เซียนหมากข้ามมิติ – ตอนที่ 66 ข้าคนแซ่จี้หิวแทบตายแล้ว

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 66 ข้าคนแซ่จี้หิวแทบตายแล้ว

รอมังกรเฒ่าอิงหงพุ่งทะยานจากไปครู่ใหญ่ ไม่ได้ยินเสียงดังกระหึ่มตรงขอบฟ้าอีก เมฆฝนมีแนวโน้มว่าจะซ่านสลาย จี้หยวนตัวอ่อนยวบนั่งลงกับพื้น

“ฮู่ว…”

เขาเอนกายลูบอกซ้ายถอนใจยาว จี้หยวนมั่นใจมากว่าภายหน้าหัวใจตนต้องแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

กระทั่งเอนกายอยู่ครู่ใหญ่ จี้หยวนค่อยรู้สึกตัวกลับมา

ลุกขึ้นมาปัดเสื้อผ้าหน้าหลัง เศษฝุ่นแถบใหญ่ถูกปัดออกมาทันที

“แค่กๆๆ… แค่ก… เราคลุกฝุ่นมาเยอะขนาดไหนกัน!”

หนังศีรษะคันอยู่บ้าง เมื่อเกาหัวเล็กน้อย รู้สึกว่าซอกเล็บมีรังแคสะสมรวดเร็ว

เพี๊ยะ…

เขาดีดปลายนิ้วดันคราบสกปรกในนั้นออกไป

“หึๆ แบบนี้ค่อยมีมาดของยอดฝีมือซกมกหน่อย!”

เขาหิ้วห่อผ้าขึ้นมาพาดหลัง ทั้งหยิบร่มกระดาษตรงมุมมาเหน็บใต้รักแร้ ยันผนังหินดันตัวถลาร่อน สะบัดแขนเสื้อตามลมห่างออกไป

ด้วยเมื่อครู่ฝนเพิ่งตกหนัก พื้นดินเฉอะแฉะผิดปกติ จี้หยวนสาวเท้าก้าวข้ามแต่ยังมีน้ำโคลนไม่น้อยกระเด็นโดนตัว แต่เขาไม่สนใจโดยสิ้นเชิง

ต่อให้ใช้วิชาเลี่ยงวารีป้องกันได้แต่ไม่อยากเสียปราณวิญญาณ ถึงอย่างไรก็อารมณ์ดี เปื้อนโคลนหน่อยก็ช่างเถอะ กลับเหมือนเด็กเล่นสนุก ระหว่างกระโดดยังควบคุมแรง แข่งกับตัวเองว่าครั้งหน้าโคลนกระเด็นน้อยลงหรือไม่ ทั้งฟังเสียงน้ำโคลนกระจายด้วย

อืม ทั้งยังชอบใจไม่เหนื่อยหน่าย

ครั้งก่อนตอนทำเช่นนี้ คล้ายว่าเป็นช่วงได้รับรองเท้ากันฝนคู่ใหม่ตอนจี้หยวนเรียนอยู่ชั้นประถมหนึ่ง แต่ตอนนั้นแข่งกับเพื่อนว่าใครเตะโคลนสูงกว่า

ว่าไปแล้วตอนนี้จี้หยวนมีแค่วิชากำหนดปราณพื้นฐานฝึกเซียนจริงจังอย่างวิวัฒน์ฟ้าดินแค่เล่มเดียว ไม่มีวิชาฝึกปราณอยู่ในมือ สิ่งที่โคจรอยู่ในตัวหากพูดว่าเป็นพลัง ไม่สู้พูดว่าเหมือนปราณวิญญาณหลังการหล่อหลอมยังดีกว่า แค่ใช้มันเพิ่มเสริมกายเนื้อและสำแดงวิชาเล็กน้อยเท่านั้น แต่สำหรับสภาวะจิตปณิธาน ต่อให้จี้หยวนเป็นคนนอก ตอนนี้เขากลับคิดว่าตนรู้แจ้ง ถึงขั้นว่าไร้เดียงสานัก

จี้หยวนเดินตรงไปทางตะวันออกเฉียงเหนือตามการรับรู้ทิศทาง เห็นเมืองแห่งหนึ่งอยู่ตรงขอบฟ้าซึ่งเมฆซ่านสลายที่ห่างไกล

ขนาดอำเภอเต๋อหย่วนเล็กกว่าอำเภอหนิงอันไม่น้อย เมื่อจี้หยวนเข้ามาในอำเภอ เห็นชัดว่าไม่ว่าจะเป็นผู้คนหรือสิ่งปลูกสร้างล้วนด้อยกว่าอำเภอหนิงอัน

แต่เมื่อคิดดูแล้วก็ใช่ ถึงแม้อำเภอหนิงอันไม่นับว่าใหญ่นัก แต่อย่างน้อยก็มีประชากรกันเกือบสองหมื่น แค่ภายในอำเภอก็มีอยู่หนึ่งหมื่นกว่าคน กอปรกับทางการปกครองเหมาะสม หลายปีนี้รุ่งเรืองขึ้นตลอด

