ตอนที่ 1 กระดานหมาก
ป่าเขาเงียบสงบ นกร้องขับขาน ดอกไม้ส่งกลิ่นหอม อุณหภูมิเย็นสบายริมธารกลางเขาทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลาย
ที่นี่คนกลุ่มหนึ่งกำลังยุ่งอยู่กับการกางเต็นท์ตั้งค่ายอย่างครื้นเครง
นี่คือกิจกรรมค่ายพักกลางแจ้งซึ่งจัดโดยบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง แน่นอนว่าทั้งหมดล้วนคือคนหนุ่มสาว ด้วยต้องแบกอุปกรณ์กางเต็นท์เดินเท้าขึ้นเขา พวกคนอายุมากมีแรงไม่พอ
เดิมทุกคนหวังว่าบริษัทจะตั้งค่ายพักกลางแจ้งสักครั้ง แต่ทุกปีทางบริษัทกลับท่องเที่ยวเป็นกลุ่มคณะ มีมัคคุเทศก์บนรถโดยสารขนาดใหญ่ทำนองนั้น ปีนี้จึงมีเพื่อนร่วมงานมากมายไม่ไปร่วมกับบริษัท เพื่อนร่วมงานที่มีประสบการณ์กลางแจ้งบางคนกลับนำจัดกิจกรรมเอง ทำให้มีการขึ้นเขาตั้งค่ายครั้งนี้
จี้หยวนเพิ่งเริ่มงานในบริษัทซอฟต์แวร์แห่งนี้มาสองปี ผมยังดำขลับทั้งศีรษะ แน่นอนว่าเป็นคนหนุ่ม หลังจากกางเต็นท์เสร็จ เขาจึงเล่นเกมมือถือออนไลน์กับเพื่อนร่วมงานอีกคน
“เฮ้ยๆๆ จี้หยวนๆ ส่งของมาๆ เฮ้อ… ตายซะแล้ว!”
“ส่งของให้นายมีประโยชน์อะไร สวมของสองวินาทีก็ล้ม ไม่สู้ให้ฉันเก็บไว้หนียังดีกว่า คราวนี้เยี่ยมเลย ข้างหน้าตายไปสอง…”
“ฉันเองๆ…รอบหน้านายเล่นเป็นมือธนู ฉันช่วยนายเอง!”
“อย่าๆๆ ฉันหาคนข้างทางมาช่วยดีกว่า…”
อย่ามองว่าที่นี่เหมือนอยู่กลางป่าเขา บนยอดเขาที่ห่างไกลยังมองเห็นสถานีฐาน ทั้งสองคนจับมือถือเล่นกันอย่างขะมักเขม้น ความเร็วเน็ตไม่ช้าเท่าไหร่
แน่นอนว่าประเทศจีนยังมีสถานที่ซึ่งสัญญาณไม่ดีจนเกือบไม่มี แต่คนส่วนใหญ่ชินกับการมีสัญญาณทุกที่นานแล้ว นี่ก็คือพลังของสวัสดิการขั้นพื้นฐานอันสมบูรณ์ ทำให้ผู้คนลืมเรื่องสัญญาณไปโดยไม่รู้ตัว
ตำแหน่งที่พวกเขาตั้งเต็นท์อยู่บนเนินเขาซึ่งสภาพภูมิประเทศค่อนข้างราบ ด้านข้างยังมีลำธารใสสะอาดสายหนึ่ง เป็นยอดสถานที่ในการตั้งค่ายกลางแจ้ง
มีคนมาทั้งหมดสิบกว่าคน ตอนนี้คนส่วนใหญ่กำลังถ่ายรูปอยู่ข้างนอก ยังมีบางคนจัดเต็นท์ของตัวเองอยู่ คนที่ดูเหมือนว่างคือหวังกัง จี้หยวน และหลี่จวิน
หวังกังเตรียมใช้ก้อนหินมาตั้งเตาเพื่อปิ้งย่าง เมื่อมองไปทางค่ายก็เห็นว่าจี้หยวนกับหลี่จวินยังว่างอยู่
“จี้หยวน พี่จวิน อย่ามัวแต่เล่นเกม ไปหาฟืนมาหน่อย อีกเดี๋ยวจะจุดไฟแล้ว ไม่งั้นมื้อเที่ยงก็กินอาหารกระป๋องเถอะ!”
