ตอนที่ 27 กระบวนรบยิ่งใหญ่นัก
ตอนนี้จี้หยวนลังเลอยู่บ้างว่าควรพูดกับยมทูตดำกลางลานตรงหน้าหรือไม่ ในแนวคิดดั้งเดิมของเขา อย่างน้อยคนผู้นี้ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบเซียนพุทธวิญญาณเทพกระมัง
แต่ความจริงเวลานี้ยมทูตดำคนนั้นกำลังมองจี้หยวนอยู่เช่นกัน
ก่อนหน้านี้เป็นเพราะพบว่าสถานการณ์ค่อนข้างเร่งด่วน ตอนนี้เมื่อลองทบทวนจึงรู้สึกว่าผู้อาศัยใหม่แห่งเรือนสันติเหมือนผิดปกติอยู่บ้าง
ถึงอย่างไรก็ดึกสงัดเงียบสงบ ภายในเรือนหลังหนึ่งคนผู้นี้กลับยืนตรงประตูเรือนหลักมองลานบ้าน ไม่ใช่ว่ามาตากลมช่วงต้นฤดูหนาวกระมัง
‘คงเป็นผู้มีสัญชาตญาณฉับไวคนหนึ่งสินะ’
คนเช่นนี้ใช่ว่ายมทูตดำคนนี้ไม่เคยเจอมาก่อน ทั้งต่อให้ไม่ใช่คนเช่นนั้น แต่ยังอยู่ภายในเรือนสันติ หลังยามสามปราณหยินจะเข้มข้นจนน่ากลัว คนทั่วไปย่อมนอนไม่หลับฝันร้ายไม่หยุด
หลังจากจี้หยวนลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายเขาตัดสินใจไม่ข้องเกี่ยวชั่วคราว ถ้าอยากคารวะเทพหลักเมืองกลางวันไปจุดธูปไหว้ก็ได้
ดังนั้นจี้หยวนพยายามเดินถึงมุมชายคาหน้าห้องด้วยการเคลื่อนไหวเป็นธรรมชาติ เงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน ทอดถอนใจเสียงเบาประโยคหนึ่งอย่างจริงครึ่งไม่จริงครึ่ง
“ฟ้าดารากระจ่างเช่นนี้… ไม่เจอมานานแล้ว…”
สิ่งที่เขาเห็นชัดเจนมีไม่มาก ครั้งก่อนบนเขาโคเทพยังไม่สังเกตเห็น ยามนี้เพิ่งพบว่าดวงดาวบนฟ้ากำลังเรียงตัวกัน
ไม่มีชั้นเมฆบดบัง ทั้งไม่มีหมอกเจือปน บนฟ้าหมู่ดาวเปล่งแสง ธารดาราส่องประกาย งามมากจริงๆ!
ในเมื่อตอนนี้มียมทูตดำอยู่ที่นี่ กอปรกับพลังดรรชนีเมื่อครู่ยังอยู่ จี้หยวนนั่งลงบนเก้าอี้ผุตัวหนึ่งข้างเรือนโดยไม่ลังเล มองฟ้า มองลาน ทั้งถอนใจเป็นพักๆ คล้ายคนนอนไม่หลับธรรมดาคนหนึ่ง
แน่นอนว่าความสนใจส่วนใหญ่ของจี้หยวนจดจ่อกับการเคลื่อนไหวภายในลาน ยามนั่งนิ่งยังลองนึกถึงตัวหมากด้วย แต่บางทีร่างกายอาจผลาญพลังมากเกินไป ทั้งตัวไร้เรี่ยวแรงมาก ยังเจ็บแปลบในใจอยู่บ้าง แต่ความรู้สึกนั่นยังอยู่ นี่ก็คือความมั่นใจที่ทำให้จี้หยวนกล้านั่งอยู่ตรงนี้ต่อ
พูดเล่น เมื่อครู่พี่ชายคนนี้เพิ่งใช้นิ้วซัดของพรรค์นั้นกลับไป ไม่ได้ยินยมทูตดำพูดว่าสิ่งนั้นบาดเจ็บหนักรึ ทั้งตอนนี้ยังมียมทูตดำอยู่ ทำไมเราถึงแข็งกร้าวหน่อยไม่ได้เล่า
รออีกประมาณหนึ่งเค่อ จี้หยวนรู้สึกถึงสิ่งที่ต่างออกไปบางอย่าง
กลิ่นอายประหลาดเลือนรางกำลังเข้มข้นขึ้นทีละน้อย ถ้าต้องบรรยายหน่อยคงเหมือนกลิ่นจันทน์หอมซึ่งปู่ของจี้หยวนชอบจุดในห้องหนังสือเมื่อก่อน
จากนั้นจี้หยวนพลันได้สติกลับมา นั่นคือกลิ่นจันทน์หอมภายในอาราม
หัวใจเต้นเร็วอย่างอดไม่ได้ คล้ายว่าบุคคลร้ายกาจกำลังมา ใช่เทพหลักเมืองอำเภอหนิงอันมาเองหรือไม่
เมื่อกลิ่นจันทน์หอมเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จี้หยวนนั่งตัวตรง ต่างจากภูตผีตนอื่น จี้หยวนได้ยินเสียงฝีเท้าไม่ธรรมดาดังเป็นระลอก คล้ายเจือท่วงทำนองบางอย่าง ทั้งจำนวนคนยังไม่ใช่คนเดียว
วู้ม… วู้ม…
ในลานคล้ายมีลมทมิฬแผ่วเจือกลิ่นจันทน์หอมพัดโชย ร่างมากมายข้ามประตูเรือนสันติเข้ามาในลาน นอกจากร่างยมทูตดำส่วนมากแล้ว ยังเห็นคนรูปร่างท่าทางเหมือนขุนนางสี่คนซึ่งมองแล้วรู้ว่าไม่ธรรมดา บนตัวสวมเกราะหรือชุดขุนนาง ทั้งมีสีสันแตกต่างกันออกไป
“อึก…”
จี้หยวนกลืนน้ำลายหลายอึกอย่างอดไม่ได้ กระบวนรบนี้ยิ่งใหญ่ไปหน่อยแล้ว
“คารวะใต้เท้าพิพากษา ใต้เท้าปูนบำเหน็จ ใต้เท้าลงทัณฑ์ ใต้เท้าคุมกฎ!”
ยมทูตดำในลานคารวะร่างสูงใหญ่สี่คนซึ่งอานุภาพสูงส่งอย่างนอบน้อม
เห็นชัดว่าสี่คนนี้ไม่ใช่เทพหลักเมืองอำเภอหนิงอัน แต่ต้องเป็นผู้ถูกบูชากราบไหว้โดยประชาชนแน่ อย่างน้อยก็มีรูปปั้นในศาลหลักเมือง ไม่ใช่ผู้ที่ยมทูตดำทั่วไปเทียบได้ มิฉะนั้นคงไม่มีกลิ่นจันทน์หอมนั่น
บริวารเทพหลักเมืองมีตำแหน่งขุนนางอะไรจี้หยวนไม่เข้าใจสักนิด แต่จากคำเรียกของยมทูตดำทำให้คาดเดาเค้าเงื่อนออกเสี้ยวหนึ่ง
ผู้มาเยือนไม่สนใจจี้หยวนซึ่งนั่งนิ่งอยู่กลางลานเท่าไหร่ ความสนใจทั้งหมดอยู่กับบ่อน้ำภายในลาน
“เป็นจริงดังคาด ปราณชั่วร้ายที่นี่เสื่อมถอย ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“ได้ยินใต้เท้าหลักเมืองบอกว่าคืนนี้ผีร้ายตัวนี้ส่งเสียงร้องโหยหวนไม่หยุด แม้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด คิดดูแล้วคงบาดเจ็บไม่น้อย!”
เงาร่างของผู้ถูกเรียกว่าใต้เท้าพิพากษาหันมองจี้หยวนซึ่งอยู่หน้าเรือน ทำเอาฝ่ายหลังตื่นเต้นอยู่บ้าง
“คนผู้นี้ก็คือคนธรรมดาที่เข้ามาอยู่เรือนสันติใหม่หรือ มีความผิดปกติหรือไม่”
ยมทูตดำซึ่งก่อนหน้านี้คอยเฝ้าตลอดตอบกลับทันที
“เรียนใต้เท้าพิพากษา คนผู้นี้เป็นคนธรรมดาที่หลับยากเพราะไอพิฆาตโจมตี ไม่มีความผิดปกติขอรับ”
“อืม!”
ยามขุนนางเทพหลักเมืองสี่คนซึ่งสูงส่งตั้งแต่อานุภาพถึงการแต่งกายพูดคุยกันชั่วขณะ ทั้งนอกและในเรือนล้วนมียมทูตดำลาดตระเวน คิดว่าคงกำลังตรวจสอบอะไรบางอย่าง
ผ่านไปไม่นานก็มียมทูตดำหลายคนมารายงาน
“เรียนใต้เท้าทุกท่าน ใกล้ตรอกเทียนหนิวไม่มีความผิดปกติขอรับ!”
พวกขุนนางเทพหลักเมืองสบตาใคร่ครวญครู่หนึ่ง
“หรือมีผู้สูงส่งเดินทางผ่านมาที่นี่ ถือโอกาสช่วยอำเภอหนิงอันของพวกเรา”
“อย่าคิดมากอีก รอพวกเรากำราบเจ้าเดรัจฉานนี้ก่อน ค่อยตรวจสอบโดยละเอียด!”
“เวลาไม่คอยท่า ช้าไม่ทันกาล!”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น!”
ผู้พิพากษาสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง ในมือเผยพู่กันพิพากษาดำสนิท กวาดตามองทั้งนอกและในเรือน
“เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยเตรียมค่ายกลกักวิญญาณ ทูตดึงวิญญาณฟังคำสั่ง เตรียมโซ่คล้องวิญญาณ!”
“รับคำสั่ง!”
“รับคำสั่ง!”
…
ขุนนางเทพหลักเมืองสี่คนก้าวไปตรงลานสี่มุม คนหนึ่งยืนทิ้งแขนเสื้อ คนหนึ่งหยิบพู่กันเหล็กออกมา คนหนึ่งถือตำรา คนหนึ่งถือแส้เหล็ก
‘เอาแล้วๆ! ใกล้ลงมือแล้ว!! แต่ตัวในบ่อต้องเปิดศึกใหญ่ขนาดนี้หรือ ทั้งพวกเขาไม่มีใครเตือนคนนอกอย่างตนให้ออกจากลานก่อนหรือ’
จี้หยวนประหม่าครึ่งคาดหวังครึ่ง ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
กระทั่งยมทูตดำซึ่งถือธงคำสั่งสีดำหลายคนกลายเป็นหมอกหายไป จี้หยวนจึงพบว่าลานตรงหน้าปกคลุมด้วยสีหมึกบางเบาชั้นหนึ่ง ดูท่าว่าเป็นค่ายกลกักวิญญาณอะไรนั่น ภายใต้ชายคาเรือนหลักที่ตนอยู่ตั้งอยู่รอบนอกพอดี ไม่ถูกล้อมเข้าไปข้างใน
ภายในค่ายกลกักวิญญาณ ผู้พิพากษาดูการเตรียมพร้อมทุกอย่างเสร็จก็แค่นเสียงเย็นชาไปทางบ่อน้ำ
“นึกไม่ถึงว่ายังข่มอารมณ์ได้ หรือกลัวทำลายถึงรากฐานจนไม่กล้าปรากฏตัว คืนนี้คือวันตายของเจ้า! ทูตดึงวิญญาณลงมือ!”