ส่วนอำเภอเต๋อหย่วนนี้เปรียบเทียบกันแล้วน่าจะด้อยกว่าไม่น้อย

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นอำเภอแห่งหนึ่ง เสียงตะโกนตามท้องถนนภายในเมืองยังดังต่อเนื่องเป็นระลอก คนสัญจรพ่อค้าซึ่งไปมาหาสู่กันก็มีไม่น้อย

จี้หยวนกุมห่อผ้าด้านหลังแน่น เดินตามกลิ่นหอมไปทางร้านอาหารซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกนับร้อยเมตร ตอนนี้เขาไม่ต้องอาศัยทักษะการฟังอันโดดเด่นร่วมกับการมองเห็นน่าเป็นห่วงมาหลบหลีกคนสัญจรแล้ว เพราะส่วนใหญ่คนอื่นจะหลบเลี่ยงเขาก่อน

สิ่งนี้ทำให้จี้หยวนพลันนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตนมีสภาพอย่างไร ยกมือดมแขนเสื้อตามจิตใต้สำนึก

‘อืม กลิ่นน่าจะไม่แรงขนาดนั้น!’

ด้วยตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน ยิ่งเข้าใกล้บริเวณโรงเตี๊ยมร้านอาหารหนาแน่น เสียงโดยรอบยิ่งเซ็งแซ่ เทียบกับฝูงชนซึ่งห่างไปนับร้อยก้าวแล้วหนาแน่นกว่า

“มาๆๆ… ลูกค้าทุกท่าน วันนี้พวกเราหอรวมแขกมีแพะเพิ่งเชือด น้ำแกงไก่ตุ๋นอย่างดี สุราข้าวบ่มเองก็รสชาติดี อยากกินข้าวอยากดื่มเหล้ารีบเชิญเข้ามา…”

หอสุรานามหอรวมแขกแห่งนี้มีแค่สองชั้น พื้นที่และขนาดสิ่งปลูกสร้างไม่อาจเทียบกับหอนอกศาลเลื่องชื่อแห่งอำเภอหนิงอัน แต่เสี่ยวเอ้อร์ตรงทางเข้าร้านทุ่มเทตะโกนจริงๆ เสียงดังฟังชัด จี้หยวนรู้สึกว่านี่ก็เป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่ง มิฉะนั้นคนทั่วไปตะโกนนานขนาดนี้คงคอแตกแล้ว คนผู้นี้น่าจะทำเช่นนี้ทุกวัน

ตัวเขาย่อมรู้ตัวเองดีที่สุด จี้หยวนไม่หวังการต้อนรับอย่างกระตือรือร้น แทรกตัวเข้าไปในหอรวมแขกพร้อมลูกค้าคนอื่น

ถ้าเข้าไม่ได้จริงอย่างมากค่อยหาสถานที่อาบน้ำ

ชัดเจนว่าเสี่ยวเอ้อร์ร้านนี้เห็นจี้หยวนแล้ว เขายื่นมืออ้าปาก สุดท้ายไม่ได้กล่าววาจาไล่แขกออกมา

เมื่อก้าวเข้าไปในร้าน กลิ่นอาหารโดยรอบไหลวนผ่านปลายจมูกจี้หยวนไม่หยุดตามไอร้อนแผ่ซ่าน เสียงเคี้ยวพวกนั้นบ้างนุ่มนวลบ้างชัดกระจ่าง ทำให้เขาหลั่งน้ำลายอย่างอดไม่ได้

พุทราสดรสชาติดีแค่ไหนสุดท้ายก็ซ้ำซาก ยิ่งไปกว่านั้นผลพุทราก็กินหมดแล้ว ไม่ได้กินอาหารอุ่นร้อนถูกปากมานาน นี่ทำให้จี้หยวนหิวแทบตายแล้ว ตาแหลมเหลือบเห็นโต๊ะว่างตัวหนึ่งกลางความเลือนรางจึงรีบเดินเข้าไปจับจอง

วางห่อผ้าร่มกันฝนตรงมุมโต๊ะ รอลูกจ้างร้านมาค่อยสั่งอาหาร

ตรงโต๊ะคิดเงินหลงจู๊คือชายวัยกลางคนอ้วนท้วนหนวดเป็นเลขแปด (八) มองจี้หยวนซึ่งตัวเปื้อนโคลนผมเผ้ารุงรังแล้วขมวดคิ้ว แต่มีหลักการว่าคนเข้าร้านล้วนเป็นลูกค้า เขาทำท่ารอสั่งอาหารย่อมไม่อาจไล่คน ยังต้องการชื่อเสียงของหอรวมแขกอยู่หรือไม่