ห่างออกไปมีเพื่อนร่วมงานตะโกนบอกทั้งสองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเต็นท์
“รู้แล้ว!”
“ได้เลย”
หลี่จวินกับจี้หยวนล้วนตอบรับ จากนั้นมองหน้ากัน ถึงอย่างไรก็ถูกเพื่อนร่วมทีมไล่เป็นหมาแล้ว คงต้องออกจากเกมทั้งอย่างนี้
ทั้งสองคนลุกขึ้นมา เดินไปทางป่าด้านข้าง เข้าไปในเขตเงาต้นไม้เขียวชอุ่ม
กลางป่าเขาไม่ขาดฟืน มีกิ่งไม้ร่วงหล่นทุกแห่งหน หลี่จวินลากกิ่งไม้ใหญ่ท่อนหนึ่งเดินไปทั่ว ทั้งเหวี่ยงไปมาเป็นพักๆ ปากยังร้องเอะอะโวยวาย ดูเหมือนคนโง่ในสายตาของจี้หยวน
เพื่อป้องกันการติดต่อ ทั้งกลัวว่าจะถูกวิชากระบองของ ‘มารคลั่ง’ หลี่จวินฟาดจนบาดเจ็บโดยไม่ตั้งใจ จี้หยวนรีบห่างจากเจ้าหมอนี่ออกมาหน่อย
เหมือนคนหนุ่มสาวส่วนใหญ่ในปัจจุบัน รุ่นปู่จี้หยวนมีพี่น้องกันเป็นกอง รุ่นพ่อจี้หยวนเป็นลูกคนเดียว จี้หยวนยังมีอาสองสามคน แต่พอถึงรุ่นจี้หยวนกลับกลายเป็นลูกคนเดียวอีก
บางทีอาจเป็นเพราะลูกหลานน้อยจึงยิ่งล้ำค่า พวกการตั้งชื่อแบบเรียบง่ายค่อนหยาบของคนรุ่นก่อนในตระกูลจี้อย่าง ‘จินฮวา อิ๋นฮวา กั๋วซิ่ง ชุ่ยเฟิน’ เมื่อถึงรุ่นลูกหลานจึงอยากตั้งชื่อตามบทกวีขึ้นมากะทันหัน คุณปู่ยังขอคำชี้แนะกับอาเขยที่เคยเป็นซินแสฮวงจุ้ยมาหลายสิบปี สุดท้ายจึงตั้งชื่อพยางค์เดียวว่า ‘หยวน’ ทั้งบ้านพึงพอใจมาก
“อืม… อากาศกลางภูเขาดีจริงๆ! ถ้าจะเที่ยวก็ควรมาสถานที่วิวสวยแบบนี้”
จี้หยวนทอดถอนใจประโยคหนึ่ง ไม่รีบร้อนเก็บฟืน แต่เดินเล่นกลางป่าก่อน ขากลับค่อยเก็บทุ่นแรงกว่า
เพิ่งเดินมาประมาณนาทีกว่า จี้หยวนพลันพบว่าข้างหน้าถึงกับมีต้นไม้ใหญ่หนาหาใดเปรียบหลายต้น ดูแล้วใหญ่กว่าต้นไม้โดยรอบไม่รู้กี่เท่า
“พี่จวิน พี่จวินรีบมาดูเร็ว ที่นี่มีต้นไม้ใหญ่ตั้งหลายต้น พี่จวิน!”
จี้หยวนร้องตะโกนไปอีกด้านหนึ่ง เมื่อพบว่าเจ้าหมอนั่นยังเล่นกระบองอยู่ ทั้งยังไม่สนใจเขาชั่วคราว คิดว่าตนควรเดินไปดูก่อน อีกเดี๋ยวค่อยพาทุกคนมาดู
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ จี้หยวนยิ่งมองเห็นต้นไม้พวกนี้ชัดเจน
แค่ต้นรอบนอกสุดก็มีรากโผล่ออกมามากมาย หยั่งรากซ้อนสลับบนพื้น บ้างหนาราวต้นขาจี้หยวน
‘ว้าว… ที่นี่มีต้นไม้เก่าแก่ขนาดนี้ด้วย?’
เขาหัวโคไม่นับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเท่าไหร่ แต่พวกคนที่มาเที่ยวนอกเมือง ทำปิ้งย่างกลางภูเขานั้นไม่น้อย ถ้าพูดตามเหตุผลต้นไม้ใหญ่ขนาดนี้น่าจะมีคนโพสต์ลงเน็ตแล้วละมั้ง
แต่จี้หยวนแค่คิดไปเรื่อย จากนั้นค่อยอ้อมมาถึงอีกฝั่งซึ่งถูกต้นไม้ใหญ่รอบนอกขวางสายตา
“เอ๊ะ!”
เสียงสงสัยดังออกจากปาก
ทางนั้นนอกจากมองเห็นต้นไม้เก่าแก่หนาแน่นหาใดเปรียบต้นอื่นเช่นกันแล้ว ท่ามกลางต้นไม้มากมายยังเห็นกระดานหมากหนึ่ง ถ้าพูดให้ถูกคือตอไม้หนึ่งที่ด้านบนมีกระดานหมากวางอยู่
จี้หยวนเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวตามสัญชาตญาณ กระทั่งมาถึงข้างตอไม้ที่มีกระดานหมากวางอยู่
ลองมองซ้ายขวาแล้วไม่มีป้ายเตือนบอกนักท่องเที่ยวให้ระวังอะไร แน่นอนว่าไม่มีคนวางหมากเช่นกัน
บนกระดานหมากมีตัวหมากขาวดำวางสลับกันไปมา หมากดำเหมือนค่ายกล หมากขาวเหมือนมังกร เป็นหมากล้อมแบบจีนดั้งเดิม ทั้งเป็นกระดานหมากที่เล่นมาครึ่งทางด้วย
นี่ทำให้จี้หยวนสงสัยอยู่บ้าง เขาหัวโคตั้งใจเปิดจุดชมธรรมชาติหรือเปล่า
แต่กระดานหมากกับบริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยใบไม้ร่วงหล่นและกิ่งไม้แห้งแล้ว ทั้งมีขี้นกกับผลไม้เน่าร่วงกระจายเป็นระยะ ไม่ว่ามีการเล่นหมากจริงหรือแค่วางประดับ ล้วนเห็นชัดว่าเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว
จากนั้นเขากวาดสายตาเห็นของพิเศษอย่างหนึ่งด้านหลังกระดานหมาก ข้างต้นไม้เก่าแก่ต้นหนึ่งมีวัตถุเปี่ยมสนิมเขรอะด่างพร้อย ด้วยสนิมกินมากเกินไปจึงเห็นชัดว่าบวมจนผิดรูป
จี้หยวนเดินเข้าไปใกล้เพื่อดูอย่างละเอียด คิดไปคิดมาแล้วรู้สึกว่าเหมือนขวานสนิมเขรอะ
‘เดี๋ยวก่อน! หรือว่านี่คือขวานผุกับกระดานหมากในตำนาน!?’
ความคิดนี้ทำให้จี้หยวนรู้สึกขำตัวเอง ของประดับนี้เหมือนเรื่องนั้นจริงๆ ขณะเดียวกันยังทำให้จี้หยวนนึกสนุกด้วย
เขาเดินกลับมาพิจารณาเค้าเงื่อนริมกระดานหมากใหม่อีกครั้ง เมื่อมองตัวหมากขาวดำเต็มกระดานนั่น จี้หยวนที่เดิมไม่ค่อยเข้าใจเรื่องหมากล้อมพลันรู้สึกขึ้นมา หมากขาวราวพญามังกรนี้ยิ่งดูยิ่งไม่สบอารมณ์ เห็นชัดว่าสอดคล้องกัน แต่กลับขาดความเชื่อมโยง ทั้งมีความรู้สึกว่าถูกการล้อมสังหารของหมากดำที่ดูเหมือนสับสนอลหม่านคุกคามด้วย
สิ่งสำคัญคือไม่รู้ว่าเพราะอะไร ความรู้สึกเหมือนมังกรขาวขาดเขานั้นทำให้จี้หยวนเห็นแล้วโรคย้ำคิดย้ำทำกำเริบ หางตาเหลือบมองกล่องตัวหมากซึ่งทำจากไม้สองกล่องข้างกระดานหมากหลายครั้ง จากนั้นเขายื่นมือหยิบหมากขาวตัวหนึ่งมาโดยไม่รู้ตัว
เมื่อหมากนี้อยู่บนมือแล้วมีน้ำหนักอย่างมาก รู้สึกเหมือนถือเหล็กชิ้นหนึ่ง แต่ผิวสัมผัสคล้ายกระเบื้อง จี้หยวนลองชั่งน้ำหนัก มองซ้ายมองขวาคล้ายมีลับลมคมใน ยื่นมือวางหมากขาวลงกลางกระดานหมาก กล่าวคือ ‘จุดเทียนหยวน[1]’ ในคำเฉพาะของหมากล้อม
“เอาล่ะ คราวนี้ค่อยรู้สึกสบายใจหน่อย!”
จี้หยวนตบมือเล็กน้อย ล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง คิดจะถ่ายรูปบันทึกวิดีโอไว้สักหน่อย จากนั้นค่อยเรียกทุกคนมาดู
แต่กดปุ่มปลดล็อกมือถือตั้งหลายครั้งแล้ว กลับไม่มีสัญญาณว่าจะปลดล็อกได้
“เชี่ย! อะไรวะ แบตหมดแล้วจริงเหรอ!?”
มือถือถึงกับแบตหมดแล้วจริงๆ จี้หยวนลองกดปุ่มเปิดเครื่องยาวๆ มือถือแค่สั่นตอนเปิดเครื่องเล็กน้อยแล้วปิดเครื่องไปเอง พอกดอีกครั้งแม้แต่ภาพเปิดเครื่องก็ไม่เด้งออกมา
เมื่อครู่เล่นมือถือเสร็จอย่างน้อยต้องมีแบตอีกแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ตอนนี้กลับปิดเครื่องเองโดยไม่รู้ตัว
จี้หยวนหันกลับไปมองด้านนอก ไม่เห็นพี่จวินที่เล่นกระบองอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
‘ช่างเถอะ กลับไปเอาแบตสำรองแล้วกัน’
จี้หยวนเดินไปทางค่ายพร้อมความคิดนี้ เดินไปไม่กี่ก้าวเขาก็รู้สึกว่าท้องฟ้ากลับมืดสลัวอยู่บ้างแล้ว
หลังจากเดินมาชั่วขณะหนึ่ง จี้หยวนพลันมึนงง เขาเห็นลำธารหลั่งรินไหลบ่าสายนั้น มองเห็นเนินเขาราบเรียบผืนนั้น แต่ค่ายพักล่ะ
อย่าว่าแต่คนในบริษัทไม่อยู่สักคน แม้แต่เต็นท์ก็หายไปเกลี้ยง นี่มันเรื่องอะไรกัน
ไม่ใช่วันเมษาหน้าโง่สักหน่อย กางเต็นท์ตั้งค่ายกันลำบากขนาดนั้น มีแต่คนโง่ที่จะรื้อเพื่อเล่นแผลงๆ
จี้หยวนมองไปโดยรอบครู่หนึ่ง มองเห็นว่าริมธารที่ค่อนข้างห่างออกไปมีคนสวมชุดเครื่องแบบบางอย่างนั่งพักผ่อนอยู่ตรงนั้นสองคน เขาจึงรีบเดินเข้าไปใกล้เพื่อสอบถาม
“พี่ชาย ขอถามหน่อย พวกคุณเห็นคนตั้งค่ายด้านหน้าไปไหนไหม พวกเราเพิ่งตั้งค่ายเสร็จไม่นานเอง!”
เห็นชัดว่าทั้งสองคนตัวสั่นเล็กน้อย ถูกเสียงดังกะทันหันทำให้ตกใจ
จากนั้นจึงหันกลับไปมองจี้หยวนด้วยความแปลกใจ แม้ว่าพวกเขาเพิ่งจะพักผ่อน แต่ยังจับตามองโดยรอบ คนผู้นี้เหมือนจู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น
เมื่อได้ยินคำถามของจี้หยวน หนึ่งในนั้นเอ่ยปากตอบโดยไม่รู้ตัว
“ตั้งค่าย? ไม่นาน? สองวันนี้เขาหัวโคไม่มีใครมาตั้งค่าย มีแต่รีบตามหาผู้สูญหาย”
“หา?”
คำตอบนี้ทำให้จี้หยวนมึนงงยิ่งกว่าเดิม
“มีคนหายตัวไปในภูเขาเหรอ”
ก่อนเดินทางมาคณะบริษัทลองตรวจสอบแล้ว ที่นี่ไม่เคยมีเรื่องอะไร แม้แต่อากาศยังดีมาก
“ใช่ หายสาบสูญเกือบเดือนแล้ว เป็นคนหนุ่มชื่อจี้หยวน มาตั้งค่ายกับเพื่อนร่วมงานของบริษัท จริงสิ คุณเข้ามาในภูเขากับใคร เพื่อนร่วมทางล่ะ หรือว่ามาช่วยค้นหาผู้สูญหายหรือ”
ขณะกล่าวทีมช่วยค้นหาสำรวจมองคนตรงหน้าโดยละเอียด รู้สึกว่ารูปลักษณ์ของคนผู้นี้คุ้นตาอยู่บ้าง จี้หยวนที่อยู่ด้านข้างได้ยินประโยคนี้แล้วอึ้งงัน
‘หายสาบสูญ? เราเนี่ยนะ เกือบเดือน?’
การตอบสนองแรกของจี้หยวนคือรู้สึกไร้สาระ การตอบสนองที่สองคือรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
จี้หยวนที่กำลังตื่นตะลึงยังไม่ทันพูดอะไร ความรู้สึกมึนงงเด่นชัดแผ่ซ่านทั้งตัว
เบื้องหน้าพลันมืดมัว จี้หยวนเหมือนเสียเรี่ยวแรงทั้งหมดในชั่วพริบตา ความรู้สึกอ่อนแอและมึนงงถาโถมเข้ามาพร้อมกันอย่างรุนแรง ต่อจากนั้นค่อยเข่าอ่อนทิ้งตัวลงกับพื้น
ระหว่างนี้ร่างกายจี้หยวนผอมลงด้วยความเร็วซึ่งมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ริมฝีปากเปลี่ยนเป็นแตกแห้งหาใดเปรียบอย่างรวดเร็วราวสายลม
“คุณครับ? คุณเป็นอะไร ระวัง!”
“ประคองเขาไว้!”
“แย่แล้ว! รีบเรียกกำลังเสริม!”
เสียงสุดท้ายที่จี้หยวนได้ยินในชีวิตนี้ คือเสียงอุทานคล้ายเสียงจากสวรรค์ของทีมช่วยค้นหาสองคน
[1] จุดเทียนหยวน หมายถึง ตำแหน่งศูนย์กลางกระดานหมาก