมบโลภมากที่ทำให้ตนสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เพียงแต่ต้องถูกคุมขัง ทว่าคนทั้งตระกูลยังอาจถูกประหารอีกด้วย
จดหมายเหล่านั้นเพียงพอที่จะเป็นหลักฐานการก่อกบฏได้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปล่อยให้อาณาจักรหนานจ้าวหลบหนีไปได้ นี่เกือบจะก่อให้เกิดหายนะครั้งใหญ่
“ฝ่าบาท กะ…กระหม่อมถูกสตรีหนานจ้าวล่อลวง พวกเขาวางยาพิษกระหม่อมและครอบครัว กระหม่อมทำเช่นลงไปนี้ก็เพื่อครอบครัว โปรดเห็นแก่ที่กระหม่อมทำงานหนักโดยไม่หวังผลตอบแทน ไว้ชีวิตภรรยาและลูก ๆ ของกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
เวลานี้เขาไม่คาดหวังว่าตนจะสามารถพ้นโทษตายนี้ได้ เพียงหวังว่าจะสายเลือดของเขาจะยังคงอยู่เท่านั้น
“เจ้ามันสับปลับ!”
ในเวลานี้พ่อตาของเจ้ากรมคลังพลันดวงตาแดงก่ำ นึกอยากจะทุบตีอีกฝ่ายให้ตาย
“เดรัจฉาน! เจ้าพานังแพศยาหนานจ้าวเข้าบ้านโดยไม่สนภรรยา ยามนี้ไฟลามทุ่งจนแทบวอดวาย เจ้าก็ยังลากทั้งตระกูลเข้าไปพัวพันอีก ไอ้สารเลว!”
ขุนนางบางคนมีความสุข บางคนตื่นกลัว และบางคนถึงกับมีความหวาดหวั่นฉายชัดอยู่ในแววตา
เห็นได้ชัดว่าสาวงามที่อาณาจักรหนานจ้าวส่งมานั้นไม่ได้ส่งไปให้แค่เจ้ากรมคลัง เพียงแต่บางคนรอบคอบมากและบางคนก็ขี้ขลาดจึงไม่ได้รับไว้ มีแค่บางส่วนที่พาสาวงามกลับไปที่เรือนของตน จนทำให้ทั้งครอบครัวถูกกู่ควบคุม
แม้แต่องค์ฮ่องเต้ยังปฏิเสธสาวงาม แต่ขุนนางบางคนกลับหาญกล้ารับไว้
“เอาตัวเจ้ากรมคลังกับครอบครัวของเขาไปที่ศาลต้าหลี่เสีย”
แล้วเจ้ากรมคลังก็ถูกนำตัวออกไปในสภาพอิดโรย
ยามนี้ท้องพระโรงเงียบสงัดยิ่ง ไม่มีใครกล้าพูดอะไร แต่ละคนอยากจะหายตัวไปให้รู้แล้วรู้รอด ฮ่องเต้จะได้ไม่เห็นพวกตน เพราะไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะประสบหายนะเฉกเช่นเจ้ากรมคลังหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ฮ่องเต้ยังทรงขานชื่อขุนนางต่อ
ผู้ที่ถูกเรียกชื่อคล้ายกับเด็กเกเรที่ถูกอาจารย์ในชั้นขานชื่อ ทุกคนต่างก็อยากจะมุดหน้าลงดิน
“เจ้ามีสิ่งใดจะพูดหรือไม่”
“ฝ่าบาท กระหม่อมผิดไปแล้ว กระหม่อมตกหลุมพรางแผนการสมรู้ร่วมคิดของหนานจ้าวไปชั่วขณะ ฝ่าบาทโปรดเมตตาด้วย!”
“ฝ่าบาท กระหม่อมทราบถึงความผิดของตนแล้ว กระหม่อมไม่กล้าทำเช่นนี้อีกแล้ว!”
คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่ชมชอบสาวงามของอาณาจักรหนานจ้าว ต่างมีกู่อยู่ในร่างกายเช่นกัน โชคดีที่พวกเขาค่อนข้างขลาดเขลา จึงไม่กล้าพาสาวงามของอาณาจักรหนานจ้าวเหล่านั้นกลับบ้าน ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงจะโชคร้ายเหมือนกับเจ้ากรมคลัง
มีแม่ทัพเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ดูสับสน
“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่เคยพบกับสาวงามของหนานจ้าวเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
เขาถูกขานชื่อด้วยได้อย่างไรกัน?
หนานกงสือเยวียนไม่ได้พูดอะไร ขณะที่ฝั่งหนานกงหลีรู้สึกยินดี
“แม่ทัพเรือ เจ้าไม่ได้แตะต้องสาวงามเหล่านั้นเลยก็จริง แต่บุตรชายของเจ้าเก็บนางไว้เป็นสมบัติอยู่ข้างนอก หากเขาไม่กลัวว่าเจ้าจะทุบตี ก็คงพานางกลับบ้านด้วยแล้ว”
ใบหน้าของแม่ทัพเรือมืดครึ้มลงในบัดดล หากตอนนี้บุตรชายอยู่ที่นี่ เขาคงไม่สามารถควบคุมตัวเองให้แสดง ‘ความรักของบิดากับบุตร’ ต่อหน้าฮ่องเต้ได้
หนานกงหลีถูกบังคับให้จัดการเรื่องนี้ด้วย ดังนั้นเขาจึงรู้ข่าวมากมาย โดยเฉพาะข่าวซุบซิบที่เขาจำได้ขึ้นใจ
ครั้งนี้ที่เขาได้รับข่าวมามาก ต้องขอบคุณการแสดงของหนานกงฉีซิวและหนานกงฉีโม่ในครั้งนั้น คนเหล่านั้นถึงได้บอกความลับมากมายเพื่อแสดงความจริงใจ
หนานกงสือเยวียนไม่ได้ปลดขุนนางเหล่านั้นออก เพราะการกระทำของพวกเขาไม่ได้ก่อให้เกิดเรื่องร้ายแรงใด ๆ แต่อย่างไรก็ยังถูกลดตำแหน่งและถูกส่งไปหาท่านหมอเจี่ย หากเอากู่ในร่างกายออกไปไม่ได้ เช่นนั้นพวกเขาก็เป็นขุนนางต่อไม่ได้เช่นกัน
หนานกงสือเยวียนมีกู่อยู่ในร่างกายจึงรู้ถึงอันตรายของมันเป็นอย่างดี เขาสามารถควบคุมมันได้ด้วยปณิธานอันแรงกล้าของตน อีกทั้งตอนนี้มีเสี่ยวเป่าอยู่ข้างกายจึงไม่จำเป็นต้องกังวล แต่คนอื่นหาใช่เช่นนั้น ดังนั้นเขาย่อมไม่ยอมให้คนที่มีกู่ในร่างกายอยู่ต่อไป เพราะมันเท่ากับทิ้งอันตรายไว้ใกล้ตนและต้าเซี่ย
เมื่อการประชุมสิ้นสุดลง หนานกงหลีก็เดินตรงเข้าไปหาแม่ทัพเรือผู้โชคร้ายและใช้แขนโอบบ่าเขาไว้ด้วยสีหน้าไม่เรียบเฉย
“แม่ทัพเรือเซียว ข้ากำลังจะพูดอยู่ว่าข้าไม่ได้เป็นแขกของเจ้ามานานแล้ว ไยไม่ไปเสียวันนี้เล่า”
สีหน้าของแม่ทัพเรือมืดมนลง ก่อนจะฝืนยิ้มขมขื่นออกมา
“เซียวเหยาอ๋องล้อเล่นแล้ว ในจวนของกระหม่อมไม่มีสิ่งใดน่าสนใจหรอกพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่างวันนี้เพิ่งเกิดเรื่องในจวนขึ้น เซียวเหยาอ๋องมาใหม่วันหลังจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
สิ้นคำ เขาก็เดินจากไปด้วยสีหน้าดุดัน ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยน้ำโห ดูท่าวันนี้บุตรชายของเขาจะไม่เหลือช่วงเวลาที่ดีอีกต่อไป ช่างเถิด อย่าไปคิดจะดีกว่า
หนานกงหลีถอนหายใจที่ไม่สามารถหยุดคนไว้ได้ สีหน้าดูเสียใจยิ่ง
“ข้าจะไปก็เพราะวันนี้มีเรื่องเกิดขึ้นที่จวนเจ้าน่ะสิ หากปกติข้าไม่ไปหรอก”
เมื่อหนานกงฉีซิวและหนานกงฉีโม่เดินตามหลังมาได้ยินสิ่งที่เขาพูด คนหนึ่งถึงกับพูดไม่ออก ส่วนอีกคนหัวเราะอย่างร้ายกาจ
“เสด็จอา ละครดี ๆ ใช่ว่าจะหาดูได้ง่าย ถึงไปจวนท่านแม่ทัพเรือไม่ได้แต่ท่านยังไปจวนเจ้ากรมคลังได้อยู่นะ”
หนานกงฉีโม่เองก็เป็นคนที่กลัวว่าโลกจะไม่วุ่นวายพอ ดังนั้นเขาไม่เพียงแต่ไม่ห้ามปรามเท่านั้น ทว่ายังช่วยออกความคิดด้วย
หนานกงหลีตบเข่าฉาด “ไม่เลว ๆ พวกเจ้าสองคนอยากไปชมละครสนุก ๆ ด้วยกันหรือไม่”
มีความสุขคนเดียวไม่สู้มีความสุขกับทุกคน
หนานกงฉีโม่เลิกคิ้ว ชายหนุ่มผู้เปี่ยมด้วยชีวิตชีวาและเจ้าเล่ห์เพทุบายย่อมไม่อยากพลาดเรื่องน่าตื่นเต้นเช่นนี้
“ตกลง ไปกันเถิด”
หนานกงฉีซิวว่า “ข้า…ไม่ไป พอดียังมีงานอื่นที่เสด็จพ่อมอบไว้ให้ต้องทำ”
ด้วยเหตุนี้ หนานกงหลีและหนานกงฉีโม่จึงเอ่ยลาก่อนจากมา งานหลวงไฉนเลยจะสนุกเท่าเรื่องของชาวบ้าน