บทที่ 282 ข้าเชื่อพี่หก
บทที่ 282 ข้าเชื่อพี่หก
เสี่ยวเป่าและท่านพ่อร่วมกันทำโคมขึ้นมาอีกจำนวนหนึ่ง ก่อนจะเขียนคำอวยพรลงบนโคมเหล่านั้น ทว่าคราวนี้คำนำหน้าล้วนแต่เขียน ‘หนานกงจิ่นซี’ อันเป็นชื่อของนาง
ลายมือของเขาสวยกว่าเสี่ยวเป่ามาก ทั้งยังแฝงไว้ด้วยอำนาจบารมี ทำให้ดูโดดเด่นเป็นพิเศษ
เสี่ยวเป่าถือชื่นชมอยู่นาน ไม่ว่ามองอย่างไรก็ยิ่งชอบ จึงเขย่งตัวขึ้นจูบใบหน้าหล่อเหลาของท่านพ่อ
สุดท้ายโคมเหล่านี้ก็ถูกแขวนเอาไว้ด้านในตำหนักฉินเจิ้งและด้านนอกบนต้นไม้เก่าแก่ที่ขนาดใหญ่ที่สุด ซ้ำยังเป็นหนานกงสือเยวียนที่อุ้มนางพาแขวนโคมทั้งหมดด้วยตนเอง
เสี่ยวเป่าที่ถูกท่านพ่ออุ้มกระโจนขึ้นต้นไม้หลายครั้งร้องว้าวออกมาด้วยความตื่นเต้น
นางเคยเหาะเหินมาก่อน ทว่าเมื่อครั้งนางยังเป็นภูตตัวน้อย ก็ไม่เคยเห็นมนุษย์ที่สามารถเหาะเหินได้ด้วยตนเองโดยไม่พิงพาวัตถุภายนอกมาก่อน
ครั้งล่าสุดที่ได้เห็นคือตอนที่เผชิญหน้ากับการลอบสังหารที่วัดต้ากั๋ว
“ท่านพ่อ ท่านเหาะเหินได้อย่างไร”
นางถือโคมเอาไว้ในมือ ดวงตากลมโตจับจ้องไปที่เท้าของท่านพ่อด้วยความสงสัย
สีหน้าของหนานกงสือเยวียนยังคงเรียบนิ่ง เขาจับมือของนางช่วยแขวนโคมบนยอดไม้
“วิชาตัวเบา”
เสี่ยวเป่าถามด้วยความสนใจเป็นอย่างมาก “ในอนาคตเสี่ยวเป่าก็สามารถเหาะเหินเช่นนี้ได้ใช่หรือไม่”
หนานกงสือเยวียนเหลือบมองบุตรสาว “ย่อมได้”
ยังไม่ทันที่เสี่ยวเป่าจะดีใจ เขาก็พูดต่อทันที
ทุกวันต้องตื่นก่อนรุ่งสาง ฝึกฝนบนเสาดอกเหมย ถ่วงน้ำหนักที่ขาทั้งสองข้างแล้ววิ่งรอบพระราชวัง…
“ท่านพ่อ!”
เสี่ยวเป่าขัดจังหวะคำพูดของเขาด้วยแววตาหวาดผวา “ท่านพ่อหยุดพูดเถิด เสี่ยวเป่าไม่อยากเหาะเหินอีกแล้ว”
มนุษย์คิดจะเหาะเหินนับเป็นเรื่องยากลำบากยิ่ง!
เอาแค่อย่างแรกเช่นการตื่นนอนก่อนรุ่งสาง นางยังไม่สามารถทำได้เลย
เสี่ยวเป่าจับมือท่านพ่อแล้วเอ่ยอย่างออดอ้อน
“หลังจากนี้ให้ท่านพ่อพาเสี่ยวเป่าเหาะเหินดีแล้ว”
เช่นเดียวกับวันนี้
หนานกงสือเยวียนเลิกคิ้ว เขายื่นมือออกไปจิ้มปลายจมูกของนางอย่างไม่เบาไม่แรง
“เด็กขี้เกียจ”
คิ้วของเสี่ยวเป่าโค้งขึ้นขณะแย้มยิ้มให้กับเขาอย่างมีความสุข
อย่างไรเสียนางก็มีท่านพ่อ ตอนนี้นางกลายเป็นลูกมนุษย์ที่มีท่านพ่อให้พึ่งพิงไม่ต้องกังวลสิ่งใดแล้ว!
หลังจากแขวนโคมเรียบร้อย เสี่ยวเป่าก็ไปตามหาพี่ใหญ่อีกครั้ง นางยังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องการจะพูดคุยกับพี่ใหญ่
ฝูไห่ราวกับมองความคิดของนางออก จึงเอ่ยขึ้นมาทันที “องค์ชายใหญ่เสด็จไปยังตำหนักของหวงกุ้ยเฟยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เหล่าองค์ชายเองก็ได้รับวันหยุด ต่างล้วนแยกย้ายกันกลับไปยังตำหนักของเสด็จแม่ตนเอง
ดังนั้นในตอนที่เสี่ยวเป่าไปถึง จึงไม่ได้พบเพียงแค่พี่ใหญ่ แต่ยังพบพี่หกด้วย
“น้องหญิงมาพอดีเลย ลองดูสิว่าโคมน้ำแข็งกระต่ายที่ข้าทำขึ้นมาเป็นเช่นไรบ้าง”
หนานกงฉีเฉินชี้ไปที่โคมน้ำแข็งกระต่ายบนพื้นด้วยสีหน้าโอ้อวด
แน่นอนว่าเขาย่อมไม่อาจทำเองได้ จำต้องได้รับความช่วยเหลือจากนางกำนัล
เสี่ยวเป่ารีบตบมือให้ราวกับแมวน้ำตัวน้อย “ดูดียิ่ง พี่หกช่างสุดยอดไม่ธรรมดา!”
ในการแข่งขันประชันโคมย่อมมีคนคิดถึงโคมน้ำแข็ง แม้โคมน้ำแข็งจะทำยากแต่พอทำเสร็จ มันก็ดูงดงามมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากจุดไฟ โคมน้ำแข็งจะสะท้อนสีเปลวเพลิงได้สวยงามอย่างถึงที่สุด
ด้วยเหตุนี้จึงมีคนจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะทำโคมน้ำแข็งเข้าร่วมการแข่งขัน
แน่นอนว่าเหล่าพี่ชายของเสี่ยวเป่าย่อมไม่รู้วิธีทำโคมน้ำแข็ง ทำได้แต่เพียงให้บ่าวรับใช้ที่รู้วิธีลงมือทำเสียส่วนใหญ่
เสี่ยวเป่าขยับมานั่งยอง ๆ ด้านข้างพี่หก เฝ้าจับจ้องด้วยความระมัดระวัง
อาจเป็นเพราะต้องการจะโอ้อวด หนานกงฉีเฉินที่ไม่ได้มีฝีมืออันใดจึงทำการลงมือแกะสลักส่วนหูของโคมกระต่าย เขาทำเกือบจะเสร็จแล้ว แต่หลังจากนั้น…
มีเสียง ‘กึก’ ดังออกมาอย่างชัดเจน หนานกงฉีเฉินมองหูของโคมกระต่ายที่หลุดติดมือเขาออกมาด้วยสีหน้าแข็งทื่อ
ขันทีที่อยู่ด้านข้างปิดหน้าไม่อาจทนดูต่อได้
โคมน้ำแข็งนี้มีเขาเป็นผู้ทำหลัก ส่วนองค์ชายหกเป็นผู้มีส่วนร่วม เหลือเพียงแค่ส่วนหูและขาของกระต่ายเท่านั้นที่ยังไม่เสร็จ
หนานกงฉีเฉินเอ่ยออกมาอย่างปากแข็ง “นี่เป็นเพียงแค่ข้อผิดพลาด”
เสี่ยวเป่าพยักหน้า “อื้อ ข้าเชื่อพี่หก”
แน่นอนว่าในน้ำเสียงมีความไม่เชื่ออยู่ราง ๆ
ทันทีที่หนานกงฉีเฉินกำลังจะพับแขนเสื้อขึ้นเพื่อแสดงความโกรธขึ้งต่อหน้าน้องหญิง ก็พลันมีเสียงหัวเราะดังมาจากด้านหลัง
สองพี่น้องหันหน้าไปมองพร้อมกัน ก่อนจะเห็นว่าด้านหลังมีชายหนุ่มชุดขาวยืนอยู่ใต้ต้นเหมยแดง
หินกองสุ่มดังหยก ต้นสนเรียงรายประหนึ่งมรกต โดดเด่นเหนือล้ำ โลกหล้าไร้สอง*[1]
คนผู้นี้เป็นพี่ชายของนาง เช่นนั้นแล้วจะไม่ให้นางภาคภูมิใจได้อย่างไร
เสี่ยวเป่าวิ่งกระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของพี่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยเรียกพี่ใหญ่ออกมาด้วยเสียงออดอ้อนไม่หยุด
หนานกงฉีซิวกอดเจ้าก้อนแป้งเอาไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเอ็นดู สองพี่น้องเอาหน้าผากแตะกัน คนหนึ่งแย้มยิ้มหวานราวกับเคลือบน้ำตาล อีกหนึ่งแย้มยิ้มสง่างาม ดูบริสุทธิ์สูงส่ง
หนานกงฉีเฉินเองก็วิ่งตามไปด้วยเช่นกัน เขาแอบรู้สึกอิจฉาอยู่บ้างยามได้เห็นท่าทางของพี่ใหญ่และน้องหญิง
ทว่าเด็กหนุ่มที่เริ่มโตแล้วอย่างเขาก็ไม่อาจกระโจนเข้าใส่เฉกเช่นน้องหญิงได้
เขาเองก็ชอบพี่ใหญ่ ตั้งแต่เด็กล้วนวนเวียนข้างกายพี่ใหญ่มาโดยตลอด
แต่ทุกครั้งที่เขามีความสุขหรือซุกซน แล้วต้องการจะกระโจนเข้าใส่พี่ใหญ่ก็ล้วนแต่ถูกคนรอบข้างหยุดเอาไว้
พวกเขาพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าพี่ใหญ่นั้นร่างกายไม่แข็งแรง ไม่สามารถกระโจนเข้าใส่เช่นนั้นได้
วันเวลานั้นผ่านมานานแล้ว แต่หนานกงฉีเฉินยังคงจดจำได้ เขาไม่เคยกระโจนเข้าใส่พี่ใหญ่เหมือนกับเสี่ยวเป่าอีกเลย
แม้ว่าตอนนี้ขาของพี่ใหญ่จะหายดี ทว่าตัวเขาเองก็เติบโตแล้ว ไม่ได้ตัวเล็กเหมือนเมื่อครั้งยังเด็ก
ระหว่างหวนคิดเรื่องราวในอดีต หนานกงฉีเฉินก็ถูกลูบหัวอย่างแผ่วเบา
พอเขาเงยหน้าขึ้นก็พบเข้ากับรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้างดงามของพี่ใหญ่ ที่สามารถทำให้ทั้งคนและเทพเซียนขุ่นเคืองใจได้
“กำลังคิดสิ่งใดอยู่ อยากจะเข้ามากอดบ้างหรือ”
น้ำเสียงของเขามีความหยอกล้อ ในขณะเดียวกันก็มีความจริงจังเช่นกัน
หนานกงฉีเฉินกอดอกแล้วเชิดหน้าขึ้นอย่างผยอง “เด็กเท่านั้นที่ต้องการกอด ข้าโตจนป่านนี้แล้ว…”
ยังไม่ทันจะเอ่ยจบ เขาก็ถูกพี่ใหญ่ดึงเข้าไปในอ้อมกอดอันอบอุ่นโดยไม่อาจต้านทานได้เลย
“ตัวก็ยังสูงไม่เท่าไหล่ของข้า จะโตเพียงใดกันเชียว”
หนานกงฉีเฉินตัวแข็งทื่ออยู่ในอ้อมกอดของพี่ใหญ่ไปชั่วขณะ ก่อนที่ปลายหูของเขาจะเปลี่ยนเป็นสีแดงในพริบตา ทว่า…เขาก็ไม่เต็มใจที่จะผละออก
“…ก็ข้าอายุมากกว่าน้องหญิงมากนัก”
หนานกงฉีซิวลูบหัวของเขาแผ่วเบา
“ต่อให้โตเพียงใดก็ยังเป็นน้องชายของข้าอยู่ดี เหตุใดจึงไม่ให้พี่ชายกอดเล่า”
หนานกงฉีเฉินเอ่ยออกมาอย่างดื้อรั้นด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ช่วยไม่ได้ หากพี่ใหญ่ต้องการ เช่นนั้นกอดก็ได้”
หนานกงฉีซิวแย้มยิ้ม ไม่ได้เปิดโปงท่าทางของเด็กหนุ่มให้อึดอัดใจแต่อย่างใด ทำเพียงแค่จูงมือน้องข้างละคนเดินเข้าไปตำหนัก
“พี่ใหญ่ ท่านเล่าให้พวกเราฟังหน่อยได้หรือไม่ว่าเกิดเรื่องใดบ้างระหว่างที่ท่านออกไปด้านนอก”
แม้หนานกงฉีเฉินจะแสดงท่าทางราวกับไม่สนใจ แต่เขาก็เตรียมเงี่ยหูฟังอย่างเงียบ ๆ
“ตกลง”
เสียงของหนานกงฉีซิวนุ่มนวลไพเราะ ประหนึ่งเสียงหยกกระทบกัน ฟังมากเท่าใดก็ล้วนรู้สึกไม่เพียงพอ
เขาเอ่ยเล่าถึงขนบธรรมเนียมประเพณีพื้นบ้าน รวมทั้งทิวทัศน์ขุนเขาและสายธารให้น้องชายน้องหญิงได้ฟัง ส่วนเรื่องความทุกข์ยากที่พบเห็นตามทาง ไว้รอพวกเขาเติบโตก็จะได้สัมผัสประสบการณ์เหล่านั้นด้วยตัวเอง
เสี่ยวเป่ารับส่งได้ดีเป็นอย่างยิ่ง เล่าพักหนึ่งก็ร้องว้าวออกมา สีหน้าท่าทางมีชีวิตชีวายิ่ง
ภายในใจของหนานกงฉีเฉินรู้สึกโหยหายามได้ยินเรื่องเล่าเหล่านั้น ตั้งแต่เด็กจนโตเขาเติบโตมาในวัง สถานที่ไกลสุดที่เคยออกไปก็ไม่พ้นจากเขตเมืองหลวง เขานึกไม่ออกเลยว่าด้านนอกมีสภาพเช่นไร ไม่อาจจินตนาการได้ว่าอาณาจักรต้าเซี่ยนั้นกว้างใหญ่เพียงใด
คงจะดีไม่น้อยหากสามารถออกไปดูได้ด้วยตาตนเอง
หนานกงฉีเฉินเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้น ทว่าคงต้องรอถึงพิธีสวมกวานเสียก่อนเขาจึงจะสามารถออกจากเมืองหลวงได้
[1] หินกองสุ่มดังหยก ต้นสนเรียงรายประหนึ่งมรกต โดดเด่นเหนือล้ำ โลกหล้าไร้สอง เป็นกลอนที่มักใช้ชมชายรูปงาม มาจาก《白石郎曲》