ตอนที่ 3 สรรพสิ่งเบ่งบาน
จี้หยวนเคยลองนอนดู แต่ยิ่งอยากนอนกลับนอนไม่หลับ เวลาเนิ่นนานเช่นนี้จี้หยวนผู้มองโลกแง่ดีเสมอถูกความเปล่าเปลี่ยวทรมานจนเกือบสิ้นหวังแล้ว
โครม ครืน…
เสียงฟ้าผ่าพลันดังสนั่นหวั่นไหว จี้หยวนตกใจสะดุ้งโหยง
การฟังเสียงฟ้าคะนองภายใต้สภาพเช่นนี้ ทำให้จี้หยวนรู้สึกถึงการกวัดแกว่งของอสนีบาตราวอยู่บนสวรรค์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ความรู้สึกอัศจรรย์เช่นนี้เหมือนสายฟ้าแลบผ่านจิตใจ กวาดความสับสนจากการหวาดกลัว วิตกกังวล และกดดันในใจจี้หยวนไปทีละน้อย ทำให้เขาสงบใจลง
ฮูม… ซ่า…
ผ่านไปไม่นานหยาดน้ำฝนหนาแน่นขึ้น
หนังตาจี้หยวนเริ่มขยับ ในหูได้ยินเสียงฝนตกดังเปาะแปะ ได้ยินเสียงหยาดฝนกระทบพื้นดิน ก้อนหิน ดอกไม้ ใบหญ้าอย่างชัดเจน
เวลาเหมือนลดความเร็วลงในยามนี้
แปะ… แปะ… แปะ…
น้ำฝนร่วงหล่นบนใบไม้และพื้นดินทีละหยด ส่งเสียงดังออกไป
การร่วงหล่นของหยาดฝนทำให้ความมืดในใจจี้หยวนเกิดคลื่นสะเทือน คลื่นแต่ละระลอกกลายเป็นข้อมูลแหล่งกำเนิดเสียง คลื่นนับหมื่นพันกลายเป็นภาพใบไม้ ยอดต้น พื้นดิน ก้อนหิน บ้านเรือน เศษหิน ดอกไม้ใบหญ้า เหล่าสัตว์วิ่งหนีฝน ลายเส้นของสรรพสิ่งเปลี่ยนเป็นภาพในหัวพร้อมเสียงฝน…
ไม่มีสีสันแต่มีชีวิตชีวา คล้ายจี้หยวนกำลังสัมผัสทุกอย่างบนพื้นดินผ่านหยาดฝนแต่ละหยด
ฝนตกสดับสรรพสิ่ง ภาพวาดเกิดจากใจ!
นี่คือประสบการณ์อัศจรรย์ยากบรรยายอย่างหนึ่ง จี้หยวนลืมความกลัดกลุ้มสิ้น ถึงขั้นลืมว่ายังหายใจอยู่ คอยสัมผัสเงียบๆ ยิ่งเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ยิ่งชัดเจน หากอยู่ไกลกลับค่อนข้างพร่าเลือน
‘ที่แท้เรายังอยู่กลางป่าจริงๆ ที่แท้เราก็นอนอยู่ในบ้านร้างเก่าแก่กลางหุบเขา วัดร้างหรือ… ฝนตกหนักกะทันหันเชียว สัตว์ตัวน้อยมากมายหนีกระเจิง งดงามนัก!’
แม้ว่ายังไม่อาจขยับหรือลืมตาตื่น แต่มุมปากของจี้หยวนกลับเจือรอยยิ้มรางๆ
ความกลัดกลุ้มใจถูกบรรเทา ทักษะการฟังที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้ยังทำให้จี้หยวนอดสงสัยไม่ได้ว่าตนได้รับประโยชน์จากกระดานหมากนั่นหรือไม่
หลังจากผ่านไปสักพัก จี้หยวนใจเต้นระส่ำ ในที่สุดเขาก็ได้ยินเสียงซึ่งเฝ้ารอที่สุด
…
บนเขากลางสายฝน คนแบกตะกร้าไผ่สานกำบังกลุ่มหนึ่งรีบเดินหน้ามา ตะกร้าไผ่นี้คล้ายกล่องหนังสือของบัณฑิตสมัยโบราณยามเดินทางไปสอบอยู่บ้าง ด้านบนมีผ้าคลุมผืนหนึ่ง แต่เห็นชัดว่าปริมาตรมากกว่า
จี้หยวนมองภาพรวมพวกเขาไม่ชัด ได้ยินแค่ขอบเขตยามหยาดฝนร่วงหล่น ดังนั้นสิ่งที่สัมผัสได้ในใจคือมือเท้าร่างกายของบุคคล ตะกร้าไผ่และกำบัง แต่ส่วนใบหน้ากลับรางเลือน
สิ่งที่ทำให้จี้หยวนสงสัยอยู่บ้างไม่ใช่แค่ตระกร้าไผ่เช่นนี้ คนพวกนี้บ้างสวมเครื่องกันฝนเหมือนชุดฟาง บ้างไม่ได้สวม สรุปคือไม่เหมือนชุดกันฝนยุคปัจจุบันสักนิด
“เร็วเข้าๆ ทุกคนตามมา ด้านหน้ามีอารามเทพภูเขาแล้ว!”