แต่เห็นลูกค้าโดยรอบพากันแสดงสีหน้ารังเกียจ ถึงขั้นมีคนเพิ่งเข้ามาเห็นจี้หยวนนั่งอยู่ตรงจุดสะดุดตากลางโถงใหญ่แล้วหันกลับออกไปทั้งอย่างนั้น

หลงจู๊ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนกวักมือเรียกลูกจ้างร้านคนหนึ่ง อีกฝ่ายเห็นแล้ววิ่งมาอยู่ข้างโต๊ะคิดเงินทันที

“เจ้าไปถามลูกค้าคนนั้นว่าเปลี่ยนที่นั่งได้หรือไม่ พวกเราช่วยเตรียมโต๊ะตรงมุมตัวหนึ่ง ค่อยส่งอาหารจานหนึ่งไปให้เขา พูดจาสุภาพหน่อย รู้แล้วใช่หรือไม่”

ลูกจ้างร้านโพกผ้าคาดหัวคนนี้มองตามนิ้วมือหลงจู๊ไป เห็นจี้หยวนซึ่งสะดุดตายิ่งแล้วพยักหน้ารับคำ

“อืม ทราบขอรับ!”

เมื่อรับคำเสร็จลูกจ้างร้านวิ่งเหยาะมาถึงข้างโต๊ะริมเสาค้ำที่ห่างออกมาสองสามจั้ง ใช้ผ้าเช็ดมือไม่หยุด ยังไม่ทันได้พูดจา จี้หยวนก็เอ่ยปากเองแล้ว

“ต้องการให้ข้าเปลี่ยนที่นั่งใช่หรือไม่ ตรงมุมหน่อยก็ได้ พวกเรารีบไปเถอะ ถือโอกาสสั่งอาหารไปด้วย เร็วหน่อยๆ!”

ขณะกล่าวจี้หยวนลุกขึ้นมาแล้ว หยิบห่อผ้าถือร่มเสร็จสรรพ ถือโอกาสหยิบตะเกียบคู่หนึ่งที่นำออกมาจากตัววางตะเกียบเมื่อครู่ติดมือมาด้วย

“เอ่อ… ได้ ลูกค้าเชิญทางนี้ๆ!”

ลูกจ้างร้านคนนี้เห็นดวงตาจี้หยวนแล้วอึ้งงันเล็กน้อย รีบนำทางพลางแนะนำอาหารจานเด็ดบางส่วนประจำหอสุราตนยามจี้หยวนซักถาม

ผ่านไปครู่หนึ่งตรงหน้าโต๊ะหลังมุมโค้งติดผนังประตูหลัก ลูกจ้างร้านได้ยินรายการอาหารที่จี้หยวนสั่งแล้วตกตะลึงเล็กน้อย

“ขาหมูปรุงรส ไก่ตัวเมียตุ๋น ขนมแป้งนึ่ง ผัดสามสมบัติ ต้มผักกาดขาว หัวไชเท้าดอง ผัดผักกาดหัว เอ่อ ลูกค้า… พวกเราแค่จะมอบผัดผักกาดหัวให้ท่านจานหนึ่ง… นะ นี่…”

เสียงพูดของลูกจ้างร้านเบามาก สายตาทยอยกวาดมองทั้งตัวจี้หยวนและห่อผ้าสีเทาแบนราบใบนั้น บางทีอาจมีแค่ร่มกระดาษคันหนึ่งดูดีหน่อย

“หึๆ วางใจเถอะ ข้าน้อยยังมีเงินจ่าย เพียงบอกห้องครัวทำอาหารมาก็พอ”

จี้หยวนยิ้มพลางกล่าวปลอบใจ หยิบเศษเงินสองก้อนออกมาจากอก เขาไม่โกรธเพราะถูกเหยียดหยาม เอาใจเขามาใส่ใจเรา นี่ก็คือธรรมชาติของมนุษย์

เมื่อลูกจ้างร้านจากไปก็เหลือเพียงจี้หยวนเฝ้ารออยู่ตรงนั้นคนเดียว เดิมอยู่นอกเมืองยังไม่รู้สึกอะไร ตอนนี้พยาธิถูกกระตุ้นออกมาจนทนไม่ไหวอยู่บ้างแล้ว

เขาคว้าตะเกียบใส่ปากดูด สูดกลิ่นอาหารตลอดเวลา เฮ้อ อย่าทรมานคนขนาดนี้ได้หรือไม่!

เซียนหมากข้ามมิติ

เซียนหมากข้ามมิติ

Status: Ongoing
เพราะกระดานหมากเก่าๆ จี้หยวน พนักงานบริษัทธรรมดาๆ จึงข้ามมิติมาสู่โลกใหม่ในร่างขอทานตาเกือบบอด เพื่อเอาตัวรอดในโลกที่ไม่คุ้นเคย เขาจึงต้องใช้ไหวพริบของคนยุคปัจจุบันและกลหมากพัฒนาตัวเองให้แกร่งกล้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท