ตอนที่ 39 ใกล้ฝึกสำเร็จ
ระหว่างทางกลับบ้าน ความจริงจี้หยวนคิดเรื่องอิ๋นชิงตลอด
ถ้าบอกว่าคราก่อนเห็นเจ้าสำนักสามอะไรนั่นชัดเจนอาจเป็นเพราะอีกฝ่ายวิชายุทธ์สูงบุคลิกไม่ธรรมดา สถานการณ์เช่นนี้คงได้แต่สรุปว่าอิ๋นชิงมีพรสวรรค์พลังแฝงกระมัง แค่ไม่รู้ว่าเป็นด้านไหน
แม้จี้หยวนเดาว่าอิ๋นชิงมีโอกาสสูงว่าเป็นผู้มีพลังแฝงฝึกเซียน แต่ก็รู้สึกว่าแบบนี้ตีความแคบอยู่บ้าง เก่งบุ๋นบู๊ล้วนมีโอกาสถึงจะถูก ดูต่ออีกหน่อยเถอะ
สำหรับจี้หยวนแล้ว ตระกูลอิ๋นถือเป็นเพื่อนบ้านหลังแรกอย่างแท้จริงหลังเขาเข้ามาอยู่อำเภอหนิงอัน
วันที่สองฟ้าเพิ่งสว่าง อิ๋นจ้าวเซียนพาอิ๋นชิงมาถึงนอกเรือนสันติพร้อมกัน ทั้งในมือยังถือขนมถ้วยฟูหนึ่งกล่องกับสุราสลักบุปผา[1]สองขวดมาด้วย
สองพ่อลูกมองเรือนเล็กซึ่งอดีตมืดดำหลังนี้ ตอนนี้ยืนอยู่นอกประตูกลับรู้สึกเพียงความสดชื่นและความเป็นธรรมชาติ แม้แต่ลมหายใจยังปลอดโปร่งเป็นพิเศษ ความหวาดกลัวในใจหายไปชั่วขณะ
อิ๋นจ้าวเซียนย้ายเชือกผูกกล่องขนมถ้วยฟูมาที่มือขวา เพิ่งเตรียมก้าวไปเคาะประตูก็ได้ยินเสียงราบเรียบมีพลัง ทว่าต่ำลึกดังมาจากด้านใน
“เข้ามาเถอะ ประตูเรือนไม่ลงกลอน”
อิ๋นจ้าวเซียนตกตะลึงเล็กน้อย รีบจัดเสื้อให้เรียบร้อย จากนั้นค่อยเปิดประตูเรือนก้าวไปข้างใน
“อิ๋นจ้าวเซียนพาบุตรอิ๋นชิงมาเยี่ยมเยียนท่านจี้!”
“หึๆ อาจารย์อิ๋นมาก็มาเถอะ ไม่ต้องนำของมาด้วย”
จี้หยวนวางม้วนไม้ไผ่ประสานมือไปทางอิ๋นจ้าวเซียน ฝ่ายหลังถือของประสานมือคารวะเช่นกัน
“เยี่ยมครั้งแรกไม่อาจเสียมารยาท ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดเมื่อวานของท่านจี้ทำให้ข้าน้อยเข้าใจฉับพลัน น้ำใจเล็กน้อยหวังว่าท่านจะรับไว้!”
พูดจบอิ๋นจ้าวเซียนเดินเข้ามาใกล้สองสามก้าวก่อนวางของขวัญบนโต๊ะหิน แน่นอนว่ามองเห็นสิ่งของมากมายบนโต๊ะชัดเจน เขากล่าวเสียงเบาอย่างอดไม่ได้
“ม้วนไม้ไผ่?”
สมัยนี้กระดาษใช้แพร่หลายทั่วไปในเหล่าบัณฑิต ตำราไม้ไผ่ยากพบเห็นหรือพูดได้ว่าสาบสูญนานแล้ว
“ไม่ผิด เป็นม้วนไม้ไผ่”
จี้หยวนกล่าวตอบสบายๆ
“ม้วนไม้ไผ่ในเรือนล้วนเป็นสิ่งที่สหายมอบให้ การมองเห็นของข้าคนแซ่จี้ถูกจำกัด อ่านตำราทั่วไปไม่ได้ อาจารย์อิ๋นและเสี่ยวอิ๋นชิงอย่ายืนตรงนั้นเลย เชิญนั่งเถอะ”
เมื่อเห็นอิ๋นจ้าวเซียนนำอิ๋นชิงนั่งลงข้างโต๊ะหิน จี้หยวนเปิดประเด็นสนทนาด้วยตัวเอง
“ได้ยินว่าอาจารย์อิ๋นใกล้ดำรงตำแหน่งอาจารย์สำนักศึกษาอำเภอหนิงอัน ไม่เคยไปกล่าวยินดีถึงที่ รบกวนอาจารย์มาถึงหน้าประตูด้วยตัวเอง ไม่ทราบว่าเรื่องสำนักศึกษาตอนนี้เตรียมการเป็นอย่างไร”
“ไม่หรอกๆ ขอบคุณความกรุณาสนับสนุนของทุกท่านภายในอำเภอหนิงอัน เรื่องสำนักศึกษาตอนนี้เตรียมไปพอประมาณ อีกสองวันก็จะรับศิษย์เริ่มสอนแล้ว”
นี่คือเรื่องที่อิ๋นจ้าวเซียนภาคภูมิยิ่ง เมื่อกล่าวถึงใบหน้ายิ้มแย้ม แต่อิ๋นชิงที่อยู่ด้านข้างกลับจ้องมองบ่อน้ำปิดแผ่นไม้ทับด้วยหินในลานตลอด
“ท่านจี้ ภายในเรือนท่านมีบ่อน้ำ เหตุใดยังต้องไปหาบน้ำข้างนอกเล่า”
หน้าห้องครัวเรือนสันติมีโอ่งน้ำใหญ่เล็กสองใบ ในโอ่งใบใหญ่ยังมีน้ำครึ่งหนึ่ง น้ำในนั้นเขาไปหาบมาจากข้างนอกเมื่อสิบวันก่อน
จี้หยวนมองบ่อน้ำในลานพลางกล่าวตอบลอยๆ
“บ่อน้ำนี้เคยเปื้อนสิ่งสกปรก แม้ข้าคนแซ่จี้ไม่ถือว่ารักสะอาด แต่ก็ไม่อยากดื่มน้ำจากบ่อนี้”
เรื่องบางอย่างไม่ต้องพูดกระจ่างนัก คนฉลาดล้วนคิดเชื่อมโยงได้ บวกกับข่าวลือเมื่อก่อนของเรือนสันติ อิ๋นจ้าวเซียนก็คิดอะไรออก เบี่ยงตัวห่างจากบ่อน้ำตามจิตใต้สำนึก มือแตะโดนม้วนไม้ไผ่เล่มหนึ่งบนโต๊ะ
‘ม้วนไม้ไผ่นี้เย็นมาก!’
เมื่อหันหน้าเหลือบมอง บนม้วนไม้ไผ่สลักชื่อตำราว่า ‘กลตัดหมากสามสิบหกวิธี’ ในใจมีประเด็นพูดคุยกับจี้หยวนมากขึ้นแล้ว
อิ๋นจ้าวเซียนไม่ถามเรื่องเทพผีอย่างเทพหลักเมือง เขามีเป้าหมายเดียวคือสร้างสัมพันธ์อันดีกับจี้หยวน
หลังเวลาสำรวมตอนเริ่มต้นผ่านไป อิ๋นจ้าวเซียนปล่อยตัวช้าๆ ความจริงคือจี้หยวนค่อนข้างสบายๆ เป็นธรรมชาติจนทำให้ผู้คนผ่อนคลายทีละน้อย ทั้งในเรือนเล็กนี้เดินนั่งยืนนอนล้วนรู้สึกสบายใจเบิกบาน
ทั้งสองคนพูดเรื่องฟ้าดินทั้งหมดในเรือนเล็ก อิ๋นชิงก็ฟังอย่างเงียบสงบอยู่ด้านข้าง
ยิ่งคุยอิ๋นจ้าวเซียนยิ่งรู้สึกว่าท่านจี้ลึกล้ำยากหยั่งถึงจริงๆ ดาราศาสตร์ภูมิประเทศไม่มีสิ่งใดไม่ก้าวผ่าน ความคิดมากมายยิ่งไม่เคยได้ยิน แต่เมื่อใคร่ครวญโดยละเอียดกลับลึกซึ้งแตกต่าง ทว่าดูเหมือนแทบไม่มีเรื่องใดไม่เข้าใจ แต่มักจะขาดความรู้ทางโลกเล็กน้อยทั้งขอคำชี้แนะจากตนไม่หยุด
กระทั่งกลางวันสองพ่อลูกจึงจากไป อิ๋นจ้าวเซียนยังอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง ส่วนอิ๋นชิงกลับรู้สึกเบื่อนานแล้ว
จี้หยวนพูดคุยอย่างเบิกบานเช่นกัน หลังจากพูดตรงหอนอกศาลครั้งก่อน ครั้งนี้ตนพูดมากที่สุดในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ ทั้งการพูดคุยกับคนมีความรู้อย่างอิ๋นจ้าวเซียนก็ไม่คร่ำครึเหมือนพูดคุยกับบัณฑิต เทียบกับคนอื่นแล้วยังนับว่าพูดกันรู้เรื่อง ถามเรื่องทั่วไปหน่อยก็ไม่ต้องเก้กังเหมือนตอนถามเทพหลักเมือง
มองสุราสลักบุปผาบนโต๊ะหิน จี้หยวนยกขวดขึ้นมาเปิดจุกแดงออกเพื่อดม รู้สึกว่ากลิ่นสุราจางมาก ยกขึ้นมาดื่มอึกหนึ่งโดยไม่ลังเล
“แม้กลิ่นสุราบางเบา แต่รสชาติกลับไม่เลว!”
จี้หยวนพึมพำกับตัวเอง จำได้ว่าชาติก่อนแม้ว่าตนดื่มกับคุณปู่เป็นครั้งคราวแต่ไม่เคยรู้สึกว่าสุราอร่อย
เขาวางขวดสุราลง ยื่นนิ้วออกมาแตะปากขวดเล็กน้อยก่อนลากผ่านอากาศเบาๆ
สุราละเอียดสายหนึ่งลอยออกมาจากภายใน ขับเคลื่อนตามนิ้วมือของจี้หยวน ร่ายรำกลางอากาศรอบหนึ่งก่อนเข้าปากจี้หยวน
‘อืม วิชาเลี่ยงวารีนี้นับว่าเข้าขั้นแล้ว’
วิชาเลี่ยงวารีพอฝืนนับว่าเป็นวิชาคุมวารีอย่างหนึ่ง ทักษะนี้ทำให้จี้หยวนพอใจผิดธรรมดา!
…
วันที่สองเดือนสี่ เริ่มฤดูร้อน ต้นพุทราเรือนสันติออกดอก
…
เขาโคเทพยาวสองร้อยกว่าลี้ ข้ามเขตแดนจังหวัดเต๋อเซิ่ง ทะลุผ่านจังหวัดติ้งหยวน แฉลบผ่านจังหวัดเทียนเยวี่ย รวมคาบเกี่ยวสามจังหวัด
ค่ำคืนนี้ส่วนลึกของเขาโคเทพในจังหวัดติ้งหยวน
โฮก…
เสียงเสือคำรามสะเทือนหลายลี้ ฝูงนกแตกตื่นสรรพสัตว์หลบหนี!
โครม ครืน…
กลางห้วงนภามีพยับเมฆรวมตัวรางๆ ฟ้าแลบฟ้าคำรามม้วนซัดอยู่ภายใน หลังจากผ่านไปชั่วยามกว่าจึงสลายไปทีละน้อย เหลือฝนภูเขาระลอกหนึ่งไว้
ศาลหลักเมืองอำเภอเฉิงแห่งเจ๋อจังหวัดติ้งหยวน ร่างทองสวมเกี้ยวประดับสูงมองเขาโคเทพซึ่งอยู่ใกล้แค่เอื้อม สายตาทอดยาวถึงเมฆฝนซึ่งสลายไปช้าๆ
“เฮ้อ เกรงว่าคงมีอสูรใกล้ฝึกสำเร็จแล้วกระมัง!”
หลังจากส่ายหัวถอนใจ กายพรตเทพหลักเมืองผลุบหายเข้าจุดเดิม
ในเขาเสือร้ายตาดุตัวใหญ่กว่าเสือทั่วไปสองสามเท่ากำลังเงยหน้ามองจันทร์ เป็นภูตเสือร้ายเจ้าภูเขาลู่
เมฆอสนีเหนือฝนภูเขาเมื่อครู่ทำให้เจ้าภูเขาลู่ใจสั่นทั้งทำให้มันตื่นเต้นหาใดเปรียบ
การฝึกปราณคือการทำเรื่องเย้ยฟ้า อสนีบาตคือสัญลักษณ์อานุภาพสวรรค์ พวกต้นไม้สิ่งมีชีวิตกลัวสายฟ้าอย่างยิ่ง ภูตตื่นรู้มีปัญญาบางส่วน โดยสัญชาตญาณจะหลบซ่อนตัวทุกแห่งหนในวันฝนฟ้าคะนอง คล้ายมีความหวาดกลัวในจิตวิญญาณอย่างสุดซึ้ง
แต่ถ้ามีภูตโดยเฉพาะพวกอสูรร้ายใกล้ฝึกสำเร็จ จุดที่มันอยู่มักชักนำสภาพอากาศฟ้าคะนองโดยง่าย บางครั้งถึงขั้นนำมาซึ่งฝนฟ้าคะนองนอกฤดู ราวกับชะตาฟ้าไม่อาจอภัย
แน่นอนว่าต่อให้อสนีบาตน่ากลัวแค่ไหนก็เป็นแค่อากาศ ภูตอสูรซึ่งฝึกสำเร็จเกินครึ่งมีปัญญาไม่น้อย คิดจะหลบย่อมมีวิธี พวกโชคร้ายถูกผ่าตายใช่ว่าไม่มีอยู่จริง แต่ถือเป็นส่วนน้อย เช่นขาดความรู้ทั่วไปหลบเข้าโพรงไม้ในวันฝนฟ้าคะนอง แม้แต่ต้นไม้ยังถูกอสนีบาตผ่าไปด้วย
ตอนนี้ภูตเสือร้ายสงบจิตใจ กระโดดลงจากหินผาซึ่งยืนอยู่ ในใจใคร่ครวญว่าบางทีอีกสิบกว่าปีถึงขั้นแค่ไม่กี่ปีก็ทลายพันธนาการหลักของพวกอสูรได้แล้ว ถึงตอนนั้นจึงท่องฟ้าดินทั่วโลกภายนอกได้จริง!
ตรงจังหวัดเทียนเยวี่ยซึ่งเชื่อมต่อกับเขาโคเทพ จอมยุทธ์ฝีมือฉกาจสองกลุ่มกำลังห้ำหั่นไล่ล่าตลอดทางจนทะลวงเข้าสู่เขาโคเทพ แค่เพื่อแย่งชิงเบาะแสของยอดสมบัติแห่งยุทธภพบางอย่าง
[1] สุราสลักบุปผา คือ สุรากลั่นจากข้าวเหนียว สีส้มเหลือง รสละมุนหวานหอม