“ระวังเท้าด้วย ทางภูเขาวันฝนตกลื่นง่ายมาก!”
“ด้านหลังรีบตามมา ถึงอารามเทพภูเขาแล้วหลบฝนก่อไฟ เร็วเข้าๆ!”
…
ในกลุ่มคนมีผู้กล่าวเตือนทุกคนไม่หยุด มีผู้เร่งทุกคนเพิ่มความเร็วต่อเนื่อง ทั้งมีผู้หยุดมองคนด้านหลังว่าตามมาหรือไม่
อ้อมผ่านต้นไม้ใหญ่สองสามต้น วนรอบหินผาสูงตระหง่านลูกหนึ่ง สุดท้ายชายที่เป็นผู้นำก็เห็นอารามเทพภูเขาที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม
“ทุกคนพยายามหน่อย ถึงอารามเทพภูเขาแล้ว ดูซิว่ามีใครรั้งท้ายหรือไม่”
“อยู่กันครบ”
“รีบเข้าอารามเถอะ ฝนบนเขานี้หนาวเกินไปแล้ว!”
พวกเขาพูดพลางเร่งฝีเท้า พากันเดินเข้ามาในอารามเทพภูเขา
“ฮู่ว… ฝนครานี้มาแปลกจริง ทำเอาข้าตัวชื้นเกือบตาย!”
ชายที่เป็นผู้นำคือบุรุษเคราสั้น บนตัวมีหยดน้ำหลั่งรินเหมือนทุกคน เขาวางตะกร้าไผ่หนักอึ้งลงก่อน จากนั้นค่อยถอดชุดฟางเปียกโชกออก
เมื่อขยับกล้ามเนื้อเล็กน้อยแล้วมองไปด้านหลัง นับคนรวมกันได้สิบสองคนไม่ขาดใคร
“ทุกคนวางของตรงนั้น หลิวฉวนกับหลี่กุ้ยนำฟืนของพวกเราออกมา พวกเราก่อไฟสร้างความอุ่นกัน”
“ได้เลย”
“ทางนั้นผึ่งแห้งหน่อย ไปๆ วางตรงนั้น”
“เสื้อผ้าของข้าต้องตากแห้งๆ เฮ้อ สวมชุดฟางไม่ทัน”
คนกลุ่มนั้นบ้างย้ายตะกร้าไผ่ บ้างเก็บฟืนก่อไฟ ยังมีคนกวาดพื้นที่แห้งแล้วอย่างง่ายๆ
พวกเขาคือกลุ่มพ่อค้าเร่ การเดินลัดเลาะข้ามเขาเป็นเรื่องปกติ การเจอสภาพอากาศเลวร้ายก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง จึงเตรียมของพวกฟืนแห้งถ่านไม้ไว้ในตะกร้าไผ่เพื่อรับมือทุกสถานการณ์
ชายผู้นำขบวนนามว่าจางซื่อหลิน เดิมบิดามุ่งหวังปรารถนาว่าเขาจะพากเพียรอ่านตำราอริยบุคคล อนาคตสอบผ่านสร้างชื่อด้วยนามซื่อหลิน นำพาความภาคภูมิยิ่งใหญ่มาสู่ตระกูลจาง แต่เขาไม่ใช่คนชอบอ่านหนังสือโดยกำเนิด กอปรกับต่อมาครอบครัวล้มละลาย ทำให้ต้องเป็นพ่อค้าเร่เพื่อสร้างรายได้หาเงิน
ในฐานะผู้นำขบวนความรับผิดชอบย่อมใหญ่หลวง จำเป็นต้องดูแลความปลอดภัยของคนทั้งขบวน แน่นอนว่ามีสิทธิพิเศษอยู่บ้าง เช่นตอนนี้ทุกคนล้วนกำลังยุ่ง แต่จางซื่อหลินกลับนวดบ่าผ่อนคลายได้บ้าง เรื่องนี้ไม่มีใครกล่าวโทษ ประโยชน์ของจางซื่อหลินทุกคนล้วนประจักษ์แจ้ง ถือเป็นผู้นำขบวนที่มีคุณสมบัติ
อารามเทพภูเขาไม่ใหญ่นัก กว้างสองสามจั้ง กำแพงสามด้านยังถือว่ามั่นคง นอกจากชายคาตรงประตูทางเข้าเสียหายแล้ว ภายในล้วนไม่มีฝนรั่ว เพียงแต่ประตูทางเข้าสองบานทรุดถล่มทั้งปลิวหายไปนานแล้ว ทำให้ลมหนาวพัดเข้ามาตลอดเวลา
ภายในอารามเทพภูเขายิ่งพังทลายเกินทน ทุกหนแห่งคือใยแมงมุมและมูลสัตว์ป่า เชิงเทียนและกระถางธูปบนโต๊ะบูชาพลิกคว่ำ ของเซ่นไหว้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ว่าจะมี แม้แต่รูปปั้นเทพภูเขายังแตกหักจนไม่มีศีรษะแล้ว
“เฮ้อ โชคดีที่อารามเทพภูเขานี้ยังอยู่ หากปีไหนอารามเทพภูเขาถล่มแล้ว เขาโคเทพนี้คงมีสถานที่พักเท้าน้อยลงอีกแห่ง!”
จี้หยวนได้ยินเสียงฝีเท้าและบทสนทนาของคนพวกนี้ทั้งหมด
ที่แท้ตนก็อยู่ในอารามเทพภูเขากลางป่า เขาโคเทพ? น่าจะเป็นเขาหัวโคแต่พูดผิดหรือเป็นภาษาถิ่น
ดูท่าว่าคนพวกนี้คงเป็นกลุ่มนักเดินทาง แบกพวกเครื่องมือกางเต็นท์ อย่างน้อยก็ไม่ใช่โจรลักพาตัวแน่
แต่เสียงอยู่ใกล้มากชัดๆ อารามไม่ได้ใหญ่ ตนน่าจะอยู่ตรงมุมไหนสักแห่งของอาราม มิฉะนั้นพวกเขาไม่มีทางไม่เห็นตนแน่
“อ๊ะ พี่ซื่อหลิน ตรงนี้มีคนด้วย!”
เมื่อได้ยินเสียงอุทานใกล้ๆ ในใจจี้หยวนเป่าปากโล่งอกดังเฮือก ในที่สุดก็เจอเราแล้ว! ต่อจากนี้คงแจ้งตำรวจมาช่วย จากนั้นค่อยส่งตนไปโรงพยาบาล น่าจะรักษาชีวิตของตนไว้ได้แล้ว
จางซื่อหลินได้ยินเสียงแล้วรีบอ้อมรูปปั้นเทพภูเขามา มองเห็นว่าด้านหลังมีคนนอนอยู่จริงดังคาด พ่อค้าเร่สองสามคนห้อมล้อมเข้ามา
คนด้านหลังรูปปั้นเทพภูเขาดวงตาทั้งสองปิดสนิทแน่นิ่งไม่ไหวติง ผมเผ้ารุงรังเสื้อผ้าขาดวิ่นมอมแมม ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
ชายหนุ่มที่พบขอทานคนนี้ก่อนเดินเข้าไปใกล้ ย่อตัวลงตรวจลมหายใจและแตะหน้าผาก
“พี่ซื่อหลิน ขอทานคนนี้ยังมีลมหายใจ แต่หน้าผากร้อนมาก ทำอย่างไรดี”
ทำอย่างไรดีอะไร สมองนายตันเหรอ แจ้งตำรวจสิ!
ถ้าไม่ใช่ว่าตอนนี้เอ่ยปากไม่ได้ จี้หยวนคงแหกปากตะโกนเข้าจริงๆ เขายังไม่สังเกตเห็นว่าคนพวกนี้เรียกเขาว่าขอทาน
จางซื่อหลินขมวดคิ้ว ต่อจากนั้นจึงถอนใจ
“ป่าเขารกร้าง ดูท่าว่าขอทานคนนี้คงทรมานอีกไม่นาน ประเดี๋ยวนำน้ำร้อนมาให้เขาลองดื่มดูสักอึก เฮ้อ โลกบัดซบนี่!”
“เฮ้อ…”
“ไปเถอะๆ ก่อไฟ…”
พวกพ่อค้าเร่ส่ายหัวถอนใจ พากันเดินจากไป
เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน! พวกนายทำอะไร พวกนายจากไปทำไม แจ้งตำรวจสิเฮ้ย!
ไม่มั้ง ไม่ใช่มั้ง!
การตอบสนองของคนพวกนี้ต่างจากที่จี้หยวนคิดโดยสิ้นเชิง ทำให้เขามึนงงและลนลาน…