เมื่อผู้พิพากษาออกคำสั่ง ยมทูตดำชุดดำผู้ถือไม้เท้ายาวเก้าคนรอบบ่อน้ำพลันแตะช่วงเอวพร้อมกัน ตรงเข็มขัดมีแสงสลัวส่องประกาย กลายเป็นโซ่ดำสนิทสายหนึ่ง
“ไป!”
ทูตดึงวิญญาณเก้าคนตะโกนลั่นพร้อมกัน เหวี่ยงโซ่คล้องวิญญาณไปทางบ่อน้ำเหมือนสายฟ้าฟาด ถึงกับแทงเข้าพื้นดินข้างบ่อ
วู้ม… วู้ม… วู้มๆ…
พริบตานั้นลมทมิฬพัดโดยรอบ กิ่งก้านของต้นพุทรากลางลานส่ายสั่น ต่อให้อยู่นอกค่ายกลจี้หยวนยังรู้สึกว่าโดยรอบหนาวสะท้าน ผิวใต้ร่มผ้าขนลุกชันจนเหมือนเม็ดถั่วมากมาย!
“อ๊าก… อ๊า…”
“หึ ได้แต่หวีดร้องคำราม ทุกท่าน ช่วยหนุนทูตดึงวิญญาณหน่อย ลากมันขึ้นมา!”
ขณะกล่าวขุนนางเทพหลักเมืองสี่คนลงมืออย่างห้าวหาญ มือซ้ายซึ่งไม่ถืออาวุธศักดิ์สิทธิ์พากันยื่นไปข้างหน้า ปราณหยินหลายสายก่อเกิดกลางลาน ล้อมรอบทูตดึงวิญญาณ
โซ่คล้องวิญญาณเปล่งแสงสลัวเจิดจ้าทันที!
“ทะยาน!”
“อ๊าก…”
เส้นผมแน่นขนัดพุ่งออกมาจากบ่อน้ำ คลั่งระบำอยู่กลางลาน เส้นผมนับไม่ถ้วนพันรอบทูตดึงวิญญาณเก้าคนทันที ทูตดึงวิญญาณเก้าคนออกห่างชั่วพริบตา ด้วยเหตุนี้โซ่คล้องวิญญาณจึงกว้างขึ้นอีกช่วงใหญ่
“ฟัน!”
โดยรอบยมทูตดำที่ตั้งท่ารับมือนานแล้วพากันชักดาบออกจากฝัก ฟาดฟันเส้นผมซึ่งตามล่าทูตดึงวิญญาณพวกนั้น
“อ๊าก…”
เสียงแหบพร่าเจือเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นเรื่อยๆ เส้นผมเจือปราณสกปรกถูกโซ่คล้องวิญญาณลากออกมาจากบ่อน้ำ บิดเบี้ยวเปลี่ยนรูปกลางอากาศ
นัยน์ตาจี้หยวนหดรัดรุนแรง ฟันกระทบกันกึกๆ เจ้าสิ่งนี้คือตัวเมื่อครู่หรือ
ภูตผีที่ถูกโซ่คล้องวิญญาณกักขัง เลือดเนื้อร่างกายราวดิ้นรนไม่หยุด ดวงตาคั่งโลหิตมากมายและใบหน้าซีดเผือดกำลังแปรเปลี่ยน ไอพิฆาตปราณหยินสาดกระเซ็นต่อเนื่อง
ความหวาดกลัวรุนแรงที่มาจากการมองเห็นและสัญชาตญาณทางจิตวิญญาณทำให้หายใจไม่ออก ไม่ใช่สิ่งที่ของปลอมในหนังสยองขวัญใดเทียบได้โดยสิ้นเชิง
“เจ้าปีศาจ! คืนนี้เจ้าต้องวิญญาณแตกซ่าน!”
ผู้พิพากษาคำรามลั่น พู่กันพิพากษาจรดไปข้างหน้า ขุนนางเทพหลักเมืองอีกสามคนลงมือพร้อมกัน
ตูม! ตูม! ตูม!
ภายในเรือนสันติคล้ายมีปราณหยินระเบิดออก…