บทที่ 297 เด็กใต้แท่นพระประธาน
บทที่ 297 เด็กใต้แท่นพระประธาน
เฮยอู๋ฉางนอนแทะกระดูกชิ้นใหญ่อยู่ไม่ไกลจากเสี่ยวเป่า ทันใดนั้นใบหูมันก็พึ่งออก เงยหน้าจ้องพระประธานองค์ใหญ่ตามสัญชาตญาณสัตว์นักล่าระวังภัย
“เป็นอันใดไป”
เสี่ยวเป่าผู้สามารถอ่านใจและสื่อสารกับพวกมันได้ สัมผัสถึงความผิดปกติของเฮยอู๋ฉางได้ในทันที
“โฮก!”
เฮยอู๋ฉางคำรามเสียงต่ำ ถูไถหัวใหญ่ออดอ้อนเสี่ยวเป่าก่อนจะยืนขึ้นสะบัดขน อุ้งเท้าใหญ่เริ่มเยื้องย่างทีละก้าว ๆ
ทุกที่ที่มันก้าวผ่าน ทุกคนจะถอยห่างออกไปอย่างน้อยสามฉื่อ
ช่วยไม่ได้ ก็พวกเขากลัวว่าหากเข้าใกล้เสือตัวนี้มากเกินจำเป็น พวกเขาอาจจะต้องพบกับจุดจบที่โหดร้ายเกินกว่าจะคาดเดา
แม้พวกมันจะเป็นเสือที่ร่วมเดินทางมาด้วยก็ตาม แต่ยามนั้นล้วนอยู่ในรถม้า หาได้ใกล้ชิดพวกมันเฉกเช่นยามนี้
กระทั่งม้าสองตัวที่ทำหน้าที่ลากรถม้ายังหวาดกลัวจนอยู่ไม่สุข
เฮยอู๋ฉางเดินเข้าไปใกล้พระประธาน หันซ้ายหันขวามองรอบ ๆ และใช้จมูกดมหาบางสิ่ง
เด็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ฐานพระประธานองค์ใหญ่เห็นอุ้งเท้าเสือตัวใหญ่ก็รีบปิดปากแน่น แม้จะหวาดกลัวมากเพียงใดก็ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่น้อย
“มีอันใดหรือเฮยอู๋ฉาง”
น้ำเสียงใสซื่อของเสี่ยวเป่าเอ่ยถามพร้อมความสงสัยเต็มเปี่ยม
หัวหน้าองครักษ์เหมือนจะฉุกคิดบางอย่างได้
“ท่านอ๋อง ก่อนหน้านี้พวกเราพบเบาะแสว่าเคยมีคนอาศัยอยู่ในอารามร้างนี้มาก่อน พวกเราค้นจนทั่วแล้ว แต่ไม่พบผู้ใด จึงคิดว่าคนพวกนั้นไปจากที่นี่แล้ว บัดนี้ดูเหมือนว่าใต้เท้าเฮยอู๋ฉางอาจจะค้นพบบางอย่าง”
ทุกท่านฟังไม่ผิด ในฐานะองครักษ์ส่วนพระองค์ขององค์หญิงน้อย พวกเขาต้องเรียกเสือสองตัวนี้ว่า ‘ใต้เท้า’
“แสดงว่าคนพวกนั้นยังอยู่ที่นี่”
“เป็นไปได้พ่ะย่ะค่ะ”
เฮยอู๋ฉางยังคงเดินวนรอบ ๆ ทันใดนั้นก็เริ่มใช้กรงเล็บตะปบบริเวณแท่นพระประธาน
ทุกคนต่างได้ยินเสียงร้องของเด็ก ๆ ดังออกมาจากข้างใน
“เฮยอู๋ฉางมานี่!”
ทันทีที่รู้ว่ามีเด็กซ่อนอยู่ข้างใน เสี่ยวเป่าก็รีบเรียกเฮยอู๋ฉางกลับมา
เจ้าเสือดำไม่ขัดขืน พลันสะบัดก้นเดินกลับมาหานางอย่างว่าง่าย มันโน้มศีรษะใหญ่ถูตัวนาง แล้วส่งเสียงคำรามในลำคอ
เสี่ยวเป่าลูบหัวที่ปกคลุมด้วยขนนุ่มของเจ้าเสือดำ หลังจากติดตามนางเข้าวัง เสือสองตัวนี้ก็ได้อาบน้ำหวีขนอยู่เป็นประจำ จนตอนนี้ขนของพวกมันทั้งนุ่มและเงางาม
องครักษ์รีบเดินเข้าไปดึงแผ่นกั้นบริเวณแท่นพระประธานออก
ทันทีที่เปิดออก เด็กเนื้อตัวมอมแมมร่างกายผอมแห้งที่อยู่ข้างในก็ปรากฏต่อสายตาทุกคน
พวกเขากอดกันกลม สายตาจับจ้องผู้คนข้างนอกด้วยความตื่นกลัว
ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ เด็ก ๆ เหล่านี้กลับสวมเสื้อผ้าบางและเก่าซอมซ่อ รองเท้าไม่สวม เนื้อตัวสกปรก แต่ยังมองเห็นรอยช้ำที่เกิดจากอากาศหนาวเย็นได้อย่างชัดเจน
มีแม้กระทั่งแผลพุพองที่เท้า
“เด็กน้อย พวกเจ้าออกมาเถิด”
แต่เด็กเหล่านั้นกลับมองพวกเขาอย่างหวาดระแวง ไม่มีทีท่าว่าจะยอมออกมา
หัวหน้าองครักษ์สังเกตเห็นเด็กคนหนึ่งนอนนิ่งอยู่บนพื้น
“นางเป็นอันใด? ป่วยหรือ? เรามีหมอมาด้วย อาจช่วยพวกเจ้าได้”
พอได้ยินเช่นนั้น เด็กที่โตที่สุดในกลุ่มก็ลังเลทันที
เสี่ยวเป่าเดินเข้าไปหาพวกเขาพร้อมจิ้งจอกน้อยในอ้อมแขน นั่งยอง ๆ แล้วเอ่ยเสียงนุ่มนวลปลอบประโลมพวกเขา
“ออกมาเร็วเข้า เสือของเสี่ยวเป่าเชื่องมาก มันไม่กัดหรอก เสี่ยวเป่ามีขนมอบให้กินด้วยนะ”
นางพูดพลางหยิบถุงใบเล็กออกมา ขนมอบข้างในส่งกลิ่นหอมหวน
ไม่รู้ว่าเพราะอยากรักษาเด็กที่ป่วย หรือเพราะเห็นว่าเสี่ยวเป่าเป็นเด็กเช่นเดียวกับพวกเขา ทั้งยังดูไม่เป็นอันตรายต่อพวกเขา เด็ก ๆ จึงทยอยกันออกมา
พวกเขายังช่วยกันพาเด็กที่นอนอยู่บนพื้นออกมาด้วย
“ท่านอาจารย์ ๆ ท่านรีบมาดูหน่อย เด็กคนนี้บาดเจ็บแถมยังมีไข้สูงด้วย!”
เสี่ยวเป่าอุทานเสียงดังเมื่อเห็นสภาพของเด็กคนนั้น
เจี่ยเจินเดินเข้ามาพร้อมกับกล่องยา “มาแล้ว ๆ เร่งรีบไปไย”
แม้ปากจะบ่น แต่ก็ยังคว้ามือเด็กมาจับชีพจรอย่างรวดเร็ว
เมื่อเด็กคนอื่น ๆ เห็นการกระทำของเขา ในใจพลันเริ่มมีความหวัง
หนานกงฉีอวิ๋นหันไปสั่งเหล่าองครักษ์ “รีบไปเอาเสื้อคลุมบนรถม้ามาเร็ว”บราวนี่ออนไลน์
เขาไม่อาจทนเห็นเด็กพวกนี้สวมเสื้อผ้าขาด ๆ บาง ๆ ในสภาพอากาศเลวร้ายเช่นนี้ได้
“น้ำต้มกระดูกที่ข้าทำยังมีเหลืออยู่อีกมาก รีบไปนำมาให้เด็ก ๆ พวกนี้เถิด”
โธ่… น่าสงสารเหลือทน ดูก็รู้ว่าเด็กเหล่านี้เป็นเด็กกำพร้า มารวมตัวเพื่อพึ่งพิงอาศัยกันและขอทานประทังชีวิต
“พาเด็กคนนี้ไปไว้ใกล้ ๆ กองไฟให้ร่างกายนางอุ่นขึ้นก่อน ข้าจะฝังเข็มให้นาง”
เขากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เด็กคนนี้ยังเด็กมาก ไยจึงถูกทุบตีจนกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ อวัยวะภายในบอบช้ำ ทั้งยังมีไข้สูง หากพบช้ากว่านี้นางคงไม่รอดแล้ว”
เด็กคนหนึ่งผู้มีอารมณ์อ่อนไหวเอ่ยพร้อมดวงตาแดงก่ำ “นางถูกผู้สูงศักดิ์ในเมืองทุบตี เสี่ยวอันเดินไปชนเขาโดยไม่ได้ตั้งใจจึงถูกเขาเตะจนกระเด็นไปโดนร้านค้าข้างถนน แล้วก็อาเจียนเป็นเลือด”
“พวกเรา… พวกเรากลัวว่าคนผู้นั้นจะหาเรื่องเสี่ยวอันอีก จึงพานางมาหลบที่อารามร้างแห่งนี้”
“พวกเราไม่มีเงินรักษาเสี่ยวอัน พี่ใหญ่ต้องคุกเข่าหน้าโรงหมออยู่นานกว่าจะได้ยามา แต่พอเสี่ยวอันกินยานั่นแล้วก็ไม่เห็นจะดีขึ้น”
เมื่อเห็นว่าเหล่าผู้มาใหม่ไม่มีท่าทีว่าจะรังเกียจหรือทุบตีพวกเขาเลย เด็ก ๆ จึงกล้าเล่าเรื่องราวทั้งหมดจนหมดเปลือก
เด็กเหล่านี้เป็นเด็กกำพร้าที่บิดามารดาจากไปตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อไร้คนดูแล พวกเขาจำต้องเร่ร่อนไปเรื่อยเพื่อเอาชีวิตรอด และโชคชะตาก็พาให้พวกเขามารวมตัวขอทานในเมืองจินโจว โดยมีเด็กชายที่โตสุดในกลุ่มเป็นหัวหน้า
เด็ก ๆ เหล่านี้อดมื้อกินมื้อ เป็นเหตุให้ตัวผอมแห้งจนหนังติดกระดูก
เด็กหญิงตัวเล็กที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น นางทนความหนาวเย็นและความหิวโหยเป็นเวลานานจนอ่อนแรง จึงเดินเซไปชนพวกคนพาลในเมืองจินโจวโดยไม่ตั้งใจ เป็นเหตุให้นางถูกทุบตีจนกระอักเลือด
“น่าสงสารจริง รีบดื่มน้ำแกงเร็ว ร่างกายจะได้อุ่นขึ้นหน่อย”
เหล่าอู๋รีบส่งถ้วยน้ำแกงให้พวกเขา
เพราะกลัวว่ากระเพาะที่ว่างเปล่ามานานของเด็ก ๆ จะทำงานหนักเกินไป หากกินพวกไขมันหรือเนื้อสัตว์ลงไปทันที เขาจึงตักไขมันที่ลอยอยู่ด้านบนออกแล้วตักส่วนล่างที่ยังพอมีผักใบเขียวเหลืออยู่
พอเด็ก ๆ ได้รับถ้วยน้ำแกงครบทุกคน แต่ละคนก็รีบยกถ้วยขึ้นลิ้มลองน้ำแกงเนื้ออย่างรวดเร็ว
นี่มันน้ำแกงเนื้อจริงด้วย กลิ่นก็หอม รสก็เลิศ เป็นน้ำแกงที่ดีที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยกินมา
“ช้าหน่อย ๆ ข้าจะให้เหล่าอู๋ทำบะหมี่มาให้พวกเจ้า รอเดี๋ยวนะ ใช้เวลาไม่นานหรอก”
พวกเขาเตรียมของมามากพอ แต่หากไม่เพียงพอ พวกเขาก็แค่เข้าเมืองไปซื้อมาเพิ่ม
มีหัวหน้าพ่อครัวอย่างพ่อครัวอู๋อยู่ด้วย ต่อให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจะหมด เขาก็สามารถทำมันขึ้นมาใหม่ได้
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นอาหารที่ทำได้ง่ายและรวดเร็ว ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา บะหมี่สำหรับเด็ก ๆ ทุกคนก็พร้อมกิน
เมื่อได้กลิ่นหอม เด็ก ๆ ก็กลืนน้ำลายดังอึก ท้องน้อย ๆ ร้องเสียงดังทั้งที่ดื่มน้ำแกงรองท้องไปแล้ว
“กินเถิด ๆ”
เด็ก ๆ ถือถ้วยนิ่งราวกับตกอยู่ในภวังค์ นี่เป็นอาหารสำหรับพวกเขาจริงหรือ? มันช่างเหมือนกับความฝัน
หัวหน้ากลุ่มเด็กขอทานเงยหน้ามองพวกเขาพลันรู้สึกแสบจมูกเหมือนจะร้องไห้ จากนั้นก็เริ่มกินอย่างตะกละตะกลาม
บะหมี่ร้อนจึงลวกปาก แต่พวกเขาก็ไม่ได้สนใจ ตั้งหน้าตั้งตากินราวกับว่าหากมัวชักช้า บะหมี่ในถ้วยจะหายไป
—